พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก ต้องมีบุญมาก สรรพชีวิตในชั้นภูมิที่สูงกว่ามนุษย์ เช่น เทวดา และ พรหม
ต่างยอมรับว่า “มนุษย์” เป็นภพภูมิที่ประเสริฐที่สุด นอกจากนี้ จิตวิญญาณที่ท่องเที่ยวในวัฏสงสาร ไม่ว่าจะในภพภูมิใด เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต ยักษ์ สัตว์นรก หรือเป็นเทวดา เป็นพรหม ฯลฯ ต่างก็อยากมีโอกาสเกิดเป็น“มนุษย์” อีกครั้ง ถ้าภพภูมิมนุษย์ไม่ได้เป็นภพภูมิที่ดีที่สุดและประเสริฐที่สุดแล้ว ทุกสรรพชีวิตจะอยากมาเกิดเป็นมนุษย์อีกทำไม
ภพภูมิมนุษย์มันดีและประเสริฐกว่าภพภูมิอื่นตรงไหน?
ภพภูมิมนุษย์ไม่ใช่มีความสุขกว่าภพภูมิสวรรค์หรือพรหมแต่อย่างใดนะครับ สาเหตุสำคัญที่สุดที่เทวดา พรหม ฯลฯ ต่างก็อยากมีโอกาสเกิดเป็น “มนุษย์” อีกครั้ง ก็คือ ภพภูมิอื่นๆ เป็นภพภูมิแห่งการขาดสติ หรือมีสติไม่สมบูรณ์ เช่น
- ภพภูมินรก จิตของผู้ตกนรก ก็จะโดนกรรมชั่วที่ตนเองก่อไว้
ตามหลอกหลอนให้ทนทุกข์จากการโดนดาบ โดนหอกแทง โดนเฆี่ยนตี
และโดนไฟนรกเผาเป็นทุกข์ตลอด เวลาที่จะไปคิดได้ว่า
หอกดาบและไฟนรกไม่มีจริง เป็นแค่ภาพมายาเสมือนจริงที่มาหลอกเท่านั้น แค่เวลาคิดยังไม่มีเลย จะไปมีเวลาที่มีสติมากพอไปพิจารณาความจริงว่าหอกดาบและไฟนรกไม่มีจริง
เป็นแค่มายาได้อย่างไร
เพราะสัตว์นรกต่างโดนบาปกรรมบังตาบังจิตของพวกเขาไว้ตลอดเวลา
- ภพภูมิแห่งความสุข
จิตของผู้ที่อยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ พวกเขาก็จะเสพสุขอยู่ตลอดเวลา
ผลบุญจะนำความสุขมาบังตาบังจิตของพวกเขาเอาไว้ตลอดเวลาเช่นเดียวกับพวกที่ตกนรกที่โดนผลบาปบังตาบังจิตเอาไว้
ในขณะที่ภพภูมิมนุษย์ มนุษย์สามารถเห็นการเสพทุกข์ เสพสุขของทุกชีวิตในทุกระดับ นอกจากนี้ มนุษย์ยังมีเวลาเหลือเฟือ พอที่จะพิจารณาความจริงของชีวิตด้วย
มีช่วงเวลาที่เขาประสพทุกข์ในชีวิต และก็มีช่วงเวลาที่เขาประสพสุขในชีวิต
ถ้ามนุษย์คนนั้นใช้เวลาพิจารณาความจริงของชีวิต เขาก็จะเห็นกฎแห่งอนิจจังและทุกขังของทุกชีวิต และก็จะเห็นการทำงานของกฎแห่งกรรม
หรือการทำงานของกฎที่พระเจ้ากำหนดให้มนุษย์เดินตาม ฯลฯ
เมื่อเรารู้เช่นนี้แล้ว เราจึงควรเห็นคุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์
อย่าให้เสียโอกาส เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ และก็อย่าไปหลงมัวเมาเรื่องของสุขทุกข์ทางโลกมากเกินไป
จนไม่มีเวลาหันมาปฏิบัติเพื่อปรับระดับจิตใจของตนเองให้ดีขึ้น
ไม่ใช่เกิดมาแล้ว ก็มัวแต่หลงมัวเมาหาความสุขจากการเบียดเบียนผู้อื่น
พอถึงวันที่ทุกท่านม่องเท่งไปแล้ว ก็หมดเวลาของท่านแล้วนะครับ
ผมก็เตือนทุกท่านได้เพียงเท่านั้น
ตราบใดที่ทุกท่านยังมีโอกาสอยู่ในโลกมนุษย์ ท่านก็ยังไม่หมดเวลาปฏิบัติเพื่อปรับระดับจิตใจของตนเองให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ
พระพุทธเจ้าตรัสด้วยว่า “เป็นการยากที่จะได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ(คนดีและสงบที่พร้อมมูลด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ)” โดยเฉพาะสุดยอดแห่งสัตบุรุษ เช่น ผม Phonsak ที่กล้าเปิดเผยความลับของฟ้าในทุกเรื่อง
โดยไม่สนใจคำพูดและการกล่าวหาของคนอื่นว่า “บ้าหรือเพี้ยน” เพราะถ้าผมบ้าหรือเพี้ยน พระโคดมพุทธเจ้าของเราก็บ้าหรือเพี้ยนมากกว่าผม
พระเยซูและนบีโมฮัมหมัดก็บ้าหรือเพี้ยนเช่นเดียวกันกับผม
.............................................................................
แล้วนี่เชื่อไหม?.... เมื่อวานอาทิพุทธเจ้าภาคขาว (พระไวโรจนพุทธเจ้า-พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า) มาบอกให้ผมให้เข้าสมาธิส่งจิตไปคุยกับอาทิพุทธเจ้าภาคดำ(พระติกขะคัมมะพุทธเจ้า-อัลเลาะห์) เอาเอง
ถ้าต้องการจะเปิดเผยความลับของฟ้า ที่สูงกว่าเรื่องที่หลวงพ่อสดสอน
เพราะพระพุทธเจ้าองค์ปฐมภาคดำ(อัลเลาะห์) คุมเรื่องความยุติธรรมและเที่ยงธรรม
ส่วนท่านเป็นอาทิพุทธเจ้าภาคขาว (พระไวโรจนพุทธเจ้า-พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า)คุมเรื่องความเมตากรุณาปราณี แต่ระวังเรื่องที่เธอเปิดเผยมันสูงเกินไป ผู้คนคงรับไม่ได้
จะกล่าวหาว่า “เธอบ้า” นะ
ผมเลยตอบพระไวโรจนพุทธเจ้า(พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า)ไปว่า ท่านไม่ต้องเป็นห่วงผม
ผมเคยชินกับคำกล่าวหานั่นแล้วครับ ผมจำเป็นต้องเขียนเรื่องใบไม้นอกกำมือของพระพุทธเจ้าทุกเรื่องที่ผมรู้
และได้รับอนุญาตจากฝ่ายดำ(เที่ยงธรรม)ให้เปิดเผยได้
55555 บ้าดี แต่ต้องครองชีวิตด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยนะ สำคัญต้องมี สติด้วย
ตอบลบเมื่อกี้คลาดเคลื่อนไปเยอะ ทาน ศีล ภาวนา เป็นเครื่องอยู่ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องออก สติเป็นผู้กำกับ เหนื่อยจัง
ลบ