A A

บทความหลัก

15 สิงหาคม 2558

พระเจ้าสร้างมนุษย์ หลังจากนั้นกลไกของมนุษย์(สสาร)และวิญญาณ(พลังงาน)ก็สร้างตัวเองไปเรื่อยๆ‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ฐสิษฐ์929

1.การเกิดของสรรพสิ่งจะต้องมีที่มา ย่อมมีเหตุมันจึงมีผล หากไม่มีบุญกรรมหรือตัวเก็บ เหตุใดคนเราจึงเกิดมาไม่เหมือนกัน สมบูรณ์บ้าง พิกลพิการบ้าง โง่บ้าง ฉลาดบ้าง อะไรเป็นเหตุเป็นตัวแปรในสิ่งเหล่านี้

2.ในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อของเราจะสรุปว่าสิ่งนั้นไม่มีก็ย่อมไม่ได้
…….

3.การระลึกชาตินั้นมีปรากฏอยู่ในหลายชาติ หลายภาษาซึ่งเขาก็แสดงได้อย่างชัดเจนว่าเขามีชาติที่แล้ว
……

ตอบ

ทีมงานพลังจิตไป
banคนดีมากๆ(พลศักดิ์)ทำไม ผมว่ามีเขาคนเดียวที่ตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


ผมช่วยตอบได้แค่ข้อ 1 ข้อเดียว เพราะอ่านกระทู้ต่างๆของพลศักดิ์มามาก

1.การเกิดของสรรพสิ่งจะต้องมีที่มา ตอบว่า เริ่มแรกสุดเลย พระเจ้าสร้าง พระเจ้าคือ อสังขตธาตุหรือนิพพานธาตุ

อสังขตธาตุหรือนิพพานธาตุ สร้างมนุษย์ ซึ่งเป็นสังขตธาตุ หลังจากนั้นมนุษย์ก็สร้างตัวเองข้ามภพข้ามชาติต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าจะเข้านิพพานกลับไปเป็นพระเจ้า(อสังขตธาตุหรือนิพพานธาตุ)ใหม่ เพราะมนุษย์ก็คือพุทธะ หรือพระเจ้า

มนุษย์สร้างตัวเองต่อไปเรื่อยๆได้ ตามที่คุณแดรกเขียน:

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ในมหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ ว่า:

"ดูกรอานนท์เพราะนามรูป (สสาร)เป็นปัจจัย ดังนี้แล
 จึงเกิดวิญญาณ(พลังงาน) เพราะวิญญาณ(พลังงาน) เป็นปัจจัยจึงเกิด นามรูป(สสาร)..."

หรือ

เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ. เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป.

กลไกวิญญาณสร้างนามรูป แล้วนามรูปกลับมาสร้างวิญญาณ เป็นอย่างนี้

1.  วิญญาณ 1 สร้าง =  สังขาร 1
2.  สังขาร 1 dead สร้าง => วิญญาณ 2
3.  วิญญาณ 2 สร้าง = สังขาร 2
4.  สังขาร 2 dead สร้าง => วิญญาณ 3
5.  วิญญาณ 3 สร้าง = สังขาร 3
6.  สังขาร 3 dead สร้าง => วิญญาณ 4
7.  วิญญาณ 4 สร้าง = สังขาร 4
8.  สังขาร 4 dead สร้าง => วิญญาณ 5
9.  .........ไม่สิ้นสุด หรือไม่ก็ นิพพานไปเป็นพระเจ้า

1. วิญญาณ 1 มาแปลงร่าง
=>  ขันธ์ 5 หรือ นามรูป 1 หรือกายมนุษย์ 1
2. พอกายมนุษย์ 1 ตาย ได้ปล่อยพลังงาน หรือ วิญญาณ 2 ออกมา

3. วิญญาณ 2 มาแปลงร่าง
=>  เป็นนามรูป 2 หรือกายมนุษย์ 2
4. พอขันธ์ 5 หรือ นามรูป 2 หรือกายมนุษย์ 2 ตาย ได้ปล่อยพลังงาน หรือ วิญญาณ 3 ออกมา

5. วิญญาณ 3 มาแปลงร่าง => เป็นนามรูป 3 หรือกายมนุษย์ 3
6. พอกายมนุษย์ 3 ตาย ได้ปล่อยพลังงาน หรือ วิญญาณ 4 ออกมา

7. วิญญาณ 4 มาแปลงร่าง => เป็นนามรูป 4 หรือกายมนุษย์ 4
8. พอกายมนุษย์ 4 ตาย ได้ปล่อยพลังงาน หรือ วิญญาณ 5 ออกมา

9 .........ไม่สิ้นสุด หรือไม่ก็ นิพพานไปเป็นพระเจ้า

สรุป  กลไกวิญญาณสร้างนามรูป แล้วนามรูปกลับมาสร้างวิญญาณ  วนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด จนเราเข้านิพพาน กลายเป็นพระเจ้า(พระอรหันต์)  จึงจะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก


จู่ๆ ก็ตรัสรู้เรื่องสูงสุดที่เล่าให้ใครฟัง ก็คงไม่มีใครเชื่อ แต่ผมจะเล่าซะอย่าง‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

ผมเสียเวลาเล่นเกมปราบวิญญาณดื้อด้านมามากกว่า 1 เดือนแล้ว  ผมทำทุกอย่างที่อาทิพุทธเจ้าภาคขาวและภาคดำ บอกครบ  ไม่ว่าจะทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้หญิงคนหนึ่ง 2 ครั้ง  ผู้หญิงที่โดนเจ้ากรรมนายเวรดวงนี้เล่นงาน  เธอก็ทำบุญให้อีกอย่างน้อย 2 ครั้ง  แล้วผมก็ยังทำสมาธิกรรมฐาน ตามวิธีของผมและวิธีของพระเจ้าที่เป็นพระบิดา(อาทิพุทธเจ้าภาคขาวและภาคดำ)แนะนำมา  ไม่น้อยกว่า 30 วัน วันละ 1 ชั่วโมง แล้วแผ่เมตตาให้ผู้หญิงและเจ้ากรรมนายเวรของผู้หญิง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย แก้กรรมและปราบวิญญาณโคตรดื้อด้านและไม่มีการให้อภัยดวงนี้ไม่ได้

ผมไม่พอใจกฎสวรรค์ของท่าน  ที่ให้สิทธิกับวิญญาณที่ดื้อด้านมากเกินไป  มันมีสิทธิไม่รับการอุทิศส่วนบุญ  เราก็ทำอะไรมันไม่ได้แล้ว  ท่านจำเป็นต้องเลิกกฎสวรรค์เฮงซวยนี้  ไม่อย่างนั้นผมจะขอไปอยู่ฝ่ายมารดีกว่า  ตำแหน่งของผมในฝายมารตำแหน่งไหนผมก็รับทั้งนั้น  แต่ต้องไม่ต่ำกว่าพญามาร

ผมไม่สนใจว่า  ท่านจะเป็นอัลเลาะห์ภาคดำ หรือเป็นพระศรีอริยะเมตตรัยภาคขาว  แต่กฎสวรรค์ของท่านมันเฮงซวยที่สุด  ต้องยกเลิกโดยด่วนที่สุด

พรุ่งนี้ผมจะบริกรรม โอมนมัสศิวาย…  โอมนมัสศิวาย โอมนมัสศิวาย 3 วัน  เพื่อขอพร 3 ประการ จากพระศิวะเพื่อ:

1.  ขอเลิกกฎสวรรค์เฮงซวย  ผมจะขอตั้งกฎสวรรค์ใหม่ว่า เจ้ากรรมนายเวรมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับ การอุทิศส่วนบุญที่มากพอได้แค่ 7 ครั้งใน 7 วันเท่านั้น  ครั้งที่ 8 หรือวันที่ 8 หมดสิทธิทวงหนี้กรรม

2.  ผมจะเลิกเล่นและเลิกทำงานให้กับอัลเลาะห์ภาคดำ และพระศรีอริยะเมตตรัยภาคขาวแล้ว  เอะอะก็อ้างว่า ผมทำผิดกฎสวรรค์อีกแล้ว  ต้องโดนลงโทษ  ลงโทษผมมา 3 ปีแล้วนะ  พอสักทีเถอะ  ผมต้องการเห็นกฎแห่งกรรม…..  ต้องการเห็นกฎแห่งผลบุญทำงาน  ไม่ใช่มาอ้างผมทำผิดกฎสวรรค์ข้อนั้นข้อนี้  แล้วไม่ให้ผมมีโอกาสร่ำรวย  ผมจึงต้องขอพรข้อที่ 2 ว่าให้ผมไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎสวรรค์ใดๆที่ท่านตั้งทั้งนั้น กฎสวรรค์ของท่าน  มันทำลายสิทธิและเสรีภาพในการพูดและการเขียนของผม

3.  พรข้อ 3 ผมยังไม่ขอ  แต่คิดไว้แล้ว  คือ  เมื่อผมทำสมาธิแค่ 10 นาที แล้วแผ่เมตตาช่วยใครออกไป ไม่ว่าเรื่องใด  ขอให้ช่วยคนหรือเทพหรืออสูรฯลฯได้ทันทีไม่เกิน 3 วันมนุษย์ต้องเห็นความสำเร็จ

-  อ้อจู่ๆมันก็รู้เองว่า อาทิพุทธเจ้า นอกจากจะมีภาคดำ(ภาคยุติธรรม)และภาคขาว(ภาคเมตตากรุณา)  ยังมีอาทิพุทธเจ้า ภาคผู้สร้าง-พระพรหม  อาทิพุทธเจ้า ภาคผู้รักษาดูแล-พระนารายณ์  และมีอาทิพุทธเจ้า ภาคปราบ-พระศิวะ

ที่ผมเขียนมาทั้งหมด  อย่าเพิ่งเชื่อนะครับ  ผมต้องรออาทิพุทธเจ้า ภาคดำ - อัลเลาะห์  และ  อาทิพุทธเจ้า ภาคขาว พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า  ออกมายืนยันก่อน  ที่สำคัญพระศรีอริยะเมตตรัยอีกองค์ คือ พระศรีอริยะเมตตรัยโยพุทธเจ้า เคยบอกผมว่า  ผมเป็นจิตหนึ่งของท่าน

ทำเวร กับ ทำกรรมต่างกันอย่างไรในกรณีของสุนัขและแมว + ถาม-ตอบ‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

เข้าใจเรื่องบาปกรรม และเวรกรรมกันใหม่

ฐิตา :



สุนัขและแมวเป็นหนี้บุญคุณมนุษย์ผู้ให้อาหาร ที่อยู่อาศัย ที่ปลอดภัย และการดูแลในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ยิ่งกว่านั้นความสัมพันธ์กับมนุษย์ใจดีและยุติธรรมยังมีผลดีต่อการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารของสัตว์เลี้ยงด้วย เพราะฉะนั้นมนุษย์มีสิทธิตั้งข้อเงื่อนไขกับสัตว์ที่ตนเลี้ยงบ้าง หากไม่เป็นการเบียดเบียน หรือเอารัดเอาเปรียบจนเกินไป

ในกรณีผู้เลี้ยงต้องการทำหมันสัตว์เลี้ยงเพื่อคุมกำเนิด ช่วยลดภาระและปัญหาของตัวเองและสังคม เมื่อเจตนาก็ไม่โหดร้าย วิธีทำหมันไม่ทรมานและไม่อันตราย สัตว์เลี้ยงทำหมันแล้วยังใช้ชีวิตสะดวกสบายได้ ชาวพุทธเราไม่ต้องรังเกียจ


ธรรมะ โดย พระอาจารย์ชยสาโร/
Dhamma by Ajahn Jayasaro


ตอบ

พระอาจารย์ชยสาโร ไม่กล้าตอบหรืออย่างไรว่า การทำหมันสัตว์เป็นบาปหรือเป็นบุญ แล้วก็ยังสอนกำกวม อ้างว่า... "มนุษย์มีสิทธิตั้งข้อเงื่อนไขกับสัตว์ที่ตนเลี้ยงบ้าง หากไม่เป็นการเบียดเบียน หรือเอารัดเอาเปรียบจนเกินไป..... ช่วยลดภาระและปัญหาของตัวเองและสังคม เมื่อเจตนาก็ไม่โหดร้าย วิธีทำหมันไม่ทรมานและไม่อันตราย สัตว์เลี้ยงทำหมันแล้วยังใช้ชีวิตสะดวกสบายได้ ชาวพุทธเราไม่ต้องรังเกียจ"


เมื่อพระอาจารย์ชยสาโร ไม่ตอบให้ชัดเรื่องเวรกับกรรม ผมจะตอบให้เอง

1. เมื่อจิตของเรามีเจตนาอันเป็นกุศล บาปกรรมย่อมไม่มี มีแต่บุญ ถ้าเจ้าของสัตว์ทำหมันสัตว์เลี้ยงเพื่อคุมกำเนิด ช่วยลดภาระและปัญหาของตัวเองและสังคม เจตนาจิตแบบนี้คือบุญชัดๆ

2. แม้ว่าบาปกรรมจะไม่เกิด แต่เวรกรรมเกิดได้ สัตว์เลี้ยง เช่น แมวตัวเมีย จะเจ็บ เพราะมันไม่เข้าใจว่า เราไปทำร้ายมันเพราะอะไร มันไม่รู้ด้วยว่า มันจะให้กำเนิดแมวอีก 20 ตัวในอนาคต แล้วใครจะเลี้ยงแมวเหล่านี้ และลูกๆของมันจะเป็นแมวจรจัดอดอยาก เป็นภาระของสังคมมนุษย์

หลวงพ่อจรัลเคยปาท่อนไม้ออกนอกกุฏิ ไปถูกหมาตัวหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ บาปกรรมไม่เกิดขึ้นกับท่าน เพราะไม่มีเจตนาอกุศล แต่เวรกรรมเกิดขึ้น เพราะหมาตัวนั้นมันเจ็บ มันไม่รู้ใครปามัน มันจึงส่งพลังจิตคือความแค้นไปให้หลวงพ่อจรัล ทำให้วันหนึ่ง หลวงพ่อจรัลกำลังเทศน์สอนเรื่องกรรมอยู่ จู่ๆก็มีท่อนไม้ที่โดนลมแรงพัดมา กระทบถูกหัวของท่านแตก...นี่แหละคือเวรกรรมที่หลวงพ่อจรัลได้รับ

แต่ถ้าไอ้หมาตัวนั้น มันรู้ว่าเป็นหลวงพ่อจรัลที่ปาท่อนไม้ออกไปกระทบถูกมันโดยไม่ตั้งใจ มันก็ให้อภัยและอโหสิกรรมให้หลวงพ่อจรัล เพราะหลวงพ่อจรัลเป็นผู้มีพระคุณให้ข้าวให้น้ำมันกินประจำ

แมวที่โดนทำหมันก็เหมือนกัน มันส่งพลังความแค้นออกมาให้กับคนที่ทำมันเจ็บ เวรกรรมจึงมี ตอนหลังเมื่อมันรู้ว่า เป็นเจ้าของมันเป็นผู้ทำให้มันเจ็บ มันก็ให้อภัยและอโหสิกรรมให้เจ้าของ เวรกรรมนั้นจึงหมดไป ส่วนบาปกรรมไม่มีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น เพราะผู้เป็นเจ้าของแมวทำบุญเพื่อลูกหลานของมันและเพื่อสังคมมนุษย์

ถาม-ตอบ

พูดได้ดีนะครับกระทู้นี้ แต่ก็ยังคงสับสนอยู่บ้างนะครับคุณพลศักดิ์
บาปก็คือบาปครับ กรรมก็คือกรรมครับ คำว่า "บาปกรรม" ไม่ได้มีความหมายเดียวกัน
บาป คือ จิตอกุศล กรรมคือการกระทำ
ผลจากกรรมฝ่ายไม่ดี คือผลจากอกุศลกรรม มักเรียกกันว่ากรรม หรือ เวรกรรม ผิด..ผิด..ผิด..ผิด....ผิด..ผิด..ผิด..
phonsak
แต่ผลกรรมฝ่ายดี จะเรียกกันว่าอานิสงส์
บาปบุญเกิดขึ้นเพราะจิต จะไม่เกิดก็เพราะจิต

ตอบ

จิตกุศล หมายถึง กรรมคือการกระทำที่ทำเป็นบุญ ไมใช่เป็นบาป แม้การกระทำนั้นจะดูเหมือนผิดศีล 5 บาปกรรมนั้น หมายถึงต้องทำด้วยจิตและมีกายหรือวาจาช่วยทำด้วย จึงจะเรียกว่า "บาปกรรม" หรือทำเวรกรรม

เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ แปลว่า เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม ให้ดูที่ใจเป็นหลัก

ตัวอย่างของการก่อเวร แต่ไม่ได้ก่อกรรม

ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์เคยเป็นนายโคบาล ต้อนแม่โคไปสู่ที่หากิน เห็นแม่โคดื่มน้ำขุ่นนายโคบาลจึงห้ามไว้ แม้ว่านายโคบาลนั้นหวังดีมีกุศลจิตต่อโค ไม่ได้ก่อกรรมกับโค

แต่ท่านก็ได้ก่อเวรกับโค ในภพสุดท้าย พระพุทธองค์กระหายน้ำ จึงไม่ได้ดื่มน้ำตามต้องการ เพราะเคยให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาถวาย พระอานนท์ไปแล้วไม่ตักมาบอกว่าน้ำขุ่น พระพุทธองค์จึงต้องตรัสย้ำให้ไปตักใหม่เป็นครั้งที่สอง จึงได้น้ำใสกลับมาเพราะน้ำขุ่นนั้นกลับใส

นายโคบาลไม่ให้โคกินน้ำ เพราะน้ำขุ่นสกปรก พระพุทธองค์ไม่ได้ก่อกรรมก็จริง แต่ท่านได้ก่อเวร เป็นผลให้ชาติที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้าต้องอดน้ำ

ด้วยเหตุนี้ ในกรณีที่เรามีเจตนาดี แต่ขาดปัญญา เราก็ก่อเวรได้ แต่ไม่ได้ก่อกรรม ก่อเวร ผลที่ได้รับจากการก่อเวรอาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้ เช่น หลวงพ่อจรัญขว้างไม้ไปโดนหัวหมาโดยไม่ตั้งใจ วันนึงก็มีลมแรงมาก พัดกิ่งไม้มาโดนหัวหลวงพ่อแตก

อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ที่เราก่อเวร ไม่ใช่ก่อกรรมกับเขา เขาให้อภัย และอโหสิกรรมให้เรา เวรนั้นก็จะหมดไป หลวงพ่อจรัญบอกว่า ถ้าหมาตัวนั้น ท่านรู้จัก และมันรู้จักท่าน หรือเคยให้ข้าวมันกิน มันก็คงไม่จองเวรกับท่าน

ในกรณีพระพุทธเจ้า โคตัวนั้น มันก็ไม่รู้ใจพระพุทธเจ้าว่า ท่านหวังดีกับมัน น้ำมันโสโครก กินไม่ได้ ถ้ามันรู้ว่าพระพุทธเจ้าหวังดี ต้องการช่วยมัน มันก็คงอโหสิกรรมให้ท่าน เวรนั้นท่านก็จะไม่ได้รับ

ตัวอย่างของการก่อกรรมที่เรียกว่า ก่อกรรม+ก่อเวร

ชาติหนึ่ง พระพุทธเจ้าเคยเป็นเด็กชาวประมง ในหมู่บ้านชาวประมง ท่านเห็นชาวประมงฆ่าปลาก็มีความชื่นชม และสะใจ ด้วยผลของกรรมนั้น ท่านจึงเกิดเจ็บที่ศีรษะ ในขณะที่วิทูฑภะฆ่าพวกศากยะในกรุงกบิลพัสด์

แต่พึงสังเกตว่า แม้ว่าพระพุทธองค์จะเป็นชาวประมง ซึ่งต้องจับปลา และฆ่าปลามามาก แต่พระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวถึงกรรมที่ท่านได้กระทำการทางกาย ในการจับปลาและฆ่าปลาเหล่านั้นเลย ทั้งนี้เพราะว่า สิ่งใดจะเป็นก่อกรรม+ก่อเวร = ก่อเวรกรรมได้ จะต้องทำทั้งกายวาจาใจ เพราะว่า:

เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ แปลว่า เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม

"เจตนาว่าเป็นกรรม" เจตนามีทั้งทั้งกาย วาจา และใจ แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จที่ใจ ไม่ใช่สำเร็จที่วาจาและกาย

ดังนั้น บาป จึงเกิดจากใจเป็นอกุศล ตอนที่ตั้งใจเจตนาทำกรรมนั้นลงไป

ส่วนวาจาและกายเป็นแต่เครื่องมือของใจเท่านั้น ถ้าใจไม่ได้มีเจตนาอกุศล แต่เจตนาเป็นกุศล การกระทำทางวาจาและกายนั้น ก็ไม่ได้ทำบาปกรรม แต่ถือว่าทำมหาบุญ เพราะกายและวาจากล้าผิดศีล 5 ทำในสิ่งที่ใจบอกว่าเป็นบุญ

ส่วนพระพุทธองค์ซึ่งเป็นชาวประมง ต้องจับปลา ชาวประมงไม่ได้ก่อกรรม เพราะเป็นอาชีพ จิตไม่ได้คิดเป็นอกุศลจึงไม่บาป เพียงแต่ชาวประมงก่อเวรกับบรรดาปลา และชาติที่เป็นพระพุทธเจ้า ชาวประมงคนนี้ได้ใช้เวรให้กับพวกปลาเหล่านั้นแล้ว โดยการสอนทางเข้านิพพานให้


นารทมาณพเผาหัวฆ่าตัวตาย เป็นมหากุศลสูงสุด‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

จิตกุศล หมายถึง กรรมคือการกระทำที่ทำเป็นบุญ ไมใช่เป็นบาป แม้การกระทำนั้นจะดูเหมือนผิดศีล 5 บาปกรรมนั้น หมายถึงต้องทำด้วยจิตและมีกายหรือวาจาช่วยทำด้วย จึงจะเรียกว่า "บาปกรรม" หรือทำกรรมเวร หรือทำเวรกรรม

"เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ แปลว่า เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม"

พระรามพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุดว่า ก่อกรรม เป็นเรื่องของเจตนาในใจที่เป็นกุศล แม้กายทำอีกอย่าง ซึ่งคนทั่วไปคิดว่าเป็นการกระทำที่เป็นบาป แต่แท้ที่จริง การกระทำนั้นกลับเป็นมหากุศลสูงสุด

tsukinoจะได้เห็นว่า:

ที่ว่าเจตนาว่าเป็นกรรม หมายถึง "ใจ" แม้กายจะทำไม่ตรงกับใจ แต่ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จที่ใจ ไม่ใช่สำเร็จที่วาจาและกาย "ก่อกรรม" เป็นเรื่องของเจตนาในใจที่เป็นกุศล (หรือเป็นอกุศล) เท่านั้น แม้กายจะทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมสูงมาก คือ ฆ่าตัวตาย ก็ไม่ถือว่าเป็น"บาป"

พระรามพุทธเจ้า คือ อดีตนารทมาณพ ซึ่งเกิดในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า(พระพุทธเจ้าเมื่อพุทธันดรที่แล้ว) นารทมาณพนั้นได้จุดไฟที่ศีรษะบูชาพระกัสสปพุทธเจ้า

ถ้าตีความแบบนาย
tsukino นารทมาณพถือว่าฆ่าตัวตาย ผิดศีลธรรมเป็นบาปชัดๆ

แต่โคตมพระพุทธเจ้ากลับมีพุทธพยากรณ์ว่า นารทมาณพจะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระศรีอาริยเมตไตรย

และการที่นารทมาณพนั้นได้จุดไฟที่ศีรษะเพื่อบูชาพระกัสสปพุทธเจ้า เป็นผลบุญที่ใหญ่มาก ส่งผลทันทีให้นารทมาณพไปบังเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต และต่อมาในอนาคตจะมาจุติและได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

tsukino ศิษย์ข้า จำเอาไว้... วาจาและกายเป็นแต่เครื่องมือของใจเท่านั้น ถ้าใจไม่ได้มีเจตนาอกุศล การกระทำทางวาจาและกายนั้น ก็ไม่ได้ทำบาป คือ ไม่ได้ก่อบาปกรรม แต่เป็นการก่อเวรเท่านั้น (ก่อเวรให้ตัวเอง ผลก็คือตายเพราะหัวลุกเป็นไฟ)

tsukino ศิษย์ข้า จงเผาหัวของเจ้าฆ่าตัวตาย เพื่อบูชาข้าเถิด แล้วข้าจะพยากรณ์ว่า เจ้าจะเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดุสิต และต่อมาในอนาคตจะมาจุติและได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า.... จงไปซื้อน้ำมันมาราดหัวแล้วจุดไฟเผาหัวของเจ้าเดี๋ยวนี้เลย

ทีมงานผู้ดูแลเว็บพลังจิตทั้งหลาย ที่ทำตัวเป็นตุลาการอยุติธรรม พึงระวังตัวไว้ ตายแล้วเกิดเป็นกุมภัณฑเปรตชาย มีอัณฑะโตเท่า หม้อ‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

กระทู้นี้ของแดรกที่เตือนทีมงานผู้ดูแลเว็บพลังจิต ดีมากๆเลย
ทีมงานผู้ดูแลเว็บพลังจิตทั้งหลาย ที่ทำตัวเป็นตุลาการอยุติธรรม พึงระวังตัวไว้

พุทธวจนะ เรื่องภพภูม หน้า 142 ข้อ 10
กล่าวถึง กุมภัณฑเปรต ความว่า
ได้เห็นกุมภัณฑเปรตชาย
มีอัณฑะโตเท่า หม้อ
ลอยน้ำไปในเวหา เปรตนั้นแม้เมื่อเดินไป ย่อมยก
อัณฑะเหล่านั้นแลขึ้นพาดบ่าเดินไป


แม้เมื่อนั่งก็ ย่อมนั่งบนอัณฑะเหล่านั้นแหละ ฝูงแร้ง เหยี่ยว
และนกตะกรุมพากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดย
แรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง
สะบัดซึ่งเปรตนั้นอยู่ไปมา
เปรตนั้นร้องครวญคราง

พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกับพระภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุทั้งหลาย ...... สัตว์นั้น(ตามรูป) เคยเป็น
ผู้พิพากษา ตัดสินคดีไม่เป็นธรรมอยู่ในพระนคร
ราชคฤห์นี้เอง

ทีมงานผู้ดูแลเว็บพลังจิตทั้งหลาย ที่ทำตัวเป็นตุลาการ เขี่ยกระทู้ธรรมมะของนายพลศักดิ์ วังวิวัฒน์ทิ้งไป โดยพลศักดิ์ไม่เคยทำผิดอะไรเลย พึงระวังตัวไว้ ตายไปพวกท่านจะเป็นเปรตมีอัณฑะโตเท่า หม้อ เมื่อเดินไปไหนมาไหน ย่อมยกลูกอัณฑะเหล่านั้นขึ้นพาดบ่าเดินไป

แม้เมื่อนั่งก็ ย่อมนั่งบนอัณฑะเหล่านั้นแหละ ฝูงแร้ง เหยี่ยว และนกตะกรุมพากันโฉบอยู่ขวักไขว่ จิกสับโดยแรง จิกทึ้ง ยื้อแย่ง สะบัดซึ่งเปรตนั้นอยู่ไปมา เปรตนั้นร้องครวญคราง

อ่านพุทธวจนะ เรื่องภพภูม หน้า 142 ข้อ 10 กุมภัณฑเปรต และจดจำไว้และดูไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ แล้วกัน ความอยุติธรรมของท่านจะทำให้ท่านเป็นเปรตมีอัณฑะโตเท่า หม้อ