A A

7 มีนาคม 2558

10 ปริศนา ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำเขียนเรื่องพระเยซู ผมPhonsakขออธิบายให้แจ่มแจ้งเอง

พระเยซูตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

"..ประมาณเกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา เขาถามว่า 
1. "ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน" อาตมาตอบว่า "รู้" เขาถามว่า "เคยคุยไหม" ก็บอกว่า "ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน" 

2. จึงถามเขาว่า "แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "ไม่รู้" ถามว่า "เคยเห็นไหม" เขาตอบว่า "ไม่เคยเห็น"

3. เขาเลยถามว่า "ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ" ตอบว่า "ไม่เคยสนใจ" แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป

ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามุณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น 
4. พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า "พระเยซูใช่ไหม" ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ"

อาตมาถามว่า "ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ" ท่านบอกว่า 
"ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย" บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร" ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย 5. ถามว่า "อยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ชั้นดุสิต"

6. พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ  ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า "คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ" ท่านถามว่า "ผิดอย่างไรครับ" บอกว่า "ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ"

7. ท่านตอบว่า "ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป"

8. คำสอนของท่านเป็นแบบนี้มา  ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย  ก็เลยบาปทั้งสองคน  คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก

9. ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ
      ๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
10. ๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
      ๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้

สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า 
10. "ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ" นั่นเขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ  ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อย  อย่าง พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี  ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน.."

ตอบ

ความจริงผมกำลังประชดพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)ที่เป็นพระบิดาและพระธรรมอยู่  ประชดพวกท่านที่ลงมาหาผมเป็นพุทธะหลายองค์ที่คนไทยรู้จักกันดี  แต่ผมไม่อยากบอกว่าพวกท่านเป็นใคร  เดี๋ยวไปผิดกฎสวรรค์อะไรอีก  ผิดทีไรท่านเล่นผมหมดตัวทุกที  

พุทธะหลายองค์ที่มาหาผมนั้น ต่างมาบอกผมว่า  ผมจะถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 มีแจ๊คพอต 2 แจ๊คพอต(สูงสุดที่จะได้รับ)  ทำให้ผมนั่งฝันเฟื่องคำนวณเงินอยู่ว่า  ผมจะได้เงินกว่า 60 ล้านบาท เพราะซื้อล็อตเตอรี่มา 5 คู่

แต่ปรากฏว่า  ไม่เห็นมันถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 มีแจ๊คพอต 2 แจ๊คพอต(สูงสุดที่จะได้รับ)เลย  ที่เจ็บที่สุดคือ พระเจ้า(พระพุทธเจ้า)ที่แยกพระองค์ออกเป็น 3 พระองค์  ยังมาแซวผมในจิตอีกว่า  ผมเคยเขียนบทความว่า ถูก...ล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ของฟ้า  มีแจ๊คพอตด้วยไม่ใช่หรือ???  ไม่ใช่ล็อตเตอรี่ทางโลกนะ    

เออ! เมื่อท่านพูดอย่างนี้  ถือว่าผมเสียเหลี่ยมท่าน  ผมต้องลงโทษท่านที่มาใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผม  ผมจึงคิดว่าจะเลิกเขียนบทความที่เป็นความลับของฟ้าต่อไปแล้ว  เมื่อพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างให้ผม สัก 200,000 บาทก็ยังดี  ผมก็เลิกเป็นมือให้ท่านแล้ว  

เมื่อวานท่านก็มาบังคับทางจิตให้ผมเขียนเรื่อง 
"คัมภีร์อัลกุรอาน ชี้ชัดว่าสวรรค์นิรันดร(นิพพาน)อยู่ที่ไหน" เพราะผมรับแจ๊คพอตของฟ้าไปแล้ว....  ผมเลยตอบไปในจิตว่า  จริงอยู่ ผมรับแจ๊คพอตของฟ้าไปแล้ว  แต่ก็ไม่ใช่ว่า  ผมต้องเขียนบทความบอกคนอื่นต่อไม่ใช่หรือ  ผมไม่ยอมเขียนอย่างเดียว

วันนี้พระเจ้า(พระพุทธเจ้า)ก็มาบังคับจิตผมอีก  ให้เขียนเรื่องที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยเขียนเรื่องพระเยซู  ที่หลวงพ่อทิ้งปริศนาเอาไว้ อธิบายไม่เคลียร์ ให้ผมเขียนต่อ  จริงๆผมก็ไม่อยากเขียนต่อ  ต้องลงโทษพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)ให้เข็ดหลาบ  แต่คิดอีกที  สงสารพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)ก็ได้  ให้เวลาพระเจ้าหาเงินมาจ่ายเงินเดือนผมสัก 1 เดือน  แต่ผมยอมเขียนแค่ 2 เรื่องนี้เท่านั้นนะครับ  เพราะเงินค่าจ้างไม่มา แรงเขียนของผม มันก็ไม่ค่อยมี 


1.. พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน" อาตมาตอบว่า "รู้" เขาถามว่า "เคยคุยไหม" ก็บอกว่า "ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน"

ตอบ

นิพพานที่พระพุทธเจ้าอยู่คือ 1. พุทธภูมิในพุทธเกษตร อยู่เป็น ธรรมกาย  2. พุทธเกษตร อยู่เป็นกายทิพย์สัมโภคกาย  

หลวงพ่อไปหาทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน = ไปหาทุกวัน คือไปหาพระพุทธเจ้าที่เป็นสัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์)ที่อยู่ในพุทธเกษตรแดนนิพพาน  ไม่ได้ไปหาพระธรรมกายที่อยู่ในนิโรธ และไม่ได้ไปหาพระพุทธเจ้าที่เป็นจิตว่างเฉยๆ(จิตมหาสุญญตา)นะครับ  เพราะพระพุทธเจ้าเคยเข้าปรินิพพาน ซึ่งมีแต่จิตว่างตลอด(จิตมหาสุญญตา)มาแล้ว  แต่พระพุทธเจ้าท่านออกจากปรินิพพาน(จิตมหาสุญญตา)มานานแล้ว  และก็ยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะเข้าไปเป็นจิตมหาสุญญตาถาวร-ปรินิพพานถาวร อีก

อธิบายให้ชัดอีกที  มหาสุญญตา หรือ ปรินิพพาน มีเพียงแต่จิตที่ว่างตลอด  ไม่มีกายธรรม ที่เรียกว่า ธรรมกาย  พระพุทธเจ้าที่ติดต่อกันได้  และยังช่วย 3 ภพต่อคือ พระพุทธเจ้าที่เป็นสัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์)ที่อยู่ในพุทธเกษตรแดนนิพพาน

2..
จึงถามเขาว่า "แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "ไม่รู้" ถามว่า "เคยเห็นไหม" เขาตอบว่า "ไม่เคยเห็น" 

ตอบ

อ้าว!  หลวงพ่อฤาษี  หลวงพ่อไปหาพระเจ้าของศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ทุกวัน  คือ พระพุทธเจ้า หลวงพ่อยังไม่รู้อีกหรือ    พระเจ้าของศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม = GOD  GOD มาจาก Godama(โคดม) หรือ Gotama (โคตม)  นักวิจัยจำนวนหนึ่ง นำโดย นายมอร์แกน ปีเตอร์ คาเวนาฟ  ทำวิจัยไว้เมื่อคริสตศตวรรษที่ 19 (1800-1899)

นาย จอห์น  แคมป์เบลล์  กล่าวเชื่อมโยงเกี่ยวกับทฤษฎีดังกล่าวว่า " ผมพบว่า ไม่ว่าภาษาอังกฤษ คำว่า God  ,เยอรมัน Gott, เปอร์เซีย Bhoda(<-- อันนี้ ชัดเจน มาก)

 John Campbell connected further theonyms, "I have shown elsewhere that the English word God, the German Gott, the Persian Bhoda and the Hindustani Khuda are all derived from the same root as that which appears in Celtic Aeddon or Guydion, the Germanin Odin, Woden or Goutan and the Indian Buddha or Gotama.

3. 
เขาเลยถามว่า "ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ" ตอบว่า "ไม่เคยสนใจ" แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป

ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น 
4. พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า"  ก็เลยถามว่า "พระเยซูใช่ไหม" ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร  ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ"

ตอบ

ก็หลวงพ่อฤาษีไปตอบที่เขาถามว่า  
"ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ" ตอบว่า "ไม่เคยสนใจ" แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป  พระเยซูท่านจึงมาหาหลวงพ่อฤาษียังไงล่ะ  

4.  ก็เลยถามว่า 
"พระเยซูใช่ไหม" ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร  ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ"

ตอบ

ที่หลวงพ่อถามว่า 
"พระเยซูใช่ไหม"  เป็นการถามไปอย่างนั้นแหละ  เพื่อจะสนทนาธรรมกันต่อ  พระเยซู  ก็ตอบไปอย่างนั้นแหละ  ว่า "ใช่ครับ" เพราะตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์ มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร   แต่ที่ต้องถามตอบ ก็เพื่อจะได้สนทนาธรรมกันต่อเท่านั้น

5.  ถามว่า "อยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ชั้นดุสิต"  6. พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ  ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ  9. ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต - พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวก... 10. พวกหนึ่งคือ  พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว  อีกพวกหนึ่งคือ  พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้   

ตอบ

คนที่เป็นพระโพธิสัตว์ได้  ต้องเป็นชาวพุทธนะครับ  พระเยซูไม่ใช่โพธิสัตว์ธรรมดา  เพราะท่าน(พระเยซู)ยืนยันว่า  ท่านเป็นพระบุตรที่เป็นพระเจ้า และเป็นพระบุตรเพียงองค์เดียว  ซึ่งก็คือพระอรหันตโพธิสัตว์  พระบุตรระดับโสดาบัน และอนาคามี เป็นพระบุตรที่ยังไปอยู่กับพระบิดาในนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ไม่ได้  เพราะจิตยังไม่มหาบริสุทธิ์

หลวงพ่อฤาษี ก็เป็นพระบุตรที่เป็นพระเจ้าเหมือนกัน เพราะหลวงพ่อฤาษีเป็นพระอรหันต์  แต่เนื่องจาก หลวงพ่อฤาษีแบ่งแยกศาสนา  จึงไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นพระบุตรของพระเจ้าองค์เดียวเหมือนกัน = พระอรหันต์  และก็ยังไม่รู้ว่าพระโคดมพุทธเจ้า = พระยะโฮวา  เพราะคำว่า GOD มาจาก Godama(โคดม) หรือ Gotama (โคตม)

แต่ผมไม่แบ่งแยกศาสนา  ผมจึงรู้ความจริงสูงสุดว่า พระพุทธเจ้า ศิวะ พรหมสูงสุด นารายณ์ อัลเลาะห์ เง็กเซียน อวโลกิเตศวร  ล้วนเป็นองค์เดียวกันทั้งนั้น  แบ่งแยกกันไปทำหน้าที่สัจธรรมสูงสุดในศาสนาต่างๆ  แต่พระเจ้าที่ทำหน้าที่สอนธรรมและหน้าที่อื่นๆได้  จะเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ สัมโภคกาย หรือกายทิพย์บริสุทธิ์ของพวกท่าน  ที่ธรรมกายของท่านนิรมิตออกมา  เนื่องจากธรรมกายใช้เวลาส่วนใหญ่ในนิโรธนั่นเอง  

คำตอบในข้อที่ 7 และ 8 ในบทสนทนาระหว่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และพระเยซู  ผมขอยกไปตั้งกระทู้ใหม่เพื่อตอบครับ  เพราะเรื่องการสารภาพบาปและการแสดงอาบัติ เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งอย่างมาก  เป็นการทำลายอาณาจักรของมารในขุมนรกทีเดียว  จะมาอ่านเล่นๆ  ผ่านๆตาไม่ได้เด็ดขาด  เพราะคุณจะหนีนรกไม่พ้น

5 ความคิดเห็น:

  1. มั่วสุดๆอย่านำมาเป็นสาระ ฝึกจิตและสมาธิให้กล้าแข็งแล้วพิสูจน์ใหม่ว่าพระเจ้าที่คุณว่าองค์เดียวกันจริงหรือใช่แน่หรือป่าว

    ตอบลบ
  2. ฝึกให้ได้ตาทิพย์หรือได้มโนยิทธิเสียก่อนจะสิ้นสงสัย ต่างคนต่างคิดโดยไม่รู้ไม่เห็นทั้งคู่แล้วคงเถียงกันจนตาย
    เหมือนเต่าขึ้นบกได้คุยกับปลา ปลาก็ไม่เชื่อเต่าว่าบนบกมีจริง แต่กับเต่าคุยกันไม่เถียงกัน้ลย

    ตอบลบ
  3. เป็นอะไรมากป่าว คนตั้งกระทู้ มั่วสุดสุด ไปเช็คสมองบ้างนะ

    ตอบลบ
  4. พระเยซูได้ทรงเตือนเราไว้ว่า “พระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ” จะมาและพยายามหลอกลวงแม้กระทั่งคนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ (มัทธิว 24:23-27; ดู 2 เปโตร 3:3 และยูดาห์ 17-18 ประกอบด้วย) เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากความเทียมเท็จและผู้สอนเทียมเท็จ จงรู้ความจริงเพื่อที่จะรู้ว่าอะไรเป็นของปลอม จงศึกษาของจริง ผู้เชื่อที่สามารถ “แยกแยะพระวจนะแห่งความจริงได้อย่างถูกต้อง” (2 ทิโมธี 2:15) และศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียดรอบคอบจะสามารถรู้ว่าอะไรคือคำสอนเทียมเท็จ

    โดยปกติแล้วการที่จะชี้ตัวใครว่าเป็นผู้สอนเทียมเท็จ/ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ เป็นเรื่องยาก เพระฉะนั้นนี่คือความหมายของคำว่า “หมาป่าภายใต้เสื้อคลุมของลูกแกะ” ซาตานและสมุนของมันตบตาด้วยการปลอมเป็น “ทูตสวรรค์แห่งความสว่าง” (2 โครินธ์ 11:14) ทำตัวเป็นผู้รับใช้ของความชอบธรรม (2 โครินธ์ 11:15) การได้รู้จักความจริงอย่างถ่องแท้เท่านั้นที่จะทำให้เรารู่ได้ว่าอะไรคือของปลอม

    ตอบลบ
  5. GOD พระเจ้า ภาษาอังกฤษ ซึ่งเกิดห่างจาก พระพุทธเจ้า และ พระเยซู เป็นพันปีเลย โยงกันอย่างนี้ออกจะมั่วไปหน่อยนะ

    สมัย พระเยซู ที่ท่านพูดภาษาอาราเมก เรียกพระเจ้าว่า อโลโฮ เอลา ถ้าภาษากรีก ที่ใช้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ จะเรียกว่า ธีโอส แล้ว คนโรมัน ก็เรียกด้วยภาษาละตินว่า เดอุส หรือ ดอมินุส (เทียบได้กับคำว่า Lord ในภาษาอังกฤษ)

    ตอบลบ