A A

8 มีนาคม 2558

หลวงปู่ดู่ และ สมเด็จพระญาณสังวรฯ พูดถึงแดนนิพพาน

มีคำพูดของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ  ที่กล่าวถึงความว่าง หรือสุญญตาว่า เป็นสมบัติของจิตเรา หรือที่เรียกว่า "จิตเดิมแท้" มีสภาพบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ถ้าเราทำให้ปราศจากความปรุงแต่ง จึงจะถึงสภาวะนี้ได้ 

หลวงปู่ดู่ได้พูดถึงแดนนิพพานเหมือนกัน  แต่ผู้คนที่อ่านแล้วก็ยังสงสัยและกังขาอยู่  ไม่เหมือนกับสายธรรมกายของหลวงพ่อสด  และสายมโนมยิทธิของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ  พวกท่านบอกไปตรงๆว่า มีแดนนิพพาน มีเมืองนิพพาน  แต่คนอ่านสิ่งที่หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ พูดแล้วไม่ค่อยเข้าใจ เหมือนกับหลวงปู่เล่นแทงกั๊กอะไรอย่างนั้น  จะบอกว่า 
"แดนนิพพาน มีบ้านเมืองนิพพาน" ก็ใช่  บางครั้งหลวงปู่ดู่ก็ไปพูดว่า นิพพานจริงๆ แล้วเป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย ไม่รู้หลวงปู่ดู่จะเอายังไงกันแน่  ลองอ่านดูนะครับ:

วันหนึ่งหลวงพ่อ(ดู่)ได้เล่าว่า: 

เมื่อ ไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม  อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน  แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปนี้  มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี  องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอารย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฏ ถ้าอธิษฐานขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัป ทำจิตให้ดี" 

แต่ท่อนหลังหลวงปู่ดู่กลับบอกว่า:

"เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้งสี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ 
แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก

ตกลงนิพพานมันมีแดนนิพพาน มีบ้านเมืองนิพพาน  หรือเป็นความว่างกันแน่

คราวนี้ลองมาฟัง สมเด็จพระญาณสังวรฯ เล่าเรื่องหลวงปู่มั่นพบพระพุทธเจ้าในพระนิพพานบ้าง  อาจจะพอทำให้ท่านพอเข้าใจอะไรมากขึ้น

หลวงปู่มั่นพบพระพุทธเจ้าในพระนิพพาน - มีเรื่องเล่ากันนานปีมาแล้ว ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมาหาเถระท่านเคยเล่าว่า

คืนหนึ่งขณะท่านปฏิบัติอยู่ในป่า ใจร่ำร้องกราบพระพุทธบาทสมเด็จพระบรมศาสดา ขอประทานพระมหาเมตตาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีปฏิบัติ  ที่จะนำไปสู่ความสมปรารถนาได้พ้นทุกข์  และสมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงพระเมตตาเสด็จลงให้ท่านพระอาจารย์ได้เฝ้าพระพุทธบาท รับประทานวิธีปฏิบัติธรรมไปสู่ความไกลกิเลสได้สิ้นเชิง 

ท่านพระอาจารย์ท่านเล่าว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลงให้ท่านได้เฝ้าพระพุทธบาท ได้เห็นพระพุทธองค์ดั่งได้เฝ้าพระองค์จริงขณะทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ฉะนั้น 

ไม่ทราบว่าท่านพระอาจารย์ท่านบอกหรือเปล่า ว่าท่านทีความปีติโสมนัสเพียงไรในบุญวาสนาของท่านที่ไม่น่าเป็นไปได้ในชีวิตผู้ใดแต่ได้เกิดแก่ชีวิตท่านพระอาจารย์ท่านแล้วจริงโปรดประทานพระมหากรุณาให้ท่านพระอาจารย์ท่านรู้วิธีเดินจงกรม วิธีปฏิบัติจิตใจ 

จนในที่สุดท่านพระอาจารย์ท่านก็ได้เป็นดั่งองค์แทนศิษยานุศิษย์ผู้สามารถปฏิบัติธรรมดำเนินถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ได้เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติธรรมองค์สำคัญที่สุดอยู่ในยุคนี้ เป็นที่รู้กันอยู่ในบรรดาผู้ใส่ใจในการปฏิบัติธรรมทุกถ้วนหน้า 

เรื่องนี้ ที่ท่านพระอาจารย์ท่านได้เล่าไว้ ไม่เพียงทำให้ท่านได้เป็นอาจารย์ผู้สอนธัมมะสำคัญแก่ศิษยานุศิษย์มากหลาย แต่ทำให้ได้ความเข้าใจที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย 

ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ว่าเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จอยู่ในเมืองพระนิพพานแน่ ยังทรงได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟัง ที่ควรแก่การได้รับพระพุทธเมตตา เช่นท่านอาจารย์มั่นท่านนั่นเอง ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นท่านควรที่สุดแน่นอนแล้วที่จะได้รับพระมหากรุณา ผู้ปฏิบัติธรรมหรือผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายย่อมเห็นด้วยกับความจริงนี้แน่นอน. 

: แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๕๐ 
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

พุทธบารมี พระพุทธเจ้า โดย สมเด็จพระสังฆราช   

พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วไม่ได้หายไปไหน พระพุทธบารมียังปกปักรักษาโลกอยู่ คนในโลกยังรับพระพุทธบารมีได้ มิได้แตกต่างไปจากเมื่อยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องเปิดใจออกรับ มิฉะนั้น ก็จะรับไม่ได้ การเปิดใจรับพระพุทธบารมีไว้คุ้มครองรักษาตนไม่ยากลำบาก ไม่เหมือนการเข็นก้อนหินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำ เพียงน้อมใจนึกถึงพระพุทธเจ้าให้จริงจังอยู่เสมอก็จะรับ
พระพุทธบารมีได้ จะมีชีวิตที่สวัสดีมีสุขสงบได้ 

พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป 
แต่พระพุทธบารมียังพรั่งพร้อม พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่งท่านเล่าไว้ว่า เมื่อท่านปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่ในป่าดงพงพีนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงสอนท่านด้วยพระพุทธบารมีเสมอ และท่านพระอาจารย์องค์นั้นต่อมาก็เป็นที่ศรัทธาเคารพของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นว่าท่านปฏิบัติถึงจุดหมายปลายทางแล้ว 

พระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว 
ด้วยพระพุทธบารมีได้เสด็จไปทรงแสดงธรรมโปรดพระอาจารย์องค์สำคัญให้บรรลุมรรคผลได้ ไม่มีอะไรให้สงสัยว่าเป็นสิ่งสุดวิสัย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

มหาสุญญตา หรือ ธรรมศูนยตา หรือ ปรินิพพาน หรือ พุทธภาวะเริ่มต้น  เป็นผู้สร้างสมมุติและวิมุตติ

ถ้าท่านอ่านที่หลวงปู่ดู่ และ สมเด็จพระญาณสังวรฯ พูดแล้ว ยังไม่เข้าใจอีก  ลองอ่านข้อเขียนของผมดูบ้าง  

สิ่งที่ไม่ได้ถูกสร้างมา  แต่เป็นผู้สร้างสิ่งอื่น ทั้งที่เป็นอมตะและไม่เป็นอมตะขึ้นมา  คือ  มหาสุญญตา หรือ จักรวาลเดิม หรือ ธรรมศูนยตา หรือ ปรินิพพาน หรือ พุทธภาวะดั้งเดิมเริ่มต้น นั่นเอง  ซึ่งเป็นความว่างเฉยๆ  เป็นจิตว่างที่ปิดswitchความคิดทั้งหมด เป็นสูญที่มีอยู่ในความว่างอย่างเดียว  

ความว่างอย่างยิ่งตัวนี้  เป็นผู้สร้างสิ่งที่เป็นสมมุติ(โลก/จักรวาล) และ สร้างสิ่งที่เป็นวิมุตติ(พระเจ้า-พุทธะ) และแดนนิพพาน ขึ้นมา  โดยการเปิดswitchจิตที่ว่าง  พอเปิดswitchจิตที่ว่าง  ก็มีพุทธะออกมา 1 องค์   มีเพียงองค์เดียวเท่านั้น  พระพุทธเจ้าเรียกว่า "อาทิพุทธเจ้า"  อาทิพุทธเจ้า  มีฤทธานุภาพมหาศาลเกินจินตนาการ  

หลังจากนั้น  อาทิพุทธเจ้า  ก็แบ่งแยกจิตพุทธเจ้าของตนเองเป็นพุทธเจ้ามากมายเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ  แล้วก็ยังแบ่งแยกตัวเองออกเป็นอรหันต์มากมายด้วย  หลังจากนั้นก็ให้บรรดาพุทธเจ้าและเหล่าอรหันต์ต่างๆ  สร้างโลกและจักรวาล สร้างสวรรค์นรก และภพภูมิต่างๆมากมาย  โดยให้กฎแห่งกรรมเป็นผู้จัดสรรสถานที่ที่แต่ละจิตต้องไปอยู่

พระอรหันต์ที่เป็น "บุคคลสุญญตา"  สามารถฝึกให้บรรลุถึงขั้น "ธรรมสุญญตา" ได้  มหายานเขาระบุไว้ชัด  แต่เถรวาทยังสับสน  รู้จักแต่คำว่า "นิพพาน"  ไม่รู้จักคำว่า "ปรินิพพาน" อย่างแท้จริง   ความจริงแล้ว "ปรินิพพาน"  ก็คือ "ธรรมสุญญตา"  เป็นภาวะจิตว่างและเป็นแดนที่ว่างอย่างเดียว  ส่วน "นิพพาน" หรือ "บุคคลสุญญตา" มีธรรมกายอยู่ในพุทธภูมิ(ในพุทธเกษตร) และมีกายทิพย์บริสุทธิ์(สัมโภคกาย)อยู่ในแดนนิพพาน(พุทธเกษตร)

สรุป

แดนนิพพาน มี 2 อย่าง

1. แดนนิพพานที่มีบ้านมีเมือง มีผู้เป็นอมตะอาศัยอยู่ ผู้เป็นอมตะอาศัยอยู่ คือ

- 
ธรรมกาย ไม่สังสรรค์กัน ทำแต่สมาธิขั้นนิโรธ พวกท่านจึงต้องนิรมิตกายทิพย์อีกตัวหนึ่ง  ที่พูดจาสังสรรค์ทำกิจกับ 3 ภพได้ขึ้นมา เรียกว่า สัมโภคกาย หรือ พระอรหันต์โพธิสัตว์  อนึ่ง  ตัวธรรมกาย อาศัยอยู่ในแดนนิพพานที่เป็นพุทธภูมิ ซึ่งอยู่ในแดนนิพพานพุทธเกษตร

 - 
กายทิพย์สัมโภคกาย หรือ พุทธนิมิต หรือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ พระอรหันต์โพธิสัตว์ อาศัยอยู่ในแดนนิพพานพุทธเกษตร

2.  แดนนิพพานที่ไม่มีบ้านมีเมือง เป็นสภาพความว่างเฉยๆ  แต่ไม่ใช่สูญ  มีผู้เป็นอมตะอาศัยอยู่ คือ จิตที่ว่าง เรียกภาวะนี้ว่า มหาสุญญตา หรือ ปรินิพพาน

เข้าใจหรือยังครับที่หลวงปูดู่เล่าว่า 
"แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก" ก็คืออย่างนี้

แต่ที่หลวงปูดู่ หลวงพ่อสด หลวงพอฤๅษีเล่าว่า  แดนนิพพานมีบ้านมีเมืองนั้นคือ ธรรมกาย และสัมโภคกาย ก็ถูกต้องด้วย ชั้นนั้นเป็นขั้นพระอรหันต์ที่เป็น "บุคคลสุญญตา" ยัง
มีกายมีรูปอยู่คือ มีกายธรรม(ธรรมกาย) และมีกายทิพย์(สัมโภคกาย)อยู่  ส่วนแดนนิพพานที่ไม่มีบ้านมีเมือง เป็นสภาพความว่างเฉยๆ  แต่ไม่ใช่สูญนะแก คือ ขั้นพระอรหันต์ที่เป็น "ธรรมสุญญตา"  เหลือเพียงแต่จิตว่างเฉยๆ  เป็นตัว "นาม" เท่านั้น

อ่านวันที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต บรรลุธรรมขั้นสูงสุด  แล้วพระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์เสด็จมาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น  ท่อนนี้ดูนะครับ

พระตถาคตแท้คืออะไร  คือความบริสุทธิ์แห่งใจที่เธอเห็นแล้วนั้นแล  
ที่พระตถาคตมาในร่างนี้มาในร่างแห่งสมมุติต่างหาก เพราะตถาคตและพระอรหันต์อันที่จริง  มิใช่ร่างแบบที่มากันนี้   นี่เป็นเพียงเรือนร่างของตถาคตโดยทางสมมุติเท่านั้น.... ฉะนั้นการมาในร่างสมมุตินี้เพื่อสมมุติเท่านั้น

..................ตถาคต นำสาวกมาเยี่ยมเวลานี้ ก็จำต้องมาในรูปลักษณะอันเป็นสมมุติดั้งเดิม เพื่อผู้อื่นจะพอมีทางทราบได้ว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ๆ และพระอรหันต์องค์นั้น ๆ มีรูปลักษณะอย่างนั้น ๆ  ถ้าไม่มาในรูปลักษณะนี้แล้ว ผู้อื่นก็ไม่มีทางทราบได้เมื่อยังต้องเกี่ยวกับสมมุติ.....

สรุปอีกครั้ง

- วิมุตติแท้จริง เป็นจิตที่บริสุทธิ์และว่าง เป็นธรรมสุญญตา
- วิมุตติที่เป็นบ้านเป็นเมือง  เป็นธรรมกาย เป็นสัมโภคกาย  เป็นวิมุตติที่ใช้เพื่อการพบปะสังสรรค์ ประชุม และติดต่อกับ 3 ภพ เป็นบุคคลสุญญตา

2 ความคิดเห็น:

  1. พระพุทธเจ้าโปรดหลวงปู่มั่นโดยอาสัยพุทธบารมี มาโปรดโดยอาศัยสมมุติบัญญัติ อยู่ในโลกสมมุติ ไม่เกี่ยวกับแดนนิพพาน หลวงปู่มั่นเห็นนิพพานตอนอยู่ในมรรคญาณด้วยสอุปาทิเสสนิพพาน และเมื่อละขันธ์ ก็ปรินิพพานดว้ยอนุปาทิเสสนิพพาน หลวงตาบัวบอกว่านิพพานมีสภาวะเป็นหนึ่งไม่แยกพระอรหันต์พระพุทธเจ้า ผิดถูกอย่างไรลองพิจารณาดูครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สาธุครับ สงสัยมาตลอด มากระจ่างที่นี่เลยครับ

      ลบ