A A

5 กรกฎาคม 2558

มนุษย์ล้วนไม่ใช่ตัวตน(อนัตตา) ดันหลงผิดไปบอกว่านิพพานซึ่งเป็นตัวตนแท้จริง..ไม่มี‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

อ้างจาก: วงกลมจุด

พลศักดิ์: อัตตา = กายที่เที่ยง เป็นอมตะนิรันดร เป็นกายจริง ไม่ใช่กายสมมุติ กายจริงคือ กายของพระอรหันต์ในเมืองนิพพาน ที่เรียกว่า อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย หรือ กายแสง และสัมโภคกายหรือกายทิพย์มหาบริสุทธิ์
.........................................
สงสัย ผม จะ เข้าใจ ผิดไป เพราะ นิพพานของผม หมายถึง ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ผมไม่เห็นจะมีกายแสง กายทิพย์ บ้าบอคอแตก นี่เลย หรือ ถ้ามันจะมีจริง ผมก็ ไม่ยึดมั่นถือมั่น อะไรเลย กายเดียวในตอนนี้ ก็ เหลือแหล่ละ ไอ้ กายอมตะนิรันดร์ นี่ ถ้ามีจริง ก็ คงจะเซ็งเป็ด น่าดู เพราะ ไม่รู้ จะมีอยู่ โด่เด่ ไปทำไม

เฮ้อ พลศักดิ์ นี่ บ้าเรื่องกายทิพย์ มากเลยนะ

ตอบ

นิพพานอะไรของคุณวงกลมครับ 
ที่ไม่มีอะไรเหลือ ในเมื่อพลังงานและสสารไม่มีวันสูญหายหรือสิ้นสลายไป มีแต่เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่นเท่านั้น   พลังงานในโลกก็เปลี่ยนเป็นพลังงานในนิพพานคือ เปลี่ยนเป็นธรรมกาย(อายตนะนิพพาน) ซึ่งเป็นอายตนะแบบหนึ่งทีไม่ใช่พลังงานและสสารในโลกและจักรวาล แต่เป็นพลังงานเหนือโลกและเหนือจักรวาล = พระเจ้า

สิ่งที่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว มีสิ่งเดียว คือ อนัตตา
 (ไม่มีตัวตน) = ขันธ์ 5 ของคุณกับผม และทุกคน  พวกมันไม่เคยมีอยู่เลย  ความยึดมั่นถือมั่นว่า มีตัวกูของกู  ทำให้พวกมันมีอยู่

ส่วนนิพพานเป็นอัตตา
 (มีตัวตน เป็นตัวตน) จึงต้องมีอะไรเหลือ เป็นรูปแท้ที่เป็นอมตะ  จะแสดงรูปเป็นอะไรก็ได้  หรือจะไม่เป็นรูป คือ เป็นอรูปก็ได้

นิพพานเป็นรูป คือ 
กายทิพย์สัมโภคกาย 
นิพพานเป็นแสง คือ 
ธรรมกาย
นิพพานเป็นอรูป คือ
 ธรรม หรือ ปรินิพพาน ซึ่งเป็นจิตว่างเฉยๆ ไม่มีรูป

หลวงปู่ดู่ บอกว่า "แดนพระนิพพานจริงๆ (ปรินิพพาน)ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก

สรุป


ของที่สูญหรือไม่มีอะไรเหลือแล้ว จริงๆมันไม่เคยมีอะไรอยู่เลย คือ อนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน เป็นแค่มายา ความยึดถือของเราทำให้มันมีอยู่สำหรับเรา) = โลกและจักรวาล และกาย(ขันธ์ 5) ของสรรพชีวิต
ของที่ไม่สูญ เป็นอัตตา เป็นตัวตน มีอยู่จริงๆ และมีอยู่ชั่วนิรันดรด้วย คือ นิพพานและปรินิพพาน =  สิ่งเหนือโลกและเหนือจักรวาล = พระเจ้าหรือมหาสุญญตา

ผู้ที่จะค้นพบความจริงเรื่องนี้  ต้องมองกลับแบบสุดโต่งกับคุณวงกลมเท่านั้น  พระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้ที่มองกลับแบบสุดโต่งกับชาวโลก จึงรู้ความจริง  เช่น  เรื่องการดับความทุกข์ พระพุทธองค์มองว่าไม่ใช่ไปเอาทุกสรรพสิ่งในโลกมาเป็นของตน  แต่การดับทุกข์  ต้องไม่เอาและไม่ต้องการสรรพสิ่งใดในโลกมาเป็นของตน  จิตจึงจะว่างเปล่า  ความว่างเปล่าของจิตนั้นแล  ทำให้ demand ในสรรพสิ่งต่างๆไม่มี(0)  เมื่อไม่มีdemand  supply ก็ไม่จำเป็น(0)  เราก็อยู่ได้  และอยู่ได้ชั่วนิรันดรด้วย  เพราะค่าจ้างของบาป คือ ความตาย  เมื่อเราไม่ก่อบาปกับใครอีก และใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรของเราหมดแล้ว  เราจะตายอีกไม่ได้ = เรากลายเป็นพระเจ้า(พระอรหันต์)ไป

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องค้นพบความจริงที่ผมกล่าวมา  และต้องรู้ลึกกว่า  ผมเป็นแค่พระโพธิ์สัตว์อรหันต์  จึงยังไม่รู้เท่าพระพุทธเจ้า  ซึ่งเป็นตถาคตและเป็นสัพพัญญู

0 comments:

แสดงความคิดเห็น