A A

16 พฤษภาคม 2558

ความเป็นมาย่อๆของพวกเราทุกจิตในจักรวาล + กายจิต 18 กายจิต

เริ่มจากในสมัยยุคต้นกัป พลังงานของจิต = จิต+กาย = นาม+รูป พลังงานเหล่านี้ได้ออกจากสภาวะสงบและหยุดนิ่ง(ภาวะนิพพาน) มาเป็น สภาวะเคลื่อนไหว (ภาวะของจักรวาล) 

จิต+กาย(นาม+รูป)ทั้งหมด จึงส่งพลังงานจิตมวลรวมของตนเอง ออกมาสร้างโลกและจักรวาล แล้วก็มาเล่นเกมส์แก้เซ็งในโลกและจักรวาล ที่พวกตนสร้างขึ้นมาด้วย

แต่เนื่องจากในสมัยยุคต้นกัป ยังไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่มีสังสารวัฏ ภพภูมิจึงมีอย่างง่ายๆ คือ มีภพภูมิแค่ 3 ภพภูมิ ได้แก่

- ภพที่อยู่ของโลกวิญญาณดี คือ เทวโลก เป็นที่อยู่ของคณะเทพ
 
- ภพที่อยู่ของโลกมนุษย์
- ภพที่อยู่ของโลกวิญญาณเลว เช่น ปีศาจ อสูร


มีจุดที่น่าสนใจตรงนี้ คือ เทวโลกที่อยู่ของคณะเทพ ที่เป็นวิญญาณดี

- ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ก็อยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
 
- ถ้าไม่มีกิเลสหรือหมดกิเลสแล้ว ก็เป็นปรมาตมัน(นิพพาน) กลับเข้าไปสู่เมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร) ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายอีก

ด้วยเหตุนี้ กายจิตของพวกเราทั้งหมด จึงมีจิต(กาย)ของพวกเราอยู่ในเมืองนิพพาน และก็มีอีกกาย(จิต)หนึ่งวนเวียนอยู่ในจักรวาล แต่กายจิตของพวกเราในเมืองนิพพาน(พุทธเกษตร)นั้นยังไม่ตื่น เพียง
กายจิตของพระพิฆเนศ พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหมโลกุตตระ พระแม่อุมา ฯลฯ พวกท่านตื่นแล้ว = จิตของพวกท่านมหาบริสุทธิ์แล้ว พวกท่านจึงสามารถแสดงบทบาทในเมืองนิพพานได้ และปล่อยให้อีกจิตหนึ่งที่มหาบริสุทธิ์เช่นกัน แต่ไม่ยอมทิ้งความเมตตากรุณาออกจากใจ แสดงบทบาทเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์อยู่ในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ในยุคต้นกัป

เมื่อผ่านยุคต้นกัปไปแล้ว กุศลฝ่ายดี และอกุศลฝ่ายเลว ก็เริ่มแสดงบทบาทของตนเองอย่างเด่นชัดออกมา ภพภูมิที่มีแค่ 3 ภพภูมิ ก็ถูกจำแนกย่อยออกไปเป็น 31 ภพภูมิ ตามคุณภาพของจิตใจ พระอรหันต์โพธิสัตว์ ที่ไม่ยอมทิ้งความเมตตากรุณาออกจากใจ จึงเปลี่ยนไปอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตแทนที่จะอยู่ในชั้นดาวดึงส์

กาย+จิต ทั้ง 18 กายจิตของมนุษย์

พระโคตมะพุทธเจ้าของเรา ได้จำแนกย่อยภพภูมิที่เคยมี 3 ภพภูมิออกเป็น 31 ภพภูมิ และได้เปลี่ยนชื่อเรียกภพภูมิทั้ง 3 ใหม่ว่า สุคติภูมิ
(แดนสวยผลบุญ)ทุคติภูมิ(อบายภูมิ-แดนเสวยผลบาป)และมนุษย์ภูมิ

หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ที่พระโคตมะพุทธเจ้าของเราประทานวิชาธรรมกายให้แก่ท่าน หลวงพ่อสดได้จำแนก กาย+จิต ที่ถูกปฏิจจสมุปบาทหรือถูกอวิชชา(กิเลสตัณหา)เล่นงานเป็น 18 กายจิต มีทั้งกาย+จิตที่ต่ำกว่ามนุษย์ คือ กายจิตของ (สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือแม้แต่สัตว์นรกในโลกันต์) และกาย+จิตที่สูงกว่ามนุษย์ คือ กายจิต ของเทวดา พรหม จนถึงขั้นสูงสุดขั้น 18 คือ กายจิตอรหันต์ละเอียด

หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ กล่าวไว้ชัดเจนว่า:
 "สัตว์เดรัจฉานน่ะเป็นแต่กายข้างนอก กายข้างในน่ะ เป็นกายมนุษย์ละเอียดแท้ๆ"

ดังนั้น อ้ายตัวแมลงสาบ ม้า ช้าง สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ฯลฯ ก็เป็นแค่กายข้างนอก ข้างในน่ะเป็นมนุษย์ ทั้งนั้นแหละ
 

สรุป เรื่องกาย+จิต ทั้ง 18 กายจิต ตามคำสอนของหลวงพ่อสด

จากคำสอนของหลวงพ่อสด ที่แยกกายจิตออกเป็น 18 กายจิต ชี้ชัดว่า:

" พระอรหันต์ พรหม เทวดา สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ฯลฯ รวมแล้วมี 18 กายจิต ทั้งหมดน่ะเป็นแค่กายข้างนอก แต่กายข้างในน่ะ เป็นกายมนุษย์ละเอียดแท้ๆ "

กระทู้ต่อไปผมจะยกตัวอย่างกายจิตของพระราหู ซึ่งมีกายจิตที่เป็น
พระราหูดำ และมีอีกกายจิตหนึ่งที่เป็นพระราหูขาวให้ดูเป็นตัวอย่าง ผมจะถามท่านเพื่อยืนยันให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยเขียนกระทู้ 

ผมนัดกับพระราหูขาวในวันเสาร์-วันอาทิตย์นี้ ท่านบอกว่าจะมาเตือนเรื่องวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน เป็นวันเกิดพระพิฆเนศด้วย ห้ามผมจ้องมองดวงจันทร์เด็ดขาด เพราะจะทำให้ผมโชคร้ายไปอีก 1 ปี ทั้งๆที่ปีหน้าผมจะโชคดีมากๆๆๆ พระราหูขาวบอกว่า พระพิฆเนศเคยสาปเทพพระจันทร์เอาไว้ในสมัยต้นกัป เนื่องจากไปหัวเราะเยอะเย้ยพระพิฆเนศว่าหัวเป็นช้าง แล้วยังอ้วนเตี้ยพุงพลุ้ย แล้วตอนนี้ผมเป็นมนุษย์แค่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจเป็นเทพเจ้าชั้นดุสิตแล้ว จึงต้องรับผลคำสาปของพระพิฆเนศด้วยถ้าไปจ้องมองดูพระจันทร์

จริงๆแล้ว ผมก็แทบไม่เคยจ้องมองดวงจันทร์ แต่พระราหูขาวมาเตือนแบบนี้ เหมือนกับท้าทายผม ขนาดปี 2556 เป็นปีกุน ซึ่งเป็นปีชงกับปีมะเส็งปี 2556 ของเทพ
 
"ไท้ส่วยเอี๊ย" ซึ่งเป็นพลังงานของพระราหูองค์หนึ่ง ผมยังทำกรรมฐานแล้วแผ่เมตตา อุทิศผลบุญทั้งหมดที่ทำมาให้ท่านไท้ส่วยเอี๊ย เพื่อเป็นเครื่องบูชาสักการะท่าน ขอให้ท่านประทานพรให้ แล้วยังหน้าด้านขอให้พระราหูดำประทานพรให้ด้วย โดยทำการสักการะด้วยวิธีการเดียวกันในวันพุธ ซึ่งพวกท่านคงจะประทานพรมาให้มั๊ง โชคร้ายตลอดทั้งปี 2556 ของผมจึงยุติลง

0 comments:

แสดงความคิดเห็น