A A

14 เมษายน 2558

ถ้าผลรวมของกรรมไม่ได้เป็นไปตามที่ดวงจิตสุดท้ายกำหนด ภพภูมิก็ต้องเปลี่ยนไปภายหลัง

อ้างถึง

เราได้อ่านหนังสือเล่มนึงมา  ดร. ท่านนึงบอกว่า  การที่เราเข้าใจว่าดวงจิตสุดท้ายคนเราก่อนตายนั้นจะนำเราไปสู่ภพภูมิต่างๆเป็นความเข้าใจที่ผิดเพราะว่า  กรรมที่จะส่งผลเราก่อนนั้นหรือ คุรุกรรม  แล้วถ้าคุรุกรรมไม่มีกรรมต่อไปที่จะส่งผลคืออาจิณกรรม  และดวงจิตสุดท้ายก็จะส่งผลต่อจากอาจิณกรรม  (แต่คิดไปคิดมาอาจิณกรรมกับดวงจิตสุดท้ายมันก็คือๆกันนะ  เพราะถ้าเราเคยชินกับการทำกุศลด้านใดบ่อยๆ  มันก็จะเป็นอาจิณกรรมและดวงจิตสุดท้ายในเวลาเดียวกันใช่รึป่าว ?)

Violetmay โพสต์

ตอบ

ตามที่อาจารย์ท่านนี้บอก  เป็นการอ้างอิงจากความเชื่อที่ว่า กรรมหนัก และกรรมที่ทำเสมอๆ จะเป็นตัวกำหนดภพภูมิที่วิญญาณดวงนั้นจะไปเกิด  เรียงตามลำดับกรรมที่จะให้ผลก่อนตามลำดับลงไปดังนี้  

1. ครุกรรม คือ. กรรมหนัก  2. อาจิณณกรรม คือ กรรมที่ทำเสมอ ๆ  3. อาสันนกรรม คือ กรรมที่ทำใกล้จะตาย  4. กฏัตตากรรม คือ กรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ

แต่ในทางปฏิบัติ  และความจริงที่ปรากฏ  มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ดวงจิตสุดท้ายของคนเราก่อนตายนั้น  นำเราไปสู่นรกสวรรค์จริง พระนางมัลลิกาไปตกนรกอยู่ ๗ วัน(โลกมนุษย์)  เหตุเพราะดวงจิตสุดท้ายดันไปคำนึงถึงแต่การสะดุดเท้าพระเจ้าปเสนทิโกศล  ซึ่งเป็นกรรมเพียงเล็กน้อย(กฏัตตากรรม)  อย่างไรก็ตาม  เมื่อครุกรรม หรือกรรมหนักคือบุญใหญ่ที่ทำเสมอๆมาถึง  พระนางมัลลิกาก็ต้องเปลี่ยนไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แทน และอยู่ยาวนานแสนนานมากๆ

ผมหมายความว่า ดวงจิตสุดท้ายคนเราก่อนตายถ้าเป็นกุศลหรืออกุศล จะนำเราไปสู่ภพภูมิต่างๆที่ผิดไปจากคุรุกรรมและอาจิณณกรรมจริง  แต่ไม่ได้หมายความว่า  เราจะต้องปักหลักอยู่ในภพนั้นนานตลอดไป  วิญญาณในจิตนั้นจะเปลี่ยนไปอยู่ในภพภูมิที่เป็นผลรวมสุทธิของทุกกรรมอีกทีหนึ่งในภายหลัง

- ส่วนผู้ที่จิตสุดท้ายยึดอยู่ที่พระพุทธเจ้า  พระรัตนตรัย หรือพระเจ้า  ซึ่งมีอำนาจสูงสุด  เขาก็ย่อมต้องเป็นเทพนานมากๆๆๆๆๆๆเลย  เช่น นายแคล้ว ธนิกุล  อมพระสมเด็จไว้ในปากก่อนตาย ระลึกถึงพระพุทธเจ้า  หรือมัฎฐกุณฑลีเทพบุตรผู้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนตาย  พวกนี้ได้ไปสวรรค์แล้วอยู่นานมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆทั้งนั้น

ตัวบิดาของมัฎฐกุณฑลีถามพระพุทธเจ้าว่า :

 
"พระสมณโคดม คนไม่เคยยกมือไหว้ท่าน ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ เพียงนึกชื่อท่านอย่างเดียวตายไปแล้วเกิดเป็นเทวดา นางฟ้ามีไหม"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"พราหมณ์ คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยยกมือไหว้ ไม่เคยฟังเทศน์จากเรา ตายไปแล้วไปเกิดบนสวรรค์ ไม่ใช่นับร้อยนับพัน แต่นับเป็นโกฏิๆ"

ส่วนคนชั่วๆ เช่น นายdhammajak และนายพระนาย ที่พวกนี้ทำการปลอมแปลงพระสูตร นรกถามหาแน่นอน  แม้กระทั่ง ผู้ก่ออนันตริยกรรม และกรรมชั่วอื่นๆ โดยที่มิเคยทำกุศลกรรมเลย  พวกนี้มีทางรอดดีที่สุดคือ  เข้าไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตร  ถ้าตั้งใจภาวนาพระนามพระอมิตาภะพุทธเจ้าต่อเนื่องกัน ๑๐ ครั้ง  ขอให้รับไปอยู่ในแดนสุขาวดีด้วยเมื่อตาย ในขณะที่ภาวนาพระพุทธนามนี้อยู่นั้นวิบากกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ได้ถูกกำจัดให้สิ้นไป  

ไม่ต้องเผชิญกับวิบากกรรมแห่งวัฏสงสารในอนาคต  เนื่องจากวิบากกรรมนั้นยังไม่ถึงเวลาสนองผล  เราก็ได้หลุดพ้นก่อนเสียแล้ว

การที่คนชั่วไม่ต้องไปชดใช้กรรมในอบายภูมิ แต่ได้ไปเกิดในสุขาวดีแทนนั้น ตามอรรถกถาก็กล่าวว่า
ผู้ทำกรรมชั่วจะได้รับวิบากชั่วได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีปัจจัยให้วิบากนั้นเกิดขึ้นเพื่อสนองผล แต่ในสุขาวดีเป็นสุคติภูมิ  ปราศจากซึ่งปัจจัยแห่งอบาย   ดังนั้นผู้ที่ไปเกิดในสุขาวดี  จึงไม่ต้องรับทุกข์ทรมาน แต่ต้องบำเพ็ญเพียรในดอกบัวของตนเอง เป็นเวลาแสนนานแทน

สรุป

ในทางศาสนาพุทธเถรวาท  พระพุทธเจ้าชี้ชัดว่า  ดวงจิตสุดท้ายที่เป็นกุศล จะนำเขาไปสวรรค์  ดวงจิตสุดท้ายที่เป็นอกุศล จะนำเข้าไปอบายภูมิ  แต่การจะอยู่ที่นั่นนานหรืออยู่ชั่วคราว  ก็ขึ้นอยู่กับผลรวมของกรรมที่เขาทำมา  ซึ่งจะเป็นปัจจัยเปลี่ยนภพภูมิของเขาอีกครั้งหนึ่ง    

- ถ้าดวงจิตสุดท้ายของเขาไประลึกถึงพระพุทธเจ้า  อันนี้ก็ถือว่าเขาเฮงสุดขีด อยู่ในสวรรค์แห่งนั้นโคตรของโคตรนานเลย

ในทางศาสนาพุทธมหายาน  นิกายสุขาวดีชี้ชัด  การบริกรรมเอ่ยพระนาม พระอมิตาภะพุทธเจ้าต่อเนื่องกัน ๑๐ ครั้ง  ขอให้รับไปอยู่ในแดนสุขาวดีด้วยเมื่อตาย สามารถปัดเป่าบาปทุกชนิด และถ่วงเวลาการรับผลบาปนั้นออกไปไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยกัลป์  เมื่อถึงเวลาต้องเผชิญกับวิบากกรรมแห่งวัฏสงสารในอนาคต.... ถึงตอนนั้น  ถ้ามึงยังไม่บรรลุธรรมแม้แต่โสดาบัน  มึงก็สมควรรับผลกรรมของมึงแล้ว

+++กัลป์หนึ่งเท่ากับ 16ล้าน 7 แสน 9 หมื่น 8 พันปี+++

.................................................................................................

ผู้ไปเกิดยังระดับล่างของบัวชั้นล่าง ก็คือเวไนยสัตว์ในสัพพะโลกของเรานี่เสาะแสวงใคร่ได้เกิดในวิสุทธิภูมิ โดยการสวดมนต์ภาวนาแล้วพกกรรมติดตัวไปเกิดยังสุคติภพนั่นเอง


    “พกกรรมติดตัว ไปเกิดสุขาวดี

นายdhammajak และนายพระนาย ที่ชั่วขนาดดัดแปลงและปลอมแปลงพระสูตร นรกในสังสารวัฏ ถามหาพวกเองแน่นอน  พวกเองควรย้ายสำมะโนครัวไปเกิดที่นี่ได้แล้ว... แนะนำด้วยความหวังดีนะ

ชั้นที่ 8. บุคคลผู้ละเมิดต่อศีลทั้งปวง มีที่ไปเกิดแน่ ๆ คือ
อบายภูมิ ( เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย สัตว์นรก ) เมื่อใกล้
ดับขันธ์ จะมีกรรมนิมิต คตินิมิตเป็นที่น่าสะพรึงกลัว แต่โชคดี
อาศัย บัณฑิตช่วยชี้แจงสรรเสริญพระคุณของพระอมิตาภาและ
ความสวยงามของแดนสุขาวดี กรรมนิมิตที่แลเห็นเป็นไฟนรกก็
จะกลับกลายเป็นดอกบัว และดอกบัวนั้นจะมีภาพแปลงกายของ
พระอมิตาภาพุทธเจ้าและพระอัครสาวกทั้งสองพระองค์มารับ
เมื่อจุติในดอกบัวตูม
กาลเวลาล่วงไปนานถึง 6 กัลป์ ดอกบัว
จึงบานออก
และจึงมีโอกาสฟังธรรมจากพระมหาโพธิสัตว์ทั้ง
สองพระองค์ จักบังเกิดโพธิจิตแก่บุคคลนั้นโดยพลัน

ชั้นที่ 9. บุคคลผู้ประกอบแต่ความชั่ว สมควรสู่อบายภูมิ เมื่อ
ใกล้ตายมีผู้มาตักเตือนให้สวดรำลึกถึงพระอมิตาภาพุทธเจ้า
ชั่ว 10 ขณะจิต กรรมคติร้ายก็จะกลายเป็นดอกบัวทองมา
ปรากฏอยู่เบื้องหน้าและรับบุคคลนั้นไปเกิด ณ แดนสุขาวดี
อุบัติในดอกบัวอยู่นาน 12 มหากัลป์ ดอกบัวจึงบานออกได้รับ
พระธรรมเทศนาจากพระมหาโพธิสัตว์ทั้ง 7 พระองค์ แล้วโพธิ
จิตก็จะบังเกิดโดยพลัน

0 comments:

แสดงความคิดเห็น