A A

4 เมษายน 2558

ปรินิพพาน(นิพพานแท้) และ นิพพาน(พุทธเกษตร-สวรรค์นิรันดร พุทธภูมิ)

คุณชายรักชาติเขียนว่า:  พุทธะที่นิพพานแล้วและยังไม่นิพพาน

1.ที่นิพพานแล้ว ไม่ยุ่งเรื่องทางโลก ยกเว้นทางโลกนิมนต์  แล้วท่านรับกิจนิมนต์นั้น
แต่จะไม่ทำสิ่งใดกระทบต่อโลก  ทั้งด้านดีหรือด้านร้าย
2.ที่ยังไม่นิพพาน จะอยู่ในแดน "พุทธเกษตร" มีผลต่อโลกทั้งด้านดีและไม่ดี
เพื่อคุมสมดุลของโลก ด้านดีเพื่อรักษาโลกไว้ให้ปวงสัตว์ที่ยังไม่ถึงวาระนิพพาน
ด้านร้าย เพื่อให้มนุษย์ไม่หลงโลก และวิบากกรรมได้ชำระกันไปตามจริง

ตอบ

1.  ผมได้ตอบเรื่องนิพพานไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง  แต่เว็บyantipก็ลบข้อมูลของผมทิ้งไปทุกครั้ง  แล้วยังไล่ผมออกจากเว็บกว่า 15 ครั้ง  พอคนใหม่เข้ามาหาเรื่องนิพพานที่ผมเขียน  ก็ไม่มีข้อมูลในเว็บyantipให้ค้นคว้า  ก็เลยไม่เข้าใจเรื่องนิพพาน  เรื่องนิพพานนี้ ถ้าไปใช้สมองคิดเอาเอง  ก็จะตีความผิดๆถูกๆเหมือนคุณชายรักชาติ

วันนี้ผมจึงขออธิบายเรื่องนิพพานอย่างละเอียดกว่าเดิม  วันหลังใครสงสัยอีก  ผมก็จะได้เอาคำอธิบายนี้ให้เขาอ่าน

คำว่า "นิพพาน" หลังจากกายและจิตมนุษย์ดับสลายไปแล้ว  มี 3 แบบ

1... นิพพานที่มีอายตนะ(มีขันธ์หรือรูปกาย)นิพพาน  มีบ้านมีเมือง  อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย สถานที่ที่ธรรมกายต่างๆอยู่ คือ พุทธภูมิ ซึ่งเป็นแดนหนึ่งในพุทธเกษตร(เมืองนิพพาน)  วันๆธรรมกายจะอยู่แต่ในสมาธิขั้นนิโรธ  ไม่ยุ่งเรื่องทางโลก

หลักฐาน 

-   พระพุทธองค์ทรงตรัสถึงนิพพานนั้น มีอายตนะด้วยเรียกว่า "อายตนะนิพพาน"

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
'อายตนะนั้นมีอยู่' ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ 
วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็น
การไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิ
ได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
"

- พระอวโลกิเตศวรยืนยันกับพระสารีบุตรว่า ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน   บันทึกอยู่ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรจึงตรัสสอนพระสารีบุตรว่า

ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คือ อายตนะนิพพานนั้นเอง 
ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "

- ในคิริมานนทสูตร: เมืองพระนิพพาน  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเทศนาว่า  
"อานนฺท  ดูกรอานนท์  นิพฺพานํ  นครํ  นาม  อันชื่อว่าเมืองพระนิพพาน ย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก  โลกมีที่สุดเพียงใด  พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดเพียงนั้น  พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้

พูดง่ายๆ เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสถึงนิพพานที่มีอายตนะด้วย ที่เรียกว่า "อายตนะนิพพาน"  พระพุทธองค์ก็หมายถึง ธรรมกาย และเมืองพระนิพพาน ซึ่งธรรมกายอยู่ในพุทธภูมิ ดินแดนหรือเขตหนึ่งในเมืองพระนิพพาน(พุทธเกษตร)

2... นิพพานแท้  หรือปรินิพพาน  ตัวนี้เป็นจิตว่างเฉยๆ ไม่ยุ่งเรื่องทางโลกแล้ว  ทางโลกนิมนต์ ท่านก็ไม่ออกมา  ยกเว้นพระมหาโพธิสัตว์กวนอิม  ที่พระพุทธเจ้าทั้งหมดอนุญาตให้ทำหน้าที่เรียกท่านได้  แต่ก็คงไม่เรียก  เพราะก่อนจะเข้านิพพานแท้ หรือเข้าปรินิพพาน  ท่านจะแยกตัวท่านออกเป็นธรรมกาย และสัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์)เพื่อทำหน้าที่ต่างๆในทุกภพภูมิแทนท่านอยู่แล้ว  

- นิพพานแท้  หรือปรินิพพาน เป็นจิต  พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระมหากัสสปะว่า

ดูกรกัสสปะ เธอมีธรรมจักษุครรภ์อันถูกต้อง และนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริงย่อมไม่มีลักษณะ เธอพึงรักษาไว้ให้ดี "

พระพุทธเจ้าตรัสชัดๆว่า 
"นิพพานจิต"

- ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ธรรมกาย และสัมโภคกาย จะทำหน้าที่แทนพระอรหันต์ที่เข้านิพพานแท้หรือปรินิพพานไปแล้ว คราวนี้ลองตีความคำตอบของพระนาคเสนเรืองปรินิพพานกับธรรมกายบ้าง

พระนาคเสนตอบคำถามพระเจ้ามิลินท์ว่า ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าดับขันธ์
ปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีใครอาจชี้ได้ว่าไปอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียง พระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

.... นี่ย่อมชี้ชัดว่า จะไปติดต่อพระพุทธเจ้าในปรินิพพาน(นิพพานแท้)ไม่ได้  เพราะไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด  แต่ติดต่อพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมกายพอได้บ้าง  พระนาคเสนจึงบอกว่า  
"...อาจชี้ได้เพียง พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

แล้วถ้ามนุษย์และผู้ที่อยู่ใน 3 ภพ 31 ภพภูมิ จะติดต่อพระพุทธเจ้า(พระเจ้าที่เป็นพระบิดาและพระธรรม)ต่างๆ และติดต่อบรรดาครูบาอาจารย์อรหันต์ได้ที่ใดล่ะในพระนิพพาน  ต้องติดต่อที่นี่ครับตามข้อ 
3...  ส่งโทรจิตหรือจุดธูป 7 ดอกไปคุยกับพวกท่านได้เลย

3...นิพพานกายทิพย์อมตะ หรือสัมโภคกาย หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์

เถรวาทยอมรับว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระกายเพียง 2 เท่านั้นคือ ธรรมกาย และ นิรมานกาย(กายมนุษย์) เหตุไฉนมหายานจึงกลับมีกายพระพุทธเจ้า 3 กายได้ล่ะ

เรื่อง ตรีกาย พระกายทั้ง 3 ของพระพุทธเจ้านั้น มีบันทึกอยู่ใน "กายตรัยสูตร" พระอานนท์ทูลถามถึงเรื่องพระกายของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า ตถาคตมีกายเป็น 3 สภาวะคือ "ตรีกาย"

อนึ่ง  "สัมโภคกาย"  เป็นกายของพระพุทธองค์อันสำแดงปรากฏให้เห็นเฉพาะหมู่ พระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ ที่เป็นกายทิพยภาวะด้วยกันเห็นได้  เพราะฉะนั้น แม้จนกระทั่งบัดนี้ พระโพธิสัตว์อรหันต์ต่างๆ ก็ยังอาจจะเห็นพระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ในรูปสัมโภคกาย

พระพุทธเจ้า ที่ยังทรงสดับรับฟังคำสวดมนต์ และคำวิงวอนของเรา แม้พระองค์จะดับขันธปรินิพพานไปเป็นจิตว่างเฉยๆ  เพราะพระพุทธเจ้าท่านให้ธรรมกายของท่านเนรมิตกายทิพย์สัมโภคกายออกมา  กายทิพย์สัมโภคกายเป็นผู้ทำหน้าที่รับฟังเรื่องราวทางโลกนั่นเอง

- สมเด็จพระสังฆราชแพ และ สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร ใช้คำเรียก สัมโภคกาย ว่า 
"พุทธนิมิต"
- ศาสนาคริสต์เรียก สัมโภคกาย ว่า 
"พระวิญญาณบริสุทธิ์"  ในขณะที่เรียก ธรรมกาย ว่า "พระบิดา"

สรุป

นิพพานมี 3 สภาวะ
1. ปรินิพพาน(นิพพานแท้) เป็นจิตว่างสงบเฉยๆ  ไม่เนรมิตอะไรออกมาอีก  ไม่ยุ่งเรื่องทางโลก
2. ธรรมกาย เป็นจิตว่างสงบ ที่เนรมิตกายและเมืองพระนิพพานขึ้นมา ที่เรียกว่า พุทธเกษตร  ธรรมกายจะอยู่ในพุทธภูมิ  ซึ่งเป็นเขตหนึ่งในพุทธเกษตร  ธรรมกายจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องทางโลก  อยู่แต่ในสมาธิขั้นนิโรธ  
3. กายทิพย์อมตะสัมโภคกาย หรือ "พระวิญญาณบริสุทธิ์" หรือ "พุทธนิมิต"  ท่านเป็นผู้กำกับดูแลโลก  จึงสามารถยุ่งเรื่องทางโลกได้

0 comments:

แสดงความคิดเห็น