A A

12 เมษายน 2558

ธรรมธาตุ หรือ อสังขตธรรม คือ นิพพาน ปรมาตมัน พระเจ้า เต๋า เป็นผู้สร้างสิ่งทั้งปวง

วัชรสูตร ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน ?
....หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล และความเป็นไปตามธรรมดา

555
พลศักดิ์ไปลอกมามั่วๆแล้วจ่ะ

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่าอสังขตธรรม”
อสังขตะธรรม ไม่ได้สร้างสัตว์ จ่ะ แต่ ทำลายสัตว์ ในสัตตาวาสเก้า ไม่เกิดสัตว์ อีกจ่ะ


มั่วแล้วจ่ะ สัตว์ที่เกิดได้ เพราะความสิ้นไป ของโลภะโทสะโมหะ
เป็นได้เพียงฝันร้ายของมารพลศักดิ์ จ่ะ


dhammajak โพสต์

ตอบ

มารย่อมไม่ยอมรับพุทธศาสนา และแอนตี้พุทธศาสนาตลอดกาลอยู่แล้ว ยิ่งมามีหน้าที่คุมระบบเว็บพุทธศาสนาด้วยแล้ว เช่น นาย
dhammajak มีหรือมารใจบาปจะปล่อยให้พุทธศาสนาของจริงลอยนวล 

นอกจากนี้ มารมันไม่เกรงกลัวบาป เพราะไฟนรกยังลามมาไม่ถึงตัว มารdhammajakหาว่าผมมั่ว 555555 ไร้สาระสิ้นดี ทุกกระทู้ของผมมีพุทธพจน์และคำยืนยันจากพระอริยะเจ้าเสมอ มารdhammajakจึงต้องลบทุกกระทู้ของผมที่มีพุทธพจน์ และคำยืนยันจากพระอริยะเจ้าทิ้งไปให้หมด เพื่อจะได้กล่าวใส่ร้ายผม คนที่มีหลักฐานว่ามั่วได้สะดวก

ผมคงไม่ไปตอบโต้จอมมารในเว็บธรรมะอีก เพราะผมรู้แล้วว่า มีสิ่งเดียวที่สอนมารได้ คือ ไฟนรกอเวจี ผมคงต้องวางมือในการสอนพวกมาร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของไฟนรกอเวจีทำการสอนแทน

แต่ผมต้องลงวชิราสูตร อีกครั้งหนึ่ง และต้องอธิบายให้ฟังเรื่องอสังขตธาตุชัดๆ

1. วชิราสูตร ยืนยันว่า: ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม เป็นผู้สร้างสรรพสัตว์

วชิราสูตร พุทธพจน์ และ พระสูตร ๔๑. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕

สัตว์นี้ ใครสร้าง
?
ปฏิจจสมุปบันธรรม เป็นผู้สร้างสัตว์ ตลอดจนสังขตธรรมทั้งปวง

ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน
?
ไม่มีผู้สร้าง หรือกล่าวว่าผู้สร้างคือ ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล และความเป็นไปตามธรรมดา

สัตว์บังเกิดในที่ไหน
? ทุกแห่งหน ที่เกิดขึ้นแห่ง ปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือเมื่อมีเหตุมาเป็นปัจจัยครบองค์

สัตว์ดับไปในที่ไหน
? ทุกแห่งหน ซึ่งเป็นที่ดับไปแห่งปฏิจจสมุปบันธรรมหรือการดับไปแห่งเหตุปัจจัย หรือหลักอิทัปปัจจยตา

สรุปวชิราสูตร

ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล ที่เป็นผู้สร้างสรรพสัตว์ ศาสนาอื่นเรียกว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า" หรือพระเจ้า

2. หลักฐานยืนยันว่า ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม คือ "องค์พระผู้เป็นเจ้า"

พุทธทาสภิกขุ: "โดยที่แท้แล้ว ไกวัลยธรรม ก็คือสิ่งเดียวกันกับ สิ่งที่เรียกว่า อสังขตะ หรือ นิพพาน หรือ สุญญตา นั่นเอง

สิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลยธรรม" หมายถึง สิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง และอยู่หลังสิ่งทั้งปวง ได้แก่ ธรรมชาติที่ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง.

ใครก็ตาม เมื่อเข้าถึงความหมาย ของศาสนาแห่งตนแล้ว ย่อมทำให้เห็น ตรงกันว่า ในโลกนี้ มีเพียงศาสนาเดียว คือ "ศาสนาแห่งไกวัลย์" ไม่ต้องมีการแบ่งแยก ตามชื่อสมมุติ ที่ใช้เรียกศาสนา โดยเหตุนี้ จึงทำให้สามารถ ปิดประตู การทะเลาะวิวาท อันเนื่องมาจาก การถือศาสนาเสียได้ แล้วการแยกนิกาย ของแต่ละศาสนา ก็จะไม่เกิดขึ้น ที่ใดมีการแบ่งแยก ที่นั่นแสดงว่า มีการรู้ไม่จริง เป็นลักษณะ แห่งการไร้เดียงสา ของผู้นับถือศาสนานั้นๆ"

มนุษย์มีสัญชาติญาณ ที่ตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ มีความสนใจ ที่จะรู้จักต้นตอ หรือ "ปฐมเหตุ" ของสิ่งทั้งปวง เมื่อพบแล้ว ก็ให้ชื่อเรียก ไปต่างๆกัน เช่น เต๋า พระเจ้า หรือ ปรมาตมัน เป็นต้น. (๒๔)

ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสเรียก ปฐมเหตุของสิ่งทั้งปวงว่า "ธรรมธาตุ" ได้แก่ความจริงที่เป็น อสังขตธรรม คือสิ่งที่เหตุปัจจัย ปรุงแต่งไม่ได้

ในดินแดนปาเลสไตน์ ของพวกยิว ก่อนที่จะเกิด ศาสนาคริสเตียน ซึ่งนับได้ว่า เป็นยุคเดียวกันกับ พุทธศาสนา ก็มีคำพูด ที่เรียกสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งมีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง เรียกว่า "พระเจ้า" หรือ "
God-ก๊อด" ตรงกับ "กฏ" ที่หมายถึง ในพระพุทธศาสนา. (๒๘)

ครั้นมาถึง สมัยศาสนาคริสเตียน เกิดหลังพระพุทธศาสนา ประมาณ ๕๐๐ ปี ก็มีการรับรองว่า
God หรือพระเจ้า เป็นสิ่งที่ "มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง" คือ มีอยู่ตลอดอนันตกาล สิ่งทั้งปวงนั้น ถูกสร้างขึ้น ด้วยน้ำมือของพระเจ้าทั้งสิ้น อันมีลักษณะ ที่ตรงกันกับ สิ่งที่เรียกว่า "ไกวัลยธรรม"


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า:

" พระตถาคตจะเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้นมีอยู่แล้ว "

(๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานย่อมมี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม
, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว

สรุป

ธรรมธาตุ = อสังขตธาตุ = นิพพาน = ปรมาตมัน = พระเจ้า = เต๋า = ความว่างแต่ไม่สูญ

"ธรรมธาตุ" นี้ เรียกว่า พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน "ธรรมธาตุ" เป็นทั้งพระธรรมด้วย เป็นทั้งพระธาตุด้วย

เมื่อสาวกอรหันต์ต่างๆ เช่น หลวงพ่อคง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อชา หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว หลวงพ่อสด หลวงปู่ขาว และพระอริยะบุคคลต่างๆ ล้วนแล้วแต่สัมผัสพระพุทธเจ้าในจิตมาแล้วทั้งสิ้น และยืนยันว่า พระพุทธเจ้า คือ พระธรรม

1. หลวงพ่อชา สุภัทโท เทศน์ว่า "...พระธรรมนั้นแหละเรียกว่า พระพุทธเจ้า"
พระองค์จึงตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" แสดงว่าพระพุทธเจ้าก็คือพระธรรม และพระธรรมก็คือพระพุทธเจ้า

2. หลวงตามหาบัว เทศน์ว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต ตถาคตแท้ ๆ คือธรรม".......

3. หลวงพ่อสด " ธรรมนั้นคือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม พระธรรมได้เสกสรรปั้นให้พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อบุคคลเรา ระลึกถึงพระองค์ ท่านก็ควรระลึกถึงพระธรรม
……..ได้เข้าถึงธรรมกาย คือ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ส่วน วชิราสูตร ในข้อที่บอกว่า
ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน
?
ไม่มีผู้สร้าง หรือกล่าวว่าผู้สร้างคือ ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล และความเป็นไปตามธรรมดา

คำว่า ไม่มีผู้สร้าง หรือกล่าวว่าผู้สร้างคือ ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม เพราะอสังขตธรรม กับ สังขตธาตุ ก็เป็นการกลับไปกลับมาของสิ่งเดียวกัน คือ จิต ถ้าจิตมีทุกข์ และเกิดแก่เจ็บตาย ก็เรียกว่า "สังขตธาตุ" ถ้าจิตไม่มีทุกข์ และไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็เรียกว่า "อสังขตธาตุ"

ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม - นิพพาน ปรมาตมัน พระเจ้า เต๋า เป็น"..สิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง มีอยู่ตลอดอนันตกาล สิ่งทั้งปวงนั้น ถูกสร้างขึ้น ด้วยน้ำมือของพระเจ้าทั้งสิ้น "....พุทธทาสภิกขุ

1 ความคิดเห็น:

  1. ดังนั้นแล้ว อสังขตธรรม สร้างสรรพสัตว์ขึ้น พร้อมด้วยอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้วนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารอันยาวนานไม่รู้จบ จนกว่าสัตว์ตนใดจะมีปัญญาหลุดพ้น หมดซึ่งอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ดับซึ่งความเป็นสัตว์ แล้วกลับคืนสู่ความเป็นอสังขตธรรม เช่นนั้นหรือครับ?

    ตอบลบ