1.
พระมหากัสสปะ ก่อเกิดนิกายใหม่ ทำสิ่งที่ไม่มีในพระพุทธศาสนา
ร่วมกับพระสงฆ์อีกมากแล้ว ส่งผลให้ไม่ได้นิพพาน
2. "สุญตา" กลายเป็นธรรมที่ปรากฏขึ้น เหมือนเป็นนิพพานอย่างหนึ่ง
3. "จิตว่าง" กลายเป็นคำที่เกิดขึ้นมาใหม่ ตามหลัง "สุญตา"
ชายรักชาติ โพสต์
ร่วมกับพระสงฆ์อีกมากแล้ว ส่งผลให้ไม่ได้นิพพาน
2. "สุญตา" กลายเป็นธรรมที่ปรากฏขึ้น เหมือนเป็นนิพพานอย่างหนึ่ง
3. "จิตว่าง" กลายเป็นคำที่เกิดขึ้นมาใหม่ ตามหลัง "สุญตา"
ชายรักชาติ โพสต์
กระผมขอค้าน 3 ประเด็นนะครับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ชายรักชาติยังปฏิบัติได้ไม่ถึงขั้น จะมาเขียนเรื่องใหญ่ๆอย่างนี้ได้ไง ผมคิดว่ามารที่อยู่ในใจคุณสั่งให้คุณเขียน พระพุทธเจ้าก็สั่งให้ผมออกมาค้านคุณ
ข้อ 1. พระมหากัสสปะมีอำนาจอะไร จะไปสั่งการพระอรหันต์ที่มีอภิญญา 6 ครบถ้วน 500 รูป ซึ่งคุยกับพระพุทธเจ้าได้เสมอและตลอดอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้วนั่นแหละ สั่งการให้ทำสังคายนาพระไตรปิฎกทั้งมหายานและเถรวาท พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้แต่งตั้งผู้สืบทอดแทนพระองค์ยังไงล่ะ
ผมยังคุยกับพระพุทธเจ้ามาหลายสัปดาห์เลย ดังคำที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา(ตถาคต) ผู้ใดเห็นเรา(ตถาคต) ผู้นั้นเห็นธรรม"
พระอรหันต์ที่มีอภิญญาไม่ถึง 6 ของไทย ยังคุยกับพระพุทธเจ้าได้เลย เช่น หลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงพ่อฤๅษี หลวงพ่อคง หลวงปู่ปาน หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ขาว ฯลฯ พระพุทธเจ้าก็ถ่ายถอดวิชาธรรมะเปิดโลกให้หลวงพ่อคง และวิชาธรรมกายให้หลวงพ่อสด
พระอาจารย์เหลียนเซินท่านเล่าว่า
"ถึงแม้ว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าจะปรินิพพานไปแล้ว แต่แสงทิพย์ยังคงแผ่เต็มทั่วไป เหมือนเช่นองค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิม ซึ่งถ้ามีการภาวนาขอร้องพันแห่ง ก็จะไปปรากฏตัวพันแห่ง แต่พระพุทธเจ้าศากยมุนีนั้นมีฐานะสูงกว่าองค์พระโพธิสัตว์กวนซื่ออิม จึงยิ่งสามารถทำได้มากกว่าพันแห่ง เรียกว่าขอมาพันแห่งก็ไปได้พันแห่ง ขอหมื่นแห่งก็ไปได้หมื่นแห่ง"
ด้วยเหตุนี้ พระศากยมุนีพุทธเจ้าเป็นผู้บงการการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก
ข้อ 2. สุญญตา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สุญญตา เป็นคำศัพท์ภาษาบาลี แปลว่า ความว่างเปล่า, ความเป็นของสูญ คือความไม่มีสาระ ถือเอาเป็นสาระไม่ได้ เขียนว่า สุญตา ก็มี ภาษาสันสกฤตใช้ว่า "ศูนยตา"
สุญญตา หมายถึง สภาวะที่ว่างจากความเป็นตัวตนหรืออัตตา ได้แก่เบญจขันธ์ ธาตุ อายตนะ ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่มีสาระที่พึงยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล
ดังนั้น สูญญตา = ศูนยตา = อนัตตา ตัวนี้ไม่ใช่นิพพาน แต่เป็นบันใดไปสู่นิพพานเท่านั้น คุณจะเอาบันไดมาเป็นบ้านอีกรายแล้ว
หลวงตามหาบัว
"นี่ไตรลักษณ์คือ อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เป็นบันไดทางก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพาน จะเป็นนิพพานไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานจึงเป็นนิพพาน
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
" สูญในพระนิพพานมีขอบเขต สูญจากกิเลสเท่านั้น รสของพระนิพพานมีอยู่ พระนิพพาน ไม่เกิดไม่ดับไปไหน เป็นอนัตตาธรรม เราจะเอาพระนิพพานมาเป็นอนัตตา เหมือนขันธ์ ๕ และกิเลสทั้งหลาย มันก็ไม่ถูก เรียกว่าแยกอนัตตาธรรมไม่ถูก"
อนัตตาธรรม หรือสุญญตาธรรม มี 2 อย่าง หรือแยกเป็น 2 อย่าง
1. สูญญตา=ศูนยตา=อนัตตา เป็นความว่างเปล่า ที่เป็นของสูญ ไม่มีสาระ ถือเอาเป็นสาระไม่ได้ ได้แก่ กายมนุษย์ และสรรพสัตว์ในทุกภพภูมิในจักรวาล แม้แต่จักรวาลเองก็เป็นความว่างเปล่า ที่เป็นของสูญ ไม่มีสาระ ถือเอาเป็นสาระไม่ได้
- สรรพสัตว์ในทุกภพภูมิในจักรวาล ไปยึดมั่นถือมั่น หรือไปยึดติดว่า ทุกสิ่งในจักรวาลมีสาระ มันมีจริงเอง = มิจฉาทิฎฐิ
- พระอริยะสงฆ์ไม่ไปยึดมั่นถือมั่น และไม่ไปยึดติดว่า ทุกสิ่งในจักรวาลมีสาระ และมีจริง แม้แต่กายและจิตของท่าน = สัมมาทิฎฐิ
2. มหาสุญญตา หรือนิพพานแท้ และ นิพพานที่มีบ้านเมือง มีธรรมกาย และมีกายทิพย์สัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์)อยู่
นิพพานแท้ = มหาสุญญตา= ความว่างเดิมของจักรวาล ไม่มีทั้งสมมุติและวิมุตติอะไรอยู่ทั้งนั้น มีแต่นิพพานจิตที่ว่างอยู่ แต่ไม่ใช่สูญนะแก
- หลวงปู่ดูลย์ อธิบายว่า: "นามเดิมก็คือความว่างของจักรวาล"
- หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า: "นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย" อีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า: "แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก” ก่อนหน้านั้นท่านพูดถึงนครหรือเมืองพระนิพพาน ลองอ่านดูนะครับ:
“เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว (วิมานแก้วของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ = นิพพานที่มีบ้านเมือง มีธรรมกาย และมีกายทิพย์สัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์)อยู่) เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน
แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปนี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอารย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฏถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัป
ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก (คือ นิพพานแท้) ”
ข้อ 3. "จิตว่าง" หมายถึง ผู้ที่อยู่เป็นนิพพานแท้ และนิพพานมีบ้านมีเมือง+มีกายธรรมและกายทิพย์สัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์) จิตจะต้องว่างตลอด จะไม่มีอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น ที่เกิดจากการปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหาและอุปาทาน
จิตมหาสูญญตาของผู้ที่อยู่เป็นนิพพานแท้(ไม่มีกาย) และจิตมีกายธรรม และมีกายทิพย์สัมโภคกาย(พระวิญญาณบริสุทธิ์)จะต้องรู้เห็นว่า ทุกสิ่งในเมืองนิพพานล้วนเป็น สูญญตา = ศูนยตา = อนัตตา ทั้งสิ้น เกิดจากจิตมหาสูญญตาเนรมิตนิพพานที่มีบ้านมีเมืองให้เกิดขึ้น เหมือนที่ให้จิตปภัสสร ที่โดนไวรัสกิเลสอวิชชา เนรมิตบ้านมีเมืองในโลกมนุษย์ และบ้านเมืองในสวรรค์นรกรวมทั้งในพรหมโลกให้เกิดขึ้น ตามภาวะจิตที่มีกิเลสมากหรือน้อยในใจตน
0 comments:
แสดงความคิดเห็น