.....มีจิตมนุษย์ในโลกนี้อีกนับไม่ถ้วน ที่ไม่สามารถหนีหลุดออกจากสังสารวัฏ
องค์พระผู้เป็นเจ้าหนึ่งเดียวจึงได้ส่งพระบุตร ที่เป็นพระเจ้า
หรือเป็นอรหันต์โพธิสัตว์ ที่มีนามว่า พระเยซู คริสต์ ลงมา
ศาสนาคริสต์ และ ศาสนาอิสลาม
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์จริงๆ เป็นเรื่องของพันธะสัญญาใหม่(New Testament)หรือ พระคริสตธรรมใหม่ ส่วนพันธะสัญญาเดิม ที่เกี่ยวกับการสร้างโลก(The Creation), อาดัมกับอีฟ, โนอาห์ (Noah), น้ำท่วมโลก, อับราฮัม, โมเสส, โรคระบาดในแผ่นดินอียิปต์ และการที่พระเจ้าทรงช่วยชนชาติอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือชาวอียิปต์ หนีข้ามทะเลแดง เรื่องต่างๆในพันธะสัญญาเดิมเหล่านั้น มีการนับถือกันในศาสนายิว(ยูดาย) ศาสนาอิสลาม และคริสต์ เหมือนกันหมด อาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ในประเด็นบางเรื่องเท่านั้น
ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ในตามพันธะสัญญาเดิม ตอนที่เป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม เกิดขึ้นในหลายตอน เช่น ตอนที่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า
"...พงศ์พันธุ์ของเจ้า จะเป็นคนต่างด้าวในดินแดนซึ่งมิใช่ของเขา และเขาจะต้องรับใช้ชาวเมืองนั้น ชาวเมืองนั้นจะบีบบังคับเขาถึงสี่ร้อยปี..."
และตอนที่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า
"เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ชื่อของเจ้าจะมิใช่อับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่คืออับราฮัม เพราะเราให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย เราจะกระทำให้เจ้ามีพงศ์พันธุ์มากอย่างยิ่ง เราจะกระทำเจ้าให้เป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้ระหว่างเรากับเจ้า และเชื้อสายของเจ้าที่สืบมาตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขาให้เป็นพันธสัญญานิรันดร์ คือเป็นพระเจ้าแก่เจ้า และแก่เชื้อสายของเจ้าที่สืบมา เราจะให้ดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่นี้ คือแผ่นดินคานาอันทั้งสิ้นแก่เจ้า และแก่เชื้อสายของเจ้าที่สืบมา ให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา"
ความแตกต่างสำคัญของศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์
ศาสนาอิสลามมาแตกต่างกับศาสนาคริสต์ตรงที่ในพันธะสัญญาเดิมระบุว่า :
1. อับราฮัม มีบุตร 2 คน ชื่อ อิชมาเอล และ อัสอัค
- นบีมูฮัมหมัด สืบสายมาจากอิสมาเอล .... ศาสนาอิสลาม
- พระเยซูคริสต์ หรือ นบีอีซา สืบสายมาจากอิสอัค.... ศาสนาคริสต์
2. อิสลามยืนยันว่า พระเจ้าไม่มีบุตร มีแต่ศาสนทูตของพระเจ้า (เรียกว่า นบี) เท่านั้น ที่ทำการเผยพระวจนะของพระเจ้าบนโลกนี้ ดังนั้นอิสลามจึงนับถือพระเยซูคริสต์ในฐานะของศาสนฑูตองค์หนึ่งเหมือนท่านศาสดามูฮัมหมัด
ศาสนาอิสลามเรียกพระเยซูว่านบีอีซา(เยซู) ส่วนศาสนาคริสต์ เรียกพระเยซูว่า บุตรของพระเจ้าหรือพระเจ้าที่เป็นพระบุตร อธิบายให้ชัดได้ดังนี้
- คริสต์มีความเชื่อว่าอีซา คือ อวตารของพระเจ้า เยซูคืออวตารของพระเจ้า
- อิสลาม ปฏิเสธเรื่องการอวตารของพระเจ้า เป็น เยซูอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ทั้ง ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ต่างเชื่อว่ามีวันพิพากษาโลก ซึ่งเป็นจุดจบของยุคสมัย ในการพิพากษานั้นพระเจ้าจะส่งนบีอีซา(พระเยซู) เข้ามาเป็นผู้ตัดสินพิพากษา ดังนั้นอิสลามจึงยกย่องว่านบีอีซา(พระเยซู)เป็นนบีที่พิเศษกว่านบีองค์อื่น แต่แม้กระนั้นก็ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคือพระบุตรอยู่ดี เพราะเชื่อฝังหัวว่าพระเจ้าสูงสุดมีพระองค์เดียว แล้วพระเจ้าไม่มีเมียและไม่มีลูก(เพราะเอาความคิดของตนเป็นที่ตั้งว่า เมียกับลูกจะเกิดได้ต้องมีการผสมพันธ์แบบสัตว์เท่านั้น) ดังนั้นพระเยซูจึงเป็นเพียงแค่นบี หรือผู้เผยพระวจนะหรือศาสนฑูตองค์พิเศษ
3. ในคริสต์ศาสนาเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ คือ Messiah ส่วนในศาสนาอิสลามเชื่อว่า พระนะบี มูฮะหมัด คือ Messiah เพราะในโองการหนึ่งของพระคัมภีร์ กล่าวว่า พระองค์ได้บอกกับนักบวชคนหนึ่ง ‘ควรจะเรียกเมสไซอาห์ (ผู้มาโปรดโลก) คนนั้นว่าอย่างไร? มุฮัมมัดคือชื่ออันจำเริญของเขา’
4. ในศาสนายิว - คริสต์ พระเจ้าทรงเป็นพระจิตล้วน ส่วนใน ยอห์น 4:24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ” ส่วนในศาสนาอิสลามไม่ได้ระบุชัดเจนว่า พระเจ้าเป็นอะไร เพียงแต่ระบุว่า "ไม่มีพระเจ้าองค์อื่นใดนอกจากพระอัลลอฮ์" ทั้งคริสต์และอิสลามใช้หลักให้เชื่อมั่นและศรัทธาในพระเจ้า เหมือนกัน
อิสลาม... ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า หมายถึง ต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในพระเจ้า ซึ่งเรียกว่า "อัลลอฮ์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและมีอยู่จริง มุสลิมทุกคนต้องศรัทธาในอัลลอฮ์ ว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียว" และเป็นผู้ทรงคุณลักษณะดังนี้ คือ
- ทรงมีอย่างแน่นอน ไม่มีข้อสงสัย
- ทรงมีมาก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง
- ทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ
- ทรงดำรงอยู่ได้โดยพระองค์เอง ไม่มีใครสร้างพระองค์
- ทรงเป็นผู้มีอยู่ตลอดกาล ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบทรงเอกานุภาพ
- ไม่มีสิ่งใดเป็นภาคี
- ทรงสรรพเดช
- ทรงเป็นสัพพัญญู
- ทรงความยุติธรรม
- ทรงพระเมตตา
- ทรงเป็นผู้พิพากษาในการตัดสินชีวิตมนุษย์ในวันสุดท้ายที่เรียกว่า วันพิพากษา
จะเห็นได้ว่า คุณลักษณะของพระเจ้าในศาสนาอิสลาม ก็คือ นิพพานธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะนิพพานธาตุของพระอรหันต์ทั่วไป ไม่สามารถเข้าไปถึงความเป็นสัพพัญญูได้
พึงรู้ว่า สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนในทุกชาติทุกศาสนาไม่รู้ก็คือ พระเจ้าที่มีองค์เดียวนั้น ท่านสามารถอวตารแยกตัวเองออกได้เป็นอนันต์ ตัวของพวกเราทุกจิต ทั้งหมดก็เป็นพระเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ผู้ที่เป็นพระบุตรเพียงองค์เดียวก็คือ ผู้ที่ทำจิตให้ถึงความมหาบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น - พระอรหันต์
พระบุตรเพียงองค์เดียว = พระอรหันต์
สรุป
พระเยซู คริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตร ที่เป็นพระเจ้า หรือเป็นอรหันต์โพธิสัตว์ เรียกแบบศาสนาพุทธมหายาน พระเยซู คริสต์ ลงมาเพื่อนำจิตมนุษย์ส่วนหนึ่ง ผู้ที่เชื่อถือในท่าน และยอมรับศีลมหาสนิท - ดื่มเหล้าองุ่น และทานปังปอนด์ จากเหล่าสาวกที่สืบกันมาของพระเยซู แทนโลหิตและกายของพระเยซู - จึงจะมีสิทธิเข้าไปในสรวงสวรรค์ของพระคริสต์ ซึ่งเป็นพุทธเกษตรแห่งหนึ่ง ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก ไปฝึกจิตที่นั่น เพื่อจะได้เป็นอรหันต์ และจะได้ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดรของพระเจ้าที่เป็นพระบิดา
การที่อิสลาม
1. ไม่ยอมรับว่า พระเยซู เป็นพระเจ้าที่เป็นพระบุตร และ
2. ไม่ยอมรับว่า พระเจ้าเป็นจิต เป็นวิญญาณ
ก็เหมือนกับที่ชาวพุทธจำนวนมากมายมหาศาล ไม่ยอมรับว่านิพพานเป็นจิตนั่นเอง แต่ก็ไม่รู้ว่านิพพานเป็นอะไร รู้ว่าไปถึงแล้วไม่มีทุกข์เหลืออยู่ ไม่ต้องเกิดแก่เจ็บตายอีก ทั้งๆที่มีเพียงสิ่งที่เรียกว่าจิตเท่านั้น ที่สามารถรับรู้ความสุขความทุกข์ได้ จิตที่บริสุทธิ์มันว่างตลอด มันจึงไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุขที่บริสุทธิ์จากความว่างที่ไม่คิดปรุงแต่ง และไม่ยึดถือสิ่งใด
นอกจากนี้ แท้จริงกายของมนุษย์ ก็เป็นจิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานเท่านั้น พูดง่ายๆ ในจิตนั้นมีกายอยู่ การใช้จิตอย่างเดียวทำงาน มันต้องใช้พลังอย่างมากเพื่อทำงานในโลกของวัตถุ จิตจึงต้องสร้างกายมาเพื่อใช้ทำงานแทน
- กายและจิตของมนุษย์เกือบทั้งหมดเกิดจากจิตไม่บริสุทธิ์หรือจิตสังขาร
- กายและจิตของมนุษย์คนเดียวเท่านั้นที่เกิดจากจิตบริสุทธิ์ คือ กายและจิตของพระเยซู แม้แค่กายและจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ตางๆ ก็ล้วนเกิดจากจิตไม่บริสุทธิ์ในชาติก่อน หรือเกิดจากกรรมของจิตสังขารตัวเดิมของเราในชาติที่แล้ว สร้างขึ้นมาให้เราเข้าไปอาศัย จิตมนุษย์เพิ่งมาบริสุทธิ์หรือมามหาบริสุทธิ์ตอนที่บรรลุอรหันต์เท่านั้น
จิตมหาบริสุทธิ์ก็คือพระเจ้านั่นเอง ชาวพุทธเรียกว่า "พุทธะ" พุทธะที่รู้ขนาดเป็นสัพพัญญูได้ต้องสะสมบุญบารมีตอนเป็นมนุษย์มายาวนานข้ามภพข้ามชาติ ใช้ระยะเวลาในการสร้างบารมีนานถึง ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป
ศาสนาคริสต์ และ ศาสนาอิสลาม
ศาสนาคริสต์
ศาสนาคริสต์จริงๆ เป็นเรื่องของพันธะสัญญาใหม่(New Testament)หรือ พระคริสตธรรมใหม่ ส่วนพันธะสัญญาเดิม ที่เกี่ยวกับการสร้างโลก(The Creation), อาดัมกับอีฟ, โนอาห์ (Noah), น้ำท่วมโลก, อับราฮัม, โมเสส, โรคระบาดในแผ่นดินอียิปต์ และการที่พระเจ้าทรงช่วยชนชาติอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือชาวอียิปต์ หนีข้ามทะเลแดง เรื่องต่างๆในพันธะสัญญาเดิมเหล่านั้น มีการนับถือกันในศาสนายิว(ยูดาย) ศาสนาอิสลาม และคริสต์ เหมือนกันหมด อาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ในประเด็นบางเรื่องเท่านั้น
ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ในตามพันธะสัญญาเดิม ตอนที่เป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม เกิดขึ้นในหลายตอน เช่น ตอนที่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า
"...พงศ์พันธุ์ของเจ้า จะเป็นคนต่างด้าวในดินแดนซึ่งมิใช่ของเขา และเขาจะต้องรับใช้ชาวเมืองนั้น ชาวเมืองนั้นจะบีบบังคับเขาถึงสี่ร้อยปี..."
และตอนที่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า
"เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ชื่อของเจ้าจะมิใช่อับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่คืออับราฮัม เพราะเราให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย เราจะกระทำให้เจ้ามีพงศ์พันธุ์มากอย่างยิ่ง เราจะกระทำเจ้าให้เป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้ระหว่างเรากับเจ้า และเชื้อสายของเจ้าที่สืบมาตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขาให้เป็นพันธสัญญานิรันดร์ คือเป็นพระเจ้าแก่เจ้า และแก่เชื้อสายของเจ้าที่สืบมา เราจะให้ดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่นี้ คือแผ่นดินคานาอันทั้งสิ้นแก่เจ้า และแก่เชื้อสายของเจ้าที่สืบมา ให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา"
ความแตกต่างสำคัญของศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์
ศาสนาอิสลามมาแตกต่างกับศาสนาคริสต์ตรงที่ในพันธะสัญญาเดิมระบุว่า :
1. อับราฮัม มีบุตร 2 คน ชื่อ อิชมาเอล และ อัสอัค
- นบีมูฮัมหมัด สืบสายมาจากอิสมาเอล .... ศาสนาอิสลาม
- พระเยซูคริสต์ หรือ นบีอีซา สืบสายมาจากอิสอัค.... ศาสนาคริสต์
2. อิสลามยืนยันว่า พระเจ้าไม่มีบุตร มีแต่ศาสนทูตของพระเจ้า (เรียกว่า นบี) เท่านั้น ที่ทำการเผยพระวจนะของพระเจ้าบนโลกนี้ ดังนั้นอิสลามจึงนับถือพระเยซูคริสต์ในฐานะของศาสนฑูตองค์หนึ่งเหมือนท่านศาสดามูฮัมหมัด
ศาสนาอิสลามเรียกพระเยซูว่านบีอีซา(เยซู) ส่วนศาสนาคริสต์ เรียกพระเยซูว่า บุตรของพระเจ้าหรือพระเจ้าที่เป็นพระบุตร อธิบายให้ชัดได้ดังนี้
- คริสต์มีความเชื่อว่าอีซา คือ อวตารของพระเจ้า เยซูคืออวตารของพระเจ้า
- อิสลาม ปฏิเสธเรื่องการอวตารของพระเจ้า เป็น เยซูอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ทั้ง ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ต่างเชื่อว่ามีวันพิพากษาโลก ซึ่งเป็นจุดจบของยุคสมัย ในการพิพากษานั้นพระเจ้าจะส่งนบีอีซา(พระเยซู) เข้ามาเป็นผู้ตัดสินพิพากษา ดังนั้นอิสลามจึงยกย่องว่านบีอีซา(พระเยซู)เป็นนบีที่พิเศษกว่านบีองค์อื่น แต่แม้กระนั้นก็ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคือพระบุตรอยู่ดี เพราะเชื่อฝังหัวว่าพระเจ้าสูงสุดมีพระองค์เดียว แล้วพระเจ้าไม่มีเมียและไม่มีลูก(เพราะเอาความคิดของตนเป็นที่ตั้งว่า เมียกับลูกจะเกิดได้ต้องมีการผสมพันธ์แบบสัตว์เท่านั้น) ดังนั้นพระเยซูจึงเป็นเพียงแค่นบี หรือผู้เผยพระวจนะหรือศาสนฑูตองค์พิเศษ
3. ในคริสต์ศาสนาเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ คือ Messiah ส่วนในศาสนาอิสลามเชื่อว่า พระนะบี มูฮะหมัด คือ Messiah เพราะในโองการหนึ่งของพระคัมภีร์ กล่าวว่า พระองค์ได้บอกกับนักบวชคนหนึ่ง ‘ควรจะเรียกเมสไซอาห์ (ผู้มาโปรดโลก) คนนั้นว่าอย่างไร? มุฮัมมัดคือชื่ออันจำเริญของเขา’
4. ในศาสนายิว - คริสต์ พระเจ้าทรงเป็นพระจิตล้วน ส่วนใน ยอห์น 4:24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ” ส่วนในศาสนาอิสลามไม่ได้ระบุชัดเจนว่า พระเจ้าเป็นอะไร เพียงแต่ระบุว่า "ไม่มีพระเจ้าองค์อื่นใดนอกจากพระอัลลอฮ์" ทั้งคริสต์และอิสลามใช้หลักให้เชื่อมั่นและศรัทธาในพระเจ้า เหมือนกัน
อิสลาม... ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า หมายถึง ต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในพระเจ้า ซึ่งเรียกว่า "อัลลอฮ์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและมีอยู่จริง มุสลิมทุกคนต้องศรัทธาในอัลลอฮ์ ว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียว" และเป็นผู้ทรงคุณลักษณะดังนี้ คือ
- ทรงมีอย่างแน่นอน ไม่มีข้อสงสัย
- ทรงมีมาก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง
- ทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ
- ทรงดำรงอยู่ได้โดยพระองค์เอง ไม่มีใครสร้างพระองค์
- ทรงเป็นผู้มีอยู่ตลอดกาล ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบทรงเอกานุภาพ
- ไม่มีสิ่งใดเป็นภาคี
- ทรงสรรพเดช
- ทรงเป็นสัพพัญญู
- ทรงความยุติธรรม
- ทรงพระเมตตา
- ทรงเป็นผู้พิพากษาในการตัดสินชีวิตมนุษย์ในวันสุดท้ายที่เรียกว่า วันพิพากษา
จะเห็นได้ว่า คุณลักษณะของพระเจ้าในศาสนาอิสลาม ก็คือ นิพพานธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะนิพพานธาตุของพระอรหันต์ทั่วไป ไม่สามารถเข้าไปถึงความเป็นสัพพัญญูได้
พึงรู้ว่า สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนในทุกชาติทุกศาสนาไม่รู้ก็คือ พระเจ้าที่มีองค์เดียวนั้น ท่านสามารถอวตารแยกตัวเองออกได้เป็นอนันต์ ตัวของพวกเราทุกจิต ทั้งหมดก็เป็นพระเจ้าทั้งนั้น เพียงแต่ผู้ที่เป็นพระบุตรเพียงองค์เดียวก็คือ ผู้ที่ทำจิตให้ถึงความมหาบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น - พระอรหันต์
พระบุตรเพียงองค์เดียว = พระอรหันต์
สรุป
พระเยซู คริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตร ที่เป็นพระเจ้า หรือเป็นอรหันต์โพธิสัตว์ เรียกแบบศาสนาพุทธมหายาน พระเยซู คริสต์ ลงมาเพื่อนำจิตมนุษย์ส่วนหนึ่ง ผู้ที่เชื่อถือในท่าน และยอมรับศีลมหาสนิท - ดื่มเหล้าองุ่น และทานปังปอนด์ จากเหล่าสาวกที่สืบกันมาของพระเยซู แทนโลหิตและกายของพระเยซู - จึงจะมีสิทธิเข้าไปในสรวงสวรรค์ของพระคริสต์ ซึ่งเป็นพุทธเกษตรแห่งหนึ่ง ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก ไปฝึกจิตที่นั่น เพื่อจะได้เป็นอรหันต์ และจะได้ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดรของพระเจ้าที่เป็นพระบิดา
การที่อิสลาม
1. ไม่ยอมรับว่า พระเยซู เป็นพระเจ้าที่เป็นพระบุตร และ
2. ไม่ยอมรับว่า พระเจ้าเป็นจิต เป็นวิญญาณ
ก็เหมือนกับที่ชาวพุทธจำนวนมากมายมหาศาล ไม่ยอมรับว่านิพพานเป็นจิตนั่นเอง แต่ก็ไม่รู้ว่านิพพานเป็นอะไร รู้ว่าไปถึงแล้วไม่มีทุกข์เหลืออยู่ ไม่ต้องเกิดแก่เจ็บตายอีก ทั้งๆที่มีเพียงสิ่งที่เรียกว่าจิตเท่านั้น ที่สามารถรับรู้ความสุขความทุกข์ได้ จิตที่บริสุทธิ์มันว่างตลอด มันจึงไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุขที่บริสุทธิ์จากความว่างที่ไม่คิดปรุงแต่ง และไม่ยึดถือสิ่งใด
นอกจากนี้ แท้จริงกายของมนุษย์ ก็เป็นจิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานเท่านั้น พูดง่ายๆ ในจิตนั้นมีกายอยู่ การใช้จิตอย่างเดียวทำงาน มันต้องใช้พลังอย่างมากเพื่อทำงานในโลกของวัตถุ จิตจึงต้องสร้างกายมาเพื่อใช้ทำงานแทน
- กายและจิตของมนุษย์เกือบทั้งหมดเกิดจากจิตไม่บริสุทธิ์หรือจิตสังขาร
- กายและจิตของมนุษย์คนเดียวเท่านั้นที่เกิดจากจิตบริสุทธิ์ คือ กายและจิตของพระเยซู แม้แค่กายและจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ตางๆ ก็ล้วนเกิดจากจิตไม่บริสุทธิ์ในชาติก่อน หรือเกิดจากกรรมของจิตสังขารตัวเดิมของเราในชาติที่แล้ว สร้างขึ้นมาให้เราเข้าไปอาศัย จิตมนุษย์เพิ่งมาบริสุทธิ์หรือมามหาบริสุทธิ์ตอนที่บรรลุอรหันต์เท่านั้น
จิตมหาบริสุทธิ์ก็คือพระเจ้านั่นเอง ชาวพุทธเรียกว่า "พุทธะ" พุทธะที่รู้ขนาดเป็นสัพพัญญูได้ต้องสะสมบุญบารมีตอนเป็นมนุษย์มายาวนานข้ามภพข้ามชาติ ใช้ระยะเวลาในการสร้างบารมีนานถึง ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป
0 comments:
แสดงความคิดเห็น