A A

8 มีนาคม 2558

ประวัติศาสนาโลกที่ถูกต้อง ฉบับ Phonsak เขียนเอง ภาค 3

.....มีจิตมนุษย์ในโลกนี้อีกนับไม่ถ้วน  ที่ไม่สามารถหนีหลุดออกจากสังสารวัฏ  องค์พระผู้เป็นเจ้าหนึ่งเดียวจึงได้ส่งพระบุตร ที่เป็นพระเจ้า หรือเป็นอรหันต์โพธิสัตว์  ที่มีนามว่า  พระเยซู คริสต์ ลงมา

ศาสนาคริสต์ และ ศาสนาอิสลาม

ศาสนาคริสต์ 

ศาสนาคริสต์จริงๆ  เป็นเรื่องของ
พันธะสัญญาใหม่(New Testament)หรือ พระคริสตธรรมใหม่  ส่วนพันธะสัญญาเดิม  ที่เกี่ยวกับการสร้างโลก(The Creation), อาดัมกับอีฟ, โนอาห์ (Noah), น้ำท่วมโลก, อับราฮัม, โมเสส, โรคระบาดในแผ่นดินอียิปต์  และการที่พระเจ้าทรงช่วยชนชาติอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือชาวอียิปต์ หนีข้ามทะเลแดง  เรื่องต่างๆในพันธะสัญญาเดิมเหล่านั้น  มีการนับถือกันในศาสนายิว(ยูดาย) ศาสนาอิสลาม และคริสต์ เหมือนกันหมด  อาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ในประเด็นบางเรื่องเท่านั้น

ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ในตามพันธะสัญญาเดิม  ตอนที่เป็นจุดเริ่มต้นของศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม เกิดขึ้นในหลายตอน เช่น ตอนที่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า

"...พงศ์พันธุ์ของเจ้า จะเป็นคนต่างด้าวในดินแดนซึ่งมิใช่ของเขา และเขาจะต้องรับใช้ชาวเมืองนั้น ชาวเมืองนั้นจะบีบบังคับเขาถึงสี่ร้อยปี..."

และตอนที่พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า

 "เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ชื่อของเจ้าจะมิใช่อับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่คืออับราฮัม เพราะเราให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย เราจะกระทำให้เจ้ามีพงศ์พันธุ์มากอย่างยิ่ง เราจะกระทำเจ้าให้เป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้ระหว่างเรากับเจ้า และเชื้อสายของเจ้าที่สืบมาตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขาให้เป็นพันธสัญญานิรันดร์ คือเป็นพระเจ้าแก่เจ้า และแก่เชื้อสายของเจ้าที่สืบมา เราจะให้ดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่นี้ คือแผ่นดินคานาอันทั้งสิ้นแก่เจ้า และแก่เชื้อสายของเจ้าที่สืบมา ให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา"

ความแตกต่างสำคัญของศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์

ศาสนาอิสลามมาแตกต่างกับศาสนาคริสต์ตรงที่ในพันธะสัญญาเดิมระบุว่า :  

1.  อับราฮัม  มีบุตร 2 คน ชื่อ อิชมาเอล และ อัสอัค

- นบีมูฮัมหมัด สืบสายมาจากอิสมาเอล .... 
ศาสนาอิสลาม  
- พระเยซูคริสต์ หรือ นบีอีซา สืบสายมาจากอิสอัค....
ศาสนาคริสต์ 

2.  อิสลามยืนยันว่า พระเจ้าไม่มีบุตร มีแต่ศาสนทูตของพระเจ้า (เรียกว่า นบี) เท่านั้น  ที่ทำการเผยพระวจนะของพระเจ้าบนโลกนี้ ดังนั้นอิสลามจึงนับถือพระเยซูคริสต์ในฐานะของศาสนฑูตองค์หนึ่งเหมือนท่านศาสดามูฮัมหมัด

ศาสนาอิสลามเรียกพระเยซูว่านบีอีซา(เยซู)  ส่วนศาสนาคริสต์ เรียกพระเยซูว่า บุตรของพระเจ้าหรือพระเจ้าที่เป็นพระบุตร  อธิบายให้ชัดได้ดังนี้

- คริสต์มีความเชื่อว่าอีซา คือ อวตารของพระเจ้า  เยซูคืออวตารของพระเจ้า  
- อิสลาม ปฏิเสธเรื่องการอวตารของพระเจ้า เป็น เยซูอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม  ทั้ง ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม  ต่างเชื่อว่ามีวันพิพากษาโลก  ซึ่งเป็นจุดจบของยุคสมัย  ในการพิพากษานั้น
พระเจ้าจะส่งนบีอีซา(พระเยซู) เข้ามาเป็นผู้ตัดสินพิพากษา ดังนั้นอิสลามจึงยกย่องว่านบีอีซา(พระเยซู)เป็นนบีที่พิเศษกว่านบีองค์อื่น  แต่แม้กระนั้นก็ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคือพระบุตรอยู่ดี  เพราะเชื่อฝังหัวว่าพระเจ้าสูงสุดมีพระองค์เดียว  แล้วพระเจ้าไม่มีเมียและไม่มีลูก(เพราะเอาความคิดของตนเป็นที่ตั้งว่า เมียกับลูกจะเกิดได้ต้องมีการผสมพันธ์แบบสัตว์เท่านั้น) ดังนั้นพระเยซูจึงเป็นเพียงแค่นบี  หรือผู้เผยพระวจนะหรือศาสนฑูตองค์พิเศษ

3.  ในคริสต์ศาสนาเชื่อว่า พระเยซูคริสต์ คือ Messiah  ส่วนในศาสนาอิสลามเชื่อว่า พระนะบี มูฮะหมัด คือ Messiah  เพราะในโองการหนึ่งของพระคัมภีร์ กล่าวว่า  พระองค์ได้บอกกับนักบวชคนหนึ่ง ควรจะเรียกเมสไซอาห์ (ผู้มาโปรดโลก) คนนั้นว่าอย่างไร
มุฮัมมัดคือชื่ออันจำเริญของเขา

4.  ในศาสนายิว - คริสต์ พระเจ้าทรงเป็นพระจิตล้วน  ส่วนใน ยอห์น 4:24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ”  ส่วนในศาสนาอิสลามไม่ได้ระบุชัดเจนว่า  พระเจ้าเป็นอะไร  เพียงแต่ระบุว่า "ไม่มีพระเจ้าองค์อื่นใดนอกจากพระอัลลอฮ์"  ทั้งคริสต์และอิสลามใช้หลักให้เชื่อมั่นและศรัทธาในพระเจ้า เหมือนกัน

อิสลาม... ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า หมายถึง ต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในพระเจ้า ซึ่งเรียกว่า "อัลลอฮ์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและมีอยู่จริง มุสลิมทุกคนต้องศรัทธาในอัลลอฮ์ ว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียว" และเป็นผู้ทรงคุณลักษณะดังนี้ คือ
- ทรงมีอย่างแน่นอน ไม่มีข้อสงสัย
- ทรงมีมาก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง
- ทรงเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ
- ทรงดำรงอยู่ได้โดยพระองค์เอง ไม่มีใครสร้างพระองค์
- ทรงเป็นผู้มีอยู่ตลอดกาล ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบทรงเอกานุภาพ
- ไม่มีสิ่งใดเป็นภาคี
- ทรงสรรพเดช
- ทรงเป็นสัพพัญญู
- ทรงความยุติธรรม
- ทรงพระเมตตา
- ทรงเป็นผู้พิพากษาในการตัดสินชีวิตมนุษย์ในวันสุดท้ายที่เรียกว่า วันพิพากษา

จะเห็นได้ว่า  คุณลักษณะของพระเจ้าในศาสนาอิสลาม  ก็คือ นิพพานธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะนิพพานธาตุของพระอรหันต์ทั่วไป  ไม่สามารถเข้าไปถึงความเป็นสัพพัญญูได้  

พึงรู้ว่า  สิ่งที่มนุษย์ปุถุชนในทุกชาติทุกศาสนาไม่รู้ก็คือ  พระเจ้าที่มีองค์เดียวนั้น  ท่านสามารถอวตารแยกตัวเองออกได้เป็นอนันต์  ตัวของพวกเราทุกจิต  ทั้งหมดก็เป็นพระเจ้าทั้งนั้น  เพียงแต่ผู้ที่เป็นพระบุตรเพียงองค์เดียวก็คือ ผู้ที่ทำจิตให้ถึงความมหาบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้น - พระอรหันต์

พระบุตรเพียงองค์เดียว = พระอรหันต์

สรุป  

พระเยซู คริสต์ ซึ่งเป็นพระบุตร ที่เป็นพระเจ้า หรือเป็นอรหันต์โพธิสัตว์  เรียกแบบศาสนาพุทธมหายาน  พระเยซู คริสต์  ลงมาเพื่อนำจิตมนุษย์ส่วนหนึ่ง ผู้ที่เชื่อถือในท่าน  และยอมรับศีลมหาสนิท - ดื่มเหล้าองุ่น และทานปังปอนด์ จากเหล่าสาวกที่สืบกันมาของพระเยซู  แทนโลหิตและกายของพระเยซู - จึงจะมีสิทธิเข้าไปในสรวงสวรรค์ของพระคริสต์ ซึ่งเป็นพุทธเกษตรแห่งหนึ่ง ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก  ไปฝึกจิตที่นั่น  เพื่อจะได้เป็นอรหันต์  และจะได้ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดรของพระเจ้าที่เป็นพระบิดา

การที่อิสลาม
1. ไม่ยอมรับว่า พระเยซู เป็นพระเจ้าที่เป็นพระบุตร และ
2. ไม่ยอมรับว่า พระเจ้าเป็นจิต เป็นวิญญาณ  

ก็เหมือนกับที่ชาวพุทธจำนวนมากมายมหาศาล ไม่ยอมรับว่านิพพานเป็นจิตนั่นเอง  แต่ก็ไม่รู้ว่านิพพานเป็นอะไร  รู้ว่าไปถึงแล้วไม่มีทุกข์เหลืออยู่ ไม่ต้องเกิดแก่เจ็บตายอีก  ทั้งๆที่มีเพียงสิ่งที่เรียกว่าจิตเท่านั้น  ที่สามารถรับรู้ความสุขความทุกข์ได้  จิตที่บริสุทธิ์มันว่างตลอด  มันจึงไม่มีทุกข์  มีแต่ความสุขที่บริสุทธิ์จากความว่างที่ไม่คิดปรุงแต่ง และไม่ยึดถือสิ่งใด

นอกจากนี้  แท้จริงกายของมนุษย์ ก็เป็นจิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานเท่านั้น  พูดง่ายๆ  ในจิตนั้นมีกายอยู่ การใช้จิตอย่างเดียวทำงาน  มันต้องใช้พลังอย่างมากเพื่อทำงานในโลกของวัตถุ  จิตจึงต้องสร้างกายมาเพื่อใช้ทำงานแทน
-   กายและจิตของมนุษย์เกือบทั้งหมดเกิดจากจิตไม่บริสุทธิ์หรือจิตสังขาร
-   กายและจิตของมนุษย์คนเดียวเท่านั้นที่เกิดจากจิตบริสุทธิ์ คือ กายและจิตของพระเยซู  แม้แค่กายและจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ตางๆ ก็ล้วนเกิดจากจิตไม่บริสุทธิ์ในชาติก่อน  หรือเกิดจากกรรมของจิตสังขารตัวเดิมของเราในชาติที่แล้ว  สร้างขึ้นมาให้เราเข้าไปอาศัย  จิตมนุษย์เพิ่งมาบริสุทธิ์หรือมามหาบริสุทธิ์ตอนที่บรรลุอรหันต์เท่านั้น

จิตมหาบริสุทธิ์ก็คือพระเจ้านั่นเอง  ชาวพุทธเรียกว่า "พุทธะ"  พุทธะที่รู้ขนาดเป็นสัพพัญญูได้ต้องสะสมบุญบารมีตอนเป็นมนุษย์มายาวนานข้ามภพข้ามชาติ  ใช้ระยะเวลาในการสร้างบารมีนานถึง ๒๐ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป

0 comments:

แสดงความคิดเห็น