1.. พระเยซูเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยของพุทธ
พระเยซูผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ แท้จริงแล้ว... พระเยซูท่านนี้เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยของพุทธศาสนาของเราเพราะพระสงฆ์ที่จะเป็นพระรัตนตรัยได้ ต้องเป็น อรหันต์ เท่านั้น พระโสดาบัน พระอนาคามี ยังไม่นับว่าเป็นพระรัตนตรัย เนื่องจากยังละความโลภโกรธหลง ละกิเลสตัณหา และละความยึดมั่นในกายมนุษย์ว่าเป็นของตนไม่ได้สมบูรณ์นั่นเอง
คำว่า The Son of God หรือ “บุตรของพระเจ้า” โดยหลักการแล้ว มนุษย์ทุกคนต่างก็เป็นบุตรของพระเจ้าทั้งนั้น ".... เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและแก่คนอธรรม” (มัทธิว 5:44-45)
อย่างไรก็ตาม พระเยซูมีสถานะภาพที่สูงส่งไปกว่ามนุษย์ทั่วๆไป เพราะพระเยซูเป็นบุตรคนเดียวของพระเจ้า ที่เป็นภาคหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าในฐานะจิตมหาบริสุทธิ์เลย คือเป็นพระบุตรพระเจ้า ที่เป็นจิตมหาบริสุทธิ์ หรือเป็นอวตารของพระเจ้าที่เป็น มนุษย์จิตมหาบริสุทธิ์
เรียกแบบศาสนาพุทธ พระเยซูเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า(จิตมหาบริสุทธิ์) หรือ เป็นพุทธบุตรองค์เดียว = เป็นพระอรหันต์
พูดกันตรงๆ พระเยซูท่านนี้ ท่านเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายาน ผู้ได้อภิญญา 6 ครบถ้วน ลองดูหลักฐานนะครับ มีเต็มไปหมด ......
- พระเยซูเป็นคนที่สามารถห้ามพายุได้
- พระเยซูรักษาคนป่วยด้วยฤทธิ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนง่อย, คนแขนขาพิการ, คนตาบอด, คนใบ้ และคนเป็นโรคเรื้อน พระเยซูรักษาได้หมด
- พระเยซูมีขนมปัง แค่ 5 ก้อน กับ ปลาแค่ 2 ตัว แต่ท่านส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่ายให้ประชาชนทุกคน เมื่อทุกคนกินกันจนอิ่มแล้ว ก็ยังสามารถเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือ ได้อีกถึง 12 กระบุงเต็ม จำนวนคนที่กินขนมปังครั้งนั้นมีผู้ชายถึง 5,000 คนนะครับ.... นี่ถ้าไม่เรียกว่า สุดยอดแห่งอภิญญา ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแล้ว
- พระเยซูเป็นคนที่รู้ล่วงหน้าเหตุการณ์ต่างๆได้ ไม่ใช่เฉพาะของตนเองเท่านั้น แต่ยังรู้อนาคตของคนอื่นด้วย พระเยซูทำนายได้แบบเป๊ะๆเลยทั้งนั้น
ตัวอย่าง: พระเยซูบอกล่วงหน้าตรงเป๊ะว่า
....“ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกา และบุตรมนุษย์จะต้องถูกทรยศให้ถูกตรึงที่กางเขน”
เมื่อรับประทานอาหารกับบรรดาสาวกทั้งหมด พระเยซูก็ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา” นอกจากนี้ พระเยซูก็บอกว่า “ผู้ที่เอาอาหารจิ้มในชามเดียวกันกับเรา ผู้นั้นแหละที่จะทรยศเรา" ยูดาส ผู้จะทรยศพระเยซู จึงทูลถามว่า “อาจารย์เจ้าข้า คือข้าพระองค์หรือ”
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านพูดเองแล้วนี่” แล้วคืนนั้น ยูดาสก็ทรยศพระเยซูจริงๆ
พระเยซูทรงพยากรณ์ว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์ 3 ครั้ง
26:33 ฝ่ายเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “แม้คนทั้งปวงจะสะดุดเพราะพระองค์ ข้าพระองค์จะสะดุดก็หามิได้เลย”
26:34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในคืนนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”
26:35 เปโตรทูลพระองค์ว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” เหล่าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน
26:69 ขณะนั้นเปโตรนั่งอยู่ภายนอกบริเวณคฤหาสน์นั้น มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า “เจ้าได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย”
26:70 แต่เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง”
26:71 เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ระเบียง สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นว่า“คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย”
26:72 เปโตรจึงปฏิเสธอีก ด้วยคำสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น”
26:73 อีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นก็มาว่าแก่เปโตรว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าก็ส่อตัวเจ้าเอง”
26:74 แล้วเปโตรก็เริ่มสบถและสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น” ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน
26:75 เปโตรจึงระลึกถึงคำของพระเยซูที่ตรัสแก่เขาว่า “ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้อย่างขมขื่นยิ่งนัก
นอกจากนี้ พระเยซูยังแสดงปาฏิหาริย์ ขนาดชุบชีวิตคนตายได้ เรียกสำรับอาหารจากฟ้า และการเป่าก้อนดินเหนียวให้เป็นสัตว์มีปีกบินได้ เรียกได้ว่า พระเยซูผู้นี้ได้อภิญญาครบถ้วนแล้วแน่นอน ที่สำคัญคือ
- พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายได้เช่นเดียวกับพระโมคคัลลานะ เราบอกว่า พระโมคคัลลานะ เป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 ครบถ้วน แล้วพระเยซูล่ะ ทำไมจึงจะเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 ครบถ้วน ไม่ได้ล่ะ
- ที่สำคัญที่สุด นาทีสุดท้ายก่อนพระเยซูจะตายบนไม้กางเขน พระเยซูได้พูดในประโยคสุดท้ายว่า :
" โอ้พระบิดาเจ้า ทรงอภัยให้พวกเขาเถิด พวกเขาไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไป "
แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลง คุณยังไม่เห็นอีกหรือว่า พระเยซูผู้นี้เป็นพระโพธิสัตว์อรหันต์ ที่มีเมตตาขนาดไหน แม้ว่าโดนทารุณสุดโหดจนตาย ท่านมิได้โกรธเลย กลับให้อภัยต่อผู้ที่ทำร้ายท่าน
ผมกำลังจะบอกทุกท่านว่า พระเยซูผู้นี้นอกจากจะเป็นผู้ทำสมถะกรรมฐานได้สุดยอดแล้ว พระเยซูยังเป็นผู้ที่ทำ วิปัสสนา/สติปัฏฐาน 4 ได้สุดยอดด้วยเช่นกัน หาผู้เสมอเหมือนท่านไม่ได้สักคน ไปดูในช่วงที่พระเยซูโดนทรมานสุดขีด เราจะเห็นได้ชัดมาก ถามตรงๆว่า มีนักวิปัสสนา/สติปัฏฐาน 4 ทำได้ถึงขั้นพระเยซูมั้ย .....ไม่มีเลยใช่ไหม?
พระเยซูผู้นี้ จิตของท่านรู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็นจริงๆ ไม่เอาทุกข์เวทนาทางกาย มาใส่ลงไปในจิตเมตตากรุณาและว่างของท่านแล้ว ผมจึงกล้าพูดว่า พระเยซูผู้นี้เจริญสมถะและวิปัสสนา - สติปัฎฐาน 4 จนมีสติระลึกรู้ได้ต่อเนื่อง จน "เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม" อย่างแท้จริง บรรลุธรรมขั้นสุดท้ายบนไม้กางเขนนั่นแหละ
2.. คำชมพระเยซูของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิตต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ
๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้
สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้
มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดา(ชั้นดุสิต)ไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า “ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ”
นั่นเขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก
ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อย อย่าง พระนางมัลลิกาเทวีเป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน..
พระเยซูผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ แท้จริงแล้ว... พระเยซูท่านนี้เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยของพุทธศาสนาของเราเพราะพระสงฆ์ที่จะเป็นพระรัตนตรัยได้ ต้องเป็น อรหันต์ เท่านั้น พระโสดาบัน พระอนาคามี ยังไม่นับว่าเป็นพระรัตนตรัย เนื่องจากยังละความโลภโกรธหลง ละกิเลสตัณหา และละความยึดมั่นในกายมนุษย์ว่าเป็นของตนไม่ได้สมบูรณ์นั่นเอง
คำว่า The Son of God หรือ “บุตรของพระเจ้า” โดยหลักการแล้ว มนุษย์ทุกคนต่างก็เป็นบุตรของพระเจ้าทั้งนั้น ".... เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและแก่คนอธรรม” (มัทธิว 5:44-45)
อย่างไรก็ตาม พระเยซูมีสถานะภาพที่สูงส่งไปกว่ามนุษย์ทั่วๆไป เพราะพระเยซูเป็นบุตรคนเดียวของพระเจ้า ที่เป็นภาคหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าในฐานะจิตมหาบริสุทธิ์เลย คือเป็นพระบุตรพระเจ้า ที่เป็นจิตมหาบริสุทธิ์ หรือเป็นอวตารของพระเจ้าที่เป็น มนุษย์จิตมหาบริสุทธิ์
เรียกแบบศาสนาพุทธ พระเยซูเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า(จิตมหาบริสุทธิ์) หรือ เป็นพุทธบุตรองค์เดียว = เป็นพระอรหันต์
พูดกันตรงๆ พระเยซูท่านนี้ ท่านเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์พุทธมหายาน ผู้ได้อภิญญา 6 ครบถ้วน ลองดูหลักฐานนะครับ มีเต็มไปหมด ......
- พระเยซูเป็นคนที่สามารถห้ามพายุได้
- พระเยซูรักษาคนป่วยด้วยฤทธิ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนง่อย, คนแขนขาพิการ, คนตาบอด, คนใบ้ และคนเป็นโรคเรื้อน พระเยซูรักษาได้หมด
- พระเยซูมีขนมปัง แค่ 5 ก้อน กับ ปลาแค่ 2 ตัว แต่ท่านส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกจ่ายให้ประชาชนทุกคน เมื่อทุกคนกินกันจนอิ่มแล้ว ก็ยังสามารถเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือ ได้อีกถึง 12 กระบุงเต็ม จำนวนคนที่กินขนมปังครั้งนั้นมีผู้ชายถึง 5,000 คนนะครับ.... นี่ถ้าไม่เรียกว่า สุดยอดแห่งอภิญญา ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแล้ว
- พระเยซูเป็นคนที่รู้ล่วงหน้าเหตุการณ์ต่างๆได้ ไม่ใช่เฉพาะของตนเองเท่านั้น แต่ยังรู้อนาคตของคนอื่นด้วย พระเยซูทำนายได้แบบเป๊ะๆเลยทั้งนั้น
ตัวอย่าง: พระเยซูบอกล่วงหน้าตรงเป๊ะว่า
....“ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกา และบุตรมนุษย์จะต้องถูกทรยศให้ถูกตรึงที่กางเขน”
เมื่อรับประทานอาหารกับบรรดาสาวกทั้งหมด พระเยซูก็ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา” นอกจากนี้ พระเยซูก็บอกว่า “ผู้ที่เอาอาหารจิ้มในชามเดียวกันกับเรา ผู้นั้นแหละที่จะทรยศเรา" ยูดาส ผู้จะทรยศพระเยซู จึงทูลถามว่า “อาจารย์เจ้าข้า คือข้าพระองค์หรือ”
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านพูดเองแล้วนี่” แล้วคืนนั้น ยูดาสก็ทรยศพระเยซูจริงๆ
พระเยซูทรงพยากรณ์ว่าเปโตรจะปฏิเสธพระองค์ 3 ครั้ง
26:33 ฝ่ายเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “แม้คนทั้งปวงจะสะดุดเพราะพระองค์ ข้าพระองค์จะสะดุดก็หามิได้เลย”
26:34 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในคืนนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง”
26:35 เปโตรทูลพระองค์ว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” เหล่าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน
26:69 ขณะนั้นเปโตรนั่งอยู่ภายนอกบริเวณคฤหาสน์นั้น มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า “เจ้าได้อยู่กับเยซูชาวกาลิลีด้วย”
26:70 แต่เปโตรได้ปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง”
26:71 เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ระเบียง สาวใช้อีกคนหนึ่งแลเห็นจึงบอกคนทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นว่า“คนนี้ได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย”
26:72 เปโตรจึงปฏิเสธอีก ด้วยคำสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น”
26:73 อีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นก็มาว่าแก่เปโตรว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้ว ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าก็ส่อตัวเจ้าเอง”
26:74 แล้วเปโตรก็เริ่มสบถและสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้น” ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน
26:75 เปโตรจึงระลึกถึงคำของพระเยซูที่ตรัสแก่เขาว่า “ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้อย่างขมขื่นยิ่งนัก
นอกจากนี้ พระเยซูยังแสดงปาฏิหาริย์ ขนาดชุบชีวิตคนตายได้ เรียกสำรับอาหารจากฟ้า และการเป่าก้อนดินเหนียวให้เป็นสัตว์มีปีกบินได้ เรียกได้ว่า พระเยซูผู้นี้ได้อภิญญาครบถ้วนแล้วแน่นอน ที่สำคัญคือ
- พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตายได้เช่นเดียวกับพระโมคคัลลานะ เราบอกว่า พระโมคคัลลานะ เป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 ครบถ้วน แล้วพระเยซูล่ะ ทำไมจึงจะเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 ครบถ้วน ไม่ได้ล่ะ
- ที่สำคัญที่สุด นาทีสุดท้ายก่อนพระเยซูจะตายบนไม้กางเขน พระเยซูได้พูดในประโยคสุดท้ายว่า :
" โอ้พระบิดาเจ้า ทรงอภัยให้พวกเขาเถิด พวกเขาไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไป "
แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ลง คุณยังไม่เห็นอีกหรือว่า พระเยซูผู้นี้เป็นพระโพธิสัตว์อรหันต์ ที่มีเมตตาขนาดไหน แม้ว่าโดนทารุณสุดโหดจนตาย ท่านมิได้โกรธเลย กลับให้อภัยต่อผู้ที่ทำร้ายท่าน
ผมกำลังจะบอกทุกท่านว่า พระเยซูผู้นี้นอกจากจะเป็นผู้ทำสมถะกรรมฐานได้สุดยอดแล้ว พระเยซูยังเป็นผู้ที่ทำ วิปัสสนา/สติปัฏฐาน 4 ได้สุดยอดด้วยเช่นกัน หาผู้เสมอเหมือนท่านไม่ได้สักคน ไปดูในช่วงที่พระเยซูโดนทรมานสุดขีด เราจะเห็นได้ชัดมาก ถามตรงๆว่า มีนักวิปัสสนา/สติปัฏฐาน 4 ทำได้ถึงขั้นพระเยซูมั้ย .....ไม่มีเลยใช่ไหม?
พระเยซูผู้นี้ จิตของท่านรู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็นจริงๆ ไม่เอาทุกข์เวทนาทางกาย มาใส่ลงไปในจิตเมตตากรุณาและว่างของท่านแล้ว ผมจึงกล้าพูดว่า พระเยซูผู้นี้เจริญสมถะและวิปัสสนา - สติปัฎฐาน 4 จนมีสติระลึกรู้ได้ต่อเนื่อง จน "เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม" อย่างแท้จริง บรรลุธรรมขั้นสุดท้ายบนไม้กางเขนนั่นแหละ
2.. คำชมพระเยซูของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิตต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ
๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า
๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว
๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้
สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้
มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดา(ชั้นดุสิต)ไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า “ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ”
นั่นเขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก
ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อย อย่าง พระนางมัลลิกาเทวีเป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน..
0 comments:
แสดงความคิดเห็น