A A

8 มีนาคม 2558

เรื่องวิทยาศาสตร์สุดๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ยังไม่รู้ และหาคำตอบไม่ได้

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นเรื่องของจิตล้วนๆ   แม้แต่กายมนุษย์ของเราก็เป็นจิตด้วย  พุทธเกษตรต่างๆ เช่น

- "แดนสุขาวดี" ก็ถูกจิตมหาบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า นามว่า พระอมิตาภะพุทธเจ้า นิรมิตขึ้นมา
- พุทธเกษตร ของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต นามว่า "ศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตร" ก็ถูกจิตมหาบริสุทธิ์ของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตนิรมิตขึ้นมา 

ผมยังไม่ขอกล่าวถึงพุทธเกษตรของพระเยซูคริสต์ และพุทธเกษตรของศาสนาอิสลามในกระทู้นี้นะครับ  แต่หลักการเหมือนกัน คือ จิตมหาบริสุทธิ์นิรมิตขึ้นมา

พุทธเกษตร = สวรรค์นิรันดร  ตอนบนสุดเป็นที่อยู่ของจิตมหาบริสุทธิ์(อรหันต์หรือพระเจ้าที่เป็นพระบุตร) และของจิตมหาบริสุทธิ์(อรหันต์หรือพระเจ้าที่เป็นพระบิดา) ส่วนชั้นล่างๆร่วม 100 ชั้น  สำหรับจิตที่ยังมีความบริสุทธิ์ไม่พออาศัยอยู่  ล่างสุดสำหรับจิตที่ทำบาปมากๆ แต่สำนึกบาปได้ก่อนตาย และขอพึ่งบุญพุทธะ(พระเจ้า หรืออรหันต์)องค์นั้นอยู่

สวรรค์และพรหมโลกที่ระบุในศาสนาพุทธเถรวาท = สวรรค์ในสังสารวัฏ หรือสวรรค์ไม่นิรันดร

ผมจะอธิบายอย่างละเอียดในครั้งต่อๆไป ในที่นี้...ผมต้องการบอกแค่ว่า  ในความเป็นจริงสูงสุด(สัจธรรมสูงสุด)  ไม่เพียงแต่ในศาสนาพุทธ แต่ในทุกศาสนา แม้แต่ศาสนาของมนุษย์ต่างดาว และในวิทยาศาสตร์ที่เจริญสูงสุด  (ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่อยู่ในขั้นประถมของมนุษย์โลก  ที่ยังงมโข่งหาความลี้ลับของจักรวาลอยู่) พวกเขาต่างจะรู้ว่า จิตยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้นเท่าไร  ก็ยิ่งไขความลับของจักรวาลออกมาได้มากขึ้นเท่านั้น

ผมซึ่งจิตบริสุทธิ์มากแล้ว  และมีบุญบารมีสูง  วันนี้ผมจะเฉลยความลี้ลับของจักรวาลให้ฟัง 3 เรื่องก่อน  ผมอนุญาตให้เอาบทความของผมไปตบกบาลนักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์ชั้นนำของโลก เช่น สตีเฟน ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawking),  และ จอห์น ชวาชซ์ (John Schwarz)  สุดยอดแห่งทฤษฎีเส้นเชือก..ได้เลยนะครับ   เพราะไปบอกว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมาจากที่เดียวกัน  คือมาจากจักรวาลซึ่งมี 11 มิติ

ความจริงแล้ว  ผมนั่งกรรมฐานขั้นสูงสุด  จิตสิ้นการคิดปรุงแต่งใดๆแล้ว ผมรู้เลยว่าจักรวาลมี 12 มิติ   ถ้าพวกเขาเหล่านี้ ซื้อตั๋วเครื่องบิน ออกค่าโรงแรม ค่าใช้จ่ายต่างๆให้ผม  ผมจะไปสอนพวกเขาถึงที่อยู่ของเขาเลย 

การคิดมันรู้แค่ 11 มิติ  การไม่คิดจิตสงบนิ่ง เช่น กาลิเลโอ  ทำให้ค้นพบกฎแรงโน้มถ่วงของเทหวัตถุ  ส่วนการหยุดคิดและทำแต่บุญแต่ทาน  จะทำให้รู้ลึกกว่าว่า  จักรวาลมันมี 12 มิติ  มิติที่ 12 คือโลกมนุษย์ใบใหม่ของพวกที่บาปหนาหน่อยเข้าไปอยู่  คือ พวกชอบทำสงคราม พวกโลภมาก กิเลสหนา  จึงจะมีสิทธิเข้าไปอยู่ได้(เป็นยุคเถื่อน Barbarian)

ตอนนี้ผมรู้เพียงว่า นายมาร์คและสุเทพ ได้รับสิทธิเข้าไปอยู่ได้แล้ว  แต่ต้องหลังจากที่พวกนี้ไปใช้กรรมในนรก 500 ปี - 1,000 ปีก่อน  เพราะส่วนใหญ่ของพวกที่มีสิทธิจะเข้าไปเกิดในโลกมิติที่12 จะเป็นพวกเผด็จการ บ้าอำนาจ บ้าเงิน บ้ากาม ที่ชอบทำสงคราม และทำการกดขี่คนอื่น  โดยเฉพาะพวกที่ทำและสนับสนุนให้ทำสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกในราวๆ พศ. 3000 (บวกลบ 100 ปี)


วันนี้ ความลับของจักรวาล 3 เรื่อง ที่ผมจะเฉลยให้ฟังคือ:

1. ความลับของบิกแบงค์ระเบิดครั้งยิ่งใหญ่(บิกแบงค์)
2. ความลับที่ว่า ทำไมจักรวาลหรือเอกภพขยายตัวออกไปไม่สิ้นสุด
3. ความลับของหลุมดำ

1. ความลับของบิกแบงค์(การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่สุดที่กำเนิดจักรวาล) 

ก็อย่างที่ผมบอกไว้ในตอนต้น จิตเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง  จิตมหาบริสุทธิ์ของพวกเราเริ่มต้น  เป็น
จิตปภัสสรที่ปิดswitchความคิดปรุงแต่งใดๆทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ จักรวาลมันก็เลยไม่มี  มีแต่ความว่างอย่างเดียว  นี่คือ นิพพานแท้ หรือปรินิพพาน  

พอจิตมันเริ่มคิดนึก หรือคิดปรุงแต่งได้แล้ว ตอนแรกก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะจิตนึกปรุงแต่งด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยความว่าง  จักรวาลเริ่มต้นเมื่อมีความคิดนึกแล้ว มันก็เลยเป็นสวรรค์นิรันดร เป็นเมืองของพระอรหันต์โพธิสัตว์  เป็นเมืองแห่งแสงสว่าง เมืองแห่งแสงใส  เป็น "นิพพาน" ของผู้ที่ยังไม่ต้องการปิดswitchจิตปภัสสรที่คิดนึกอะไรก็ได้ เพื่อเข้านิพพานแท้ หรือปรินิพพาน

หลวงปู่อ่ำ พระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต)

"พระพุทธกัสสป เมื่อดับขันธ์ปรินิพพาน
(ดับขันธ์ 5 ซึ่งเป็นกายเนื้อ) เข้าเมืองแสงใส ซึ่งก็คือเมืองแก้วแสงใส ชื่อไทยนี้ คนไทยคงเรียก นิพพาน มานานแล้ว"

พอพระอรหันต์ในเมืองนิพพาน ยอมให้อวิชชา กิเลส ตัณหา และความยึดถือเข้ามาในจิตได้ ความคิดปรุงแต่งของจิตมวลรวมของเหล่าอรหันต์ที่เป็นจิตปภัสสรเลยเริ่มเสื่อม จิตที่เสื่อมจากความปภัสสร ก็ต้องไปอยู่ที่ใหม่ในจักรวาล  ที่ไม่ใช่เมืองแสงใส

พูดง่ายๆ!  จิตที่เสียความปภัสสรไป  จะเข้าไปอยู่ในเมืองแสงใสไม่ได้ เหล่าพระบิดาบางองค์จึงต้องสร้างจักรวาล สร้างสวรรค์ นรก (รวม 31 ภพภูมิ)  แล้วให้สรรพจิตเหล่านี้เข้าไปอยู่ในที่แห่งใหม่แทน แต่เพราะจิตของพวกเขาไม่บริสุทธิ์อีกแล้ว  จึงต้องเสียความเป็นอมตะไป  ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเป็นทุกข์ทางใจ  เพราะพวกเขาไม่คิดปรุงแต่งด้วยความว่างอีกต่อไป  แต่ดันไปคิดปรุงแต่งด้วยความโลภ โกรธ หลงแทน  จึงเปิดประตูให้ความทุกข์เข้ามาในใจ

อย่างไรก็ตาม  พระบิดา(พระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าบางองค์) ก็ยังให้สิทธิสรรพจิตเข้าไปอาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้นรองๆของสวรรค์นิรันดร(พุทธเกษตร)  ซึ่งมีเป็น 100 ชั้นได้  แต่ยังเข้าไปอยู่ในชั้นสูงสุดที่เป็นชั้นของอรหันต์ไม่ได้(เนื่องจากจิตบริสุทธิ์ยังไม่พอ)

ตามประวัติมีแต่เห้งเจียเท่านั้นที่จิตบริสุทธิ์ไม่พอ  แต่สามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์นิรันดรชั้นของอรหันต์(พุทธเกษตรชั้นบนสุด)ได้ชั่วคราว  โดยไปเป็นคนเลี้ยงม้าสวรรค์ (ปี้ม่าอุน) แต่หงอคงก็ทนอยู่ได้ไม่นาน  เพราะที่นั่นเป็นที่สำหรับจิตบริสุทธิ์อยู่  จิตที่คึกคะนอง และเหิมเกริมไม่เลิกอย่างหงอคง จะไปทนกับสวรรค์แบบนั้นได้อย่างไร  เหมือนนักเลงอันธพาลจะไปชอบอยู่อย่างสงบแบบพระทำได้ยากมากๆ

- ความลับของบิกแบงค์(การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่) คือ  จิตมวลรวมของเหล่าอรหันต์ที่เป็นจิตปภัสสร  เริ่มปรุงแต่งด้วยกิเลส ตัณหา อวิชชา  เพราะยอมให้กิเลส ตัณหา และอวิชชาต่างๆเข้ามาลวงจิตได้นั่นเอง  BIG BANG จึงระเบิดขึ้นมา  เพื่อจะได้มีที่อยู่ใหม่ให้จิตวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านั้นอยู่

ในพระคัมภีร์พันธะสัญญาเดิม
ปฐมกาล 1/ Genesis

การทรงสร้าง
1:1 ในเริ่มแรกนั้นพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก
(พระเจ้าที่เป็นพระบิดาเริ่มให้พระบุตร(พระอรหันต์ต่างๆ)เล่นเกมส์ค้นหาความจริงเกี่ยวกับตัวเองได้แล้ว  จึงต้องให้กิเลส ตัณหา อวิชชาเข้ามาลวงจิตปภัสสรได้  และพระองค์ได้เนรมิตสนามเล่นเกมส์ที่เรียกว่า โลกและจักรวาลขึ้นมาจากความว่างเปล่านั้น  โดยการลวงหรือสะกดจิตให้จิตต่างๆเห็นความว่างเปล่าเป็นของจริง  ยิ่งมีความยึดมั่นถือมั่น  มีกิเลส ตัณหามากเท่าไร  ก็ยิ่งเห็นความว่างเปล่าเหล่านี้เป็นของจริงมากขึ้นเท่านั้น)

1:2 แผ่นดินโลกนั้นก็ปราศจากรูปร่างและว่างเปล่าอยู่ ความมืดอยู่เหนือผิวน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือผิวน้ำนั้น

ความมืดอยู่เหนือผิวน้ำ = แดนนิพพานแท้ หรือปรินิพพาน

พระวิญญาณของพระเจ้าปกอยู่เหนือผิวน้ำนั้น
(วิญญาณของพระเจ้า = จิตมวลรวมของเหล่าอรหันต์ที่เป็นจิตปภัสสร  ก่อนการเริ่มคิดปรุงแต่ง)  

วันที่หนึ่งปรากฏมีความสว่างเกิดขึ้น

1:3 พระเจ้าตรัสว่า "จงให้มีความสว่าง" แล้วความสว่างก็เกิดขึ้น 
(ความสว่างคือแสงสว่างในใจ  ซึ่งแสงสว่างในใจนั้น  สามารถปรากฏออกมาภายนอกในโลกของวัตถุได้ด้วย)

1:4 พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และพระเจ้าทรงแยกความสว่างนั้นออกจากความมืด 
(แสงสว่างนั้นคือความดี  ความดีสูงสุดคือ จิตสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ ส่วนความมืดคือ ความชั่ว)

แรงดึงดูด คือ แรงดึงเข้าหาความดี  ถ้าใครที่สามารถถูกดึงเข้าหาความดีสูงสุดได้  จิตจะสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ นั่นเป็นเรื่องภายในจิตก็จริง  แต่สิ่งที่ปรากฏออกมาภายนอกในโลกของวัตถุได้ คือ กลายเป็นหลุมดำ

ส่วนพลังงานมืด(dark energy) ที่ครอบคลุมจักรวาล  และมีผลมากถึงกว่า 90% ของพลังงานในจักรวาลหรือในเอกภพของเรา คือ  ความคิดปรุงแต่งนั่นเอง

นักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์สมัยใหม่เริ่มตระหนักแล้วว่า  พวกเขาค้นพบได้เกือบทุกตัว  ยกเว้นเพียงตัวเดียว  เหลือเพียงตัวเดียวจริงๆ  ที่ค้นพบยากเย็นเสียเหลือเกิน สิ่งนั้นคือ "อนุภาคพระเจ้า หรือ God particle"

2. ความลับที่ว่าจักรวาลหรือเอกภพขยายตัวออกไปไม่สิ้นสุด

จักรวาลหรือเอกภพขยายตัวออกไปไม่สิ้นสุด  ก็เพราะเหล่ามนุษย์มีความคิดปรุงแต่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  มีผู้สำเร็จอรหันต์น้อยลง  หลุมดำซึ่งเป็นการแสดงออกของพลังอรหันต์ในนิพพาน  จึงมีพลังดึงดูดแพ้พลังผลักออกของความคิดปรุงแต่งมวลรวม  พวกมนุษย์และสรรพชีวิตใน 31 ภพภูมิ มีแต่ส่งออกพลังงานมืด(dark energy)  มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะดึงดูดความคิดปรุงแต่งเข้าไปจนหมด

1 ความคิดเห็น:

  1. คุณพลศักดิ์เคยนับถือศาสนาคริสต์มาก่อนไหมคะ สามารถเชื่อมโยง 2 ศาสนาเข้าด้วยกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันสงสัยและหาคำตอบอยู่ ดิฉันได้สวดขอต่อพระเจ้าให้ได้รู้ความจริงว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ระหว่างศาสนาพุทธกับคริสต์ เพราะรู้สึกสงสัยว่ามันมีอะไรที่เชื่อมโยงกัน พระพุทธเจ้ากล่าวจริง หรือพระคริสต์กล่าวจริงกันแน่หรือจริงทั้ง 2 แต่คนที่ทำพระคัมภีร์ไบเบิลดัดแปลงข้อความในพระคัมภีร์ทำให้ผิดเพี้ยน และก็ได้พบกับเว็บไซต์นี้ ดิฉันได้รับคำตอบของใจที่สงสัยมากมายจริงๆ ขอบคุณอย่างสุดซึ้งค่ะ

    ตอบลบ