A A

8 มีนาคม 2558

สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ ใจที่ว่าคือ ภวังค์จิต หรือ จิตใต้สำนึก

สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจ ที่มีการพูดกันนั้นถูกแล้ว  แต่ต้องเข้าใจว่า  ใจที่ว่าหมายถึง ภวังค์จิต  หรือ จิตใต้สำนึก 

ในภวังค์จิต  หรือ ในจิตใต้สำนึกของเรามันมีภพภูมิอยู่  ภพภูมิที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเรานั้นคือ  สวรรค์นรกพรหมโลกและอบายภูมิต่างๆนั่นเอง

สวรรค์นรกพรหมโลกและอบายภูมิต่างๆแสดงออกให้เรารับรู้ได้ 2 ทาง


1.  แสดงออกทางใจของมนุษย์ เป็นภวังค์จิต  หรือ เป็นจิตใต้สำนึกของเรา  มนุษย์เราเรียกการรับรู้นั้นว่า "ความฝัน"  แม้ว่าฝันของเราทุกวัน มักจะเป็นลมๆแล้งๆ  แต่มีความฝันอีกแบบ ที่จิตวิญญาณของเราออกจากร่างกาย  แล้วไปท่องเที่ยวในภพภูมิเหล่านั้น  ภพภูมิเหล่านั้นก็คือ สวรรค์นรกพรหมโลกและอบายภูมิต่างๆที่ผมพูดถึง

- คนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกสมาธิจนมีอภิญญาถอดจิต(ถอดกายทิพย์ หรือถอดวิญญาณ)ได้  ส่วนใหญ่จะไม่รู้ และไม่เชื่อว่า  ในภวังค์จิต  หรือ ในจิตใต้สำนึกของเขา  มีสวรรค์นรกพรหมโลกและอบายภูมิต่างๆอยู่  นอกจากมีวิญญาณหรือกายทิพย์อื่นใด เช่น ผี เปรต อสูร เทวดา มาปรากฏให้เขารับรู้ทางอายตนะตา หู จมูก ร่างกาย ให้เขารับรู้ เช่น  เห็นผี เห็นเปรต ได้กลิ่นธูป กลิ่นดอกไม้ กลิ่นเหม็นอะไรสักอย่าง เป็นต้น  พวกเขาจึงจะเชื่อว่าภพภูมิอื่นมีจริง

แต่ก็มีบางคน ที่เรียกกันว่า  พวกมี Sixth Sense (ซิกซ์เซ้นส์)  พวกเขาจะรับรู้ถึงการมาปรากฏของ ผี เปรต อสูร เทวดา ฯลฯ  อย่างไรก็ตาม 
คนสมัยใหม่ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในโลก  พวกเขาคิดว่า ตนเองฉลาดนักแต่จริงๆโง่ฉิบหายเลย  พวกนี้ดันไปเรียกพวกมีSixth Sense (ซิกซ์เซ้นส์)ว่า  "จิตหลอน"

- คนที่ฝึกสมาธิจนมีอภิญญาถอดจิต
(ถอดกายทิพย์ หรือถอดวิญญาณ)ได้ เช่น ผมPhonsak ผมจะพบผี เปรต อสูร เทวดา ฯลฯ  รวมทั้งพบพุทธะที่เป็นกายทิพย์บริสุทธิ์ เป็นประจำ  ผมจึงรู้เรื่องการมีอยู่ และการปรากฏตัวของพวกที่อยู่ในสวรรค์นรกหรือพรหมโลกหรืออบายภูมิต่างๆ อย่างดีว่า   นอกจากพวกเขาจะปรากฏในความฝันได้แล้ว  พวกเขายังปรากฏตัวได้ในปรโลกในภพภูมิที่เขาอยู่ได้ด้วย  

2.  การปรากฏของสวรรค์นรกพรหมโลกและอบายภูมิต่างๆ และการปรากฏของวิญญาณเหล่านั้นในปรโลก  สามารถแสดงออกมาให้โลกภายนอกของเรารู้เห็นได้ด้วย    เราจะรู้เห็นได้..เมื่อเราใกล้ตาย  หรือเมื่อเราตายไปแล้วเท่านั้น 

อนึ่ง  โลกของเรามีหลายมิติที่ซ้อนกันอยู่  มีผู้ที่มีอภิญญาเป็นพุทธะขั้นพระพุทธเจ้าเท่านั้น  จึงจะสามารถเชื่อมมิติที่ซ้อนกันอยู่นั้นให้มนุษย์รู้เห็นได้ด้วยตาของมนุษย์เองแบบจะจะเลย   ดังที่พระพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์ เชื่อมมิติที่ซ้อนกันอยู่ให้มนุษย์รู้เห็นได้ด้วยตาของมนุษย์เอง  ใน 
"วันพระเจ้าเปิดโลก"  หรือ "วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก" เมื่อครั้งพุทธกาล

จริงๆแล้ว  พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิฤทธิ์บันดาลให้โลกทั้ง ๓ มี 
เทวโลก, มนุษย์โลก, สัตว์นรก มองเห็นกันทั้งหมดเลย  ไม่ใช่แค่มนุษย์เห็นปรโลกเท่านั้น  จึงเรียกวันนั้นว่า วันพระเจ้าเปิดโลก

0 comments:

แสดงความคิดเห็น