A A

8 มีนาคม 2558

ตัวจริงของเราอยู่ในสวรรค์นิรันดร(นิพพาน) ตัวปลอมเราอยู่บนโลกและในภพภูมิอื่นๆ

ตัวจริงของเราอยู่ในสวรรค์นิรันดร(นิพพาน)  ตัวปลอมเราอยู่บนโลกและในภพภูมิอื่นๆ  ผมกำลังบอกพวกคุณว่า  พวกคุณรวมทั้งผมด้วย เป็นเพียงความฝันเสมือนจริงเท่านั้น  พระพุทธเจ้าเรียกตัวปลอมที่เป็นเพียงความฝันเสมือนจริงว่า "อนัตตา" หรือสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน  อนัตตา-ตัวตนปลอม ชนิดนี้เกิดจากทิฐิ(อัตตานุทิฏฐิ) หรือตัวตนที่เกิดจากอุปทาน(อัตตวาทุปาทาน)  

"อนัตตา"= อัตตานุทิฏฐิ = อัตตวาทุปาทาน = ตัวปลอมเสมือนจริง = สิ่งมายา

ทิฐิและความยึดมั่นถือมั่น  ที่เกิดจากกิเลสตัณหา  ทำให้ตัวคุณกับตัวผมมีอยู่บนโลกใบนี้และในภพภูมิอื่นๆ  เหมือนที่กล่องรากบุญที่ถูกกิเลสตัณหาของมนุษย์ ทำให้เกิดกายมารหรือกายอสูรชื่อ "ปราณ" ยังไงล่ะ  เคยดูละครเรื่องรากบุญที่เพิ่งอวสานไปเมื่อวาน กันหรือเปล่า

ถึงเวลาที่พวกเราตายห่าตายโหงไปแล้ว  ไอ้ตัวปลอมของเราใช้กายมนุษย์ไม่ได้แล้ว  แต่บุญ-บาปของพวกเรายังมีอยู่  ตัวปลอมหรือจิต(สังขารปรุงแต่ง)  มันก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นกายทิพย์หรือวิญญาณ  แล้วก็ไปรับผลบุญ-บาปกรรมใน 31 ภพภูมิต่อไปอีกเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด    

ตราบใดที่ทิฐิและความยึดมั่นถือมั่นของพวกเรา  ยังไม่หมดสิ้นไป  ตัวปลอมก็ยังเล่นละครของมันต่อไปใน 31 ภพภูมิ  ผู้บรรลุอรหันต์จะละลายตัวปลอมทิ้งไป  จะเหลือแต่ตัวจริงที่เป็นธรรมกายเอาไว้  เพราะพระอรหันต์(ธรรมกาย)ไม่มีทิฐิและความยึดมั่นถือมั่น  ที่เกิดจากกิเลสตัณหาแล้ว  จึงไม่จำเป็นต้องมีตัวปลอมอีก

แต่พระอรหันต์(ธรรมกาย) ท่านสามารถจะนิรมิตตัวจริงอีกตัวหนึ่งของท่านขึ้นมาแทนธรรมกายได้ คือ กายทิพย์อมตะ
(สัมโภคกาย หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์) เพื่อจะช่วยงานโปรดสรรพจิตใน 31 ภพภูมิให้เข้านิพพานต่อไป  เนื่องจากพระอรหันต์(ธรรมกาย)จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในนิโรธ  ไม่ค่อยยุ่งกับเรื่องราวอื่น

- กายทิพย์อมตะ (สัมโภคกาย หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์) พระพุทธเจ้าเรียกว่า "พระโพธิสัตว์(อรหันต์)"

เรื่องตัวจริง-ตัวปลอมขั้นสูง ที่มีปัญหาค้างคาใจปุถุชนและผู้ยังไม่บรรลุธรรม

พระพุทธเจ้าตรัสว่า 
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ    แต่ว่าจิตนี้เศร้าหมองแล้ว เพราะกิเลสที่เป็นอาคันตุกะเข้ามา"   

- จิตปภัสสร เป็นจิตที่มหาบริสุทธิ์ ไม่มีราคะ โทสะ โมหะอยู่  ดังนั้นจิตปภัสสรจึงเป็นนิพพานธาตุ และเป็นอมตะ  ดำรงอยู่ได้ในแดนนิพพาน = ตัวจริง

หลักฐาน 

ภิกขุสูตร ที่ ๒ มหา. สํ. (๓๑-๓๒)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ความกำจัดราคะ  ความกำจัดโทสะ  ความกำจัดโมหะ  นี้เป็นชื่อแห่ง 
นิพพานธาตุ
ความสิ้นราคะ  ความสิ้นโทสะ  ความสิ้นโมหะ  นี้เรียกว่า 
อมตภาพ......"

- ส่วนจิตนี้เศร้าหมองแล้ว เพราะกิเลสที่เป็นอาคันตุกะเข้ามา จะอยู่ที่ไหนล่ะครับ  เพราะนิพพานเป็นที่ๆจิตมหาบริสุทธิ์อยู่  ดังนั้นพวกเราเหล่าจิตมหาบริสุทธิ์จึงร่วมกันสร้างโลกและจักรวาล สวรรค์นรก รวม 31 ภพภูมิให้จิตเศร้าหมองอยู่ = ตัวปลอม

หลักฐาน

1. ในศาสนาคริสต์ และอิสลาม  อยู่ในบทปฐมกาล ปฐมกาล / Genesis  ปฐมกาล 1 การทรงสร้าง
     1:1 ในเริ่มแรกนั้นพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก ฯลฯ

ในวันสุดท้ายของการทรงสร้าง พระเจ้าตรัสว่า ให้
เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา” (ปฐมกาล1:26) ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าซึ่งเป็นจิตมหาบริสุทธิ์ไม่ได้มีองค์เดียว  เพราะใช้คำว่าเรา  ถ้าหลักฐานยังไม่ชัด  อ่านท่อนนี้ซิ  1:26 ปฐมกาล พระเจ้าตรัสว่า : ... จงให้พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพวกเรา ตามอย่างพวกเรา ........"  อีกท่อนหนึ่ง  "ดูเถิด มนุษย์ได้มาเป็นเหมือนหนึ่งในพวกเราแล้ว รู้จักความดีและความชั่ว"

2. ในศาสนาพุทธ 3 พระสูตรที่ยืนยัน: ธรรมธาตุ/นิพพาน/พระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างสร้างสิ่งทั้งปวง  สรุปก็คือ ผู้สร้างคือ ธรรมธาตุ หรืออสังขตธรรม อันเที่ยงแท้และคงทนต่อทุกกาล  
(ธรรมธาตุ หรือ อสังขตธาตุ คือ พระเจ้า นั่นเอง)  อ่านต่อได้ใน http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=821.0

ความจริงของเรื่องนี้ก็คือ   

เรามีตัวเราอีกตัวหนึ่งหรืออีกจิตหนึ่ง ที่เป็นพระอรหันต์ดับทุกข์ได้แล้ว  นอนรอเราอยู่ในนิพพาน  แต่เราก็ไม่ยอมตื่นขึ้นมาเป็นท่านสักที  ตัวจริงของเราที่เป็นอรหันต์จึงต้องรอเก้อเป็นล้านๆๆๆๆๆๆปี  เพราะเราที่เป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นเปรต เป็นสัตว์นรก หลงอยู่ในความฝันไม่ยอมตื่น  

กิเลสตัณหาและอวิชชาเป็นตัวทำให้เราฝันอยู่  และฝันไปเรื่อยๆในสังสารวัฏ  ข้ามภพข้ามชาติไปไม่มีวันสิ้นสุด คือ ไม่ยอมตื่นขึ้น  เพื่อกลับเข้าไปในโลกนิพพาน ซึ่งเป็นสวรรค์นิรันดร

ตราบใดที่เรา(จิตสังขารไม่บริสุทธิ์อยู่ในโลกนี้)  ยังคงอยู่ในความฝันเสมือนจริงในโลกมนุษย์และใน31 ภพภูมิ  ตราบนั้นเรา(จิตบริสุทธิ์ที่อยู่ในโลกนิพพาน)ก็ตื่นขึ้นไม่ได้

พระพุทธเจ้าเตือนเราตลอดและเสมอให้ตื่นขึ้น  ให้รู้ตัวได้แล้ว  เมื่อเราทำสมถะหรือวิปัสสนากรรมฐานด้วยคำบริกรรมว่า "พุทโธ"  แต่เราก็ไม่เคยสนใจเลยว่า  คำบริกรรม "พุทโธ" คืออะไรกันแน่  แล้วพระพุทธเจ้ายังเตือนเราอีกด้วยในความหมายของคำว่า "สติปัฏฐาน"  แต่กิเลสตัณหาหรือมารในใจของเรา  ก็ทำให้พวกเราก็ไม่เคยใส่ใจจะหาความหมายแท้จริงของคำว่า "สติปัฏฐาน" และ "พุทโธ" เลย



นิพพาน คือ สภาวะที่พ้นจากรูปขันธ์และนามขันธ์ทั้งปวง ...

teamsleep โพสต์

ตอบ

นิพพาน มีหลายความหมาย  ผมจะวิเคราะห์ให้คุณฟังอย่างละเอียดในวันหลัง  อย่างไรก็ตาม  นิพพานในความหมายหนึ่ง  ก็แบบที่คุณยกมา  
นิพพาน คือ สภาวะที่พ้นจากรูปขันธ์และนามขันธ์ทั้งปวง

แต่พึงรู้ในตอนนี้ก่อนที่จะไปอ่านกระทู้นิพพานที่ละเอียดของผม  คือ  
สภาวะที่พ้นจากรูปขันธ์และนามขันธ์ทั้งปวง  รูปขันธ์ นามขันธ์ มันก็หายไป  แต่สิ่งที่ไม่ได้หายไปด้วยคือ จิตมหาบริสุทธิ์ อายาตนะนิพพาน และกายทิพย์มหาบริสุทธิ์(สัมโภคกาย)  

1. พระพุทธเจ้ายืนยันว่า  อายาตนะนิพพาน นั้นยังมีอยู่  ไม่ได้หายไป  

ในปฐมนิพพานสูตร  ว่าด้วยอายตนะ  คือ  นิพพาน

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  อายตนะนั้นมีอยู่   ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม  อากาสานัญจายตนะ  วิญญาณัญจายตนะ  อากิญจัญญายตนะ  โลกนี้  โลกหน้า  พระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง  ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า  เป็นการมา  เป็นการไป  เป็นการตั้งอยู่   เป็นการจุติ  เป็นการอุบัติ  อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้  มิได้เป็นไป  หาอารมณ์มิได้  นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์.

พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า : ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน 

อ้างอิง 
ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร 

ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้
ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "

2. พระพุทธเจ้ายืนยันอีกด้วยว่า เมืองพระนิพพานนั้นยังมีอยู่   

ในคิริมานนทสูตร (สูตรต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ) เมืองพระนิพพาน
ตทนนฺตรํ ในลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส เทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ นิพฺพานํ นครํ นาม อันชื่อว่าเมืองพระนิพพาน ย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดนั้น พระนิพพาน เป็นพระมหานครอันใหญ่ เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้

0 comments:

แสดงความคิดเห็น