A A

4 มีนาคม 2558

ความจริงเรื่องจิต การชำระล้างบาปเบาในศาสนาคริสต์ พุทธเถรวาท และมหายาน(สุขาวดี)

ความจริงย่อๆเรื่องจิต

ก่อนอื่น คุณต้องรู้ก่อนว่า จิตแบ่งแบบง่ายที่สุดมี 2 อย่าง

1...จิตบริสุทธิ์ หรือ  จิตพุทธะ, จิตอรหันต์, หรือจิตธรรมกาย

พระพุทธเจ้าเรียกจิตชนิดนี้เป็นธาตุว่า 
"อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"  จิตพุทธะพร้อมกาย(ธรรมกาย)อยู่ที่แดนนิพพานแดนอมตะ หรือสวรรค์นิรันดร

2...จิตไม่บริสุทธิ์ หรือจิตคิดปรุงแต่ง(จิตสังขาร)  ซึ่งแต่เดิมมันเคยบริสุทธิ์เรียกว่าจิตปภัสสร

เรื่องเป็นอย่างนี้  จิตตัวนี้เริ่มต้นเป็นจิตที่บริสุทธิ์เหมือนจิตอรหันต์นั่นแหละ เรียกว่า 
"สอุปาทิเสสนิพพานธาตุที่ต้องเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นจิตสังขารเพราะมันไปหลงกลอวิชชา  เลยกลายเป็นจิตไม่บริสุทธิ์ไป  จึงต้องเปลี่ยนกายที่จิตคิดปรุงแต่งอยู่  และเปลี่ยนที่อยู่อาศัยของจิตชนิดนี้ใหม่  ไปอาศัยอยู่ใน 31 ภพภูมิ  ซึ่งเป็นแดนที่จิตที่เข้าไปอาศัยอยู่ ไม่ได้เป็นอมตะ  แทนที่จะไปอยู่ในนิพพานแดนอมตะ

จิต
"อนุปาทิเสสนิพพาน กับ จิต "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ"  แท้จริงมันก็เป็นตัวเดียวกัน  เพียงแต่ถ้ามันอาศัยอยู่ในกายมนุษย์ ก็เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ  ถ้าอาศัยอยู่ในกายธรรมที่บริสุทธิ์(ธรรมกาย) ก็เรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

จิตบริสุทธิ์-จิตพุทธะ(อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ)  แตกต่างจาก  จิตคิดปรุงแต่งได้-จิตประภัสสร(สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ)ตรงที่  จิตประภัสสร
- ยอมให้กิเลส ตัณหา หรืออวิชชา หรือมาร เข้ามาสอนหลอกลวงให้ทำชั่ว และทำดีทางโลกียะได้
- ยอมให้พระเจ้าหรือพุทธะเข้ามาสอนทางจิต  ให้ละทิ้งการยึดติดในการทำดี ทำชั่วทางโลกได้เช่นกัน

การทำดีทำชั่วทางโลก หรือทางโลกียะ จะทำให้วิญญาณของเขา ต้องวนเวียนอยู่ใน 3 ภพ  ซึ่งเป็นภพภูมิชั่วคราวไปเรื่อยๆ ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีวันสิ้นสุด

การละดีทิ้งชั่ว  ไม่ยึดติดในทางโลกทั้งสิ้น จะทำให้จิตของเขาว่างเปล่าจากกิเลสตัณหา  จิตที่ว่างเปล่าจากกิเลสตัณหา จะไปสู่แดนนิพพาน (สวรรค์นิรันดร)  หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  ที่ต้องวนเวียนอยู่ใน 3 ภพ

ไฟชำระ(Purgatory) ในศาสนาคริสต์ และไฟชำระในศาสนาพุทธ

คุณเคยรู้ไหมว่า  ในศาสนาพุทธ  ก็มีเรื่องไฟชำระ  แต่เป็นไฟชำระเพื่อล้างจิตวิญญาณของผู้ที่ตายก่อนถึงกำหนดอายุขัย(โดนกรรมมาตัดรอนชีวิตก่อน)  เพราะจิตวิญญาณดวงนั้น ยังมีคราบสกปรกจากบาปหนักเหลืออยู่  จึงไปเกิดใหม่ไม่ได้  ต้องล้างคราบสกปรกนั้นออกไปจากจิตวิญญาณอย่างรวดเร็วก่อน  จึงต้องล้างด้วยไฟชำระ  ก่อนที่วิญญาณดวงนั้นจะถูกส่งไปเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ที่ผมรับรู้มา วิญญาณดวงที่ได้ไปเกิดใหม่ และต้องถูกล้างด้วยไฟชำระ  ต้องเป็นวิญญาณที่ตายก่อนถึงกำหนดอายุไข  เพราะเขามีสิทธิ์เป็นมนุษย์อยู่ในโลกได้อีกนาน  เมื่อเขาตายก่อนถึงกำหนด  พญายมจึงยังไม่มีสิทธิไปตัดสินเขาว่า  เขาดีจริงหรือเลวจริง  ต้องให้เวลาและให้โอกาสเขามีชีวิตใหม่ที่อายุยืนมากกว่านี้ก่อน  จึงจะพิสูจน์ได้ว่า วิญญาณดวงนี้เขาดีหรือเขาเลวกันแน่ 

แต่บาปเก่าของเขาที่หนักตอนที่เป็นมนุษย์ มันมีอยู่  จึงต้องชำระออกด้วยไฟชำระ  ล้างพิษของกรรมในวิญญาณของเขาออก  จึงค่อยส่งเขาไปเกิดใหม่  ถ้าบาปไม่หนัก  ก็อาจจะแค่ให้เดินไปในป่าที่มีหินขรุขระ เจอหนามของต้นไม้ในป่า  หรือลงโทษอย่างอื่น แล้วก็ให้ไปเกิดได้  แต่ถ้ามีบุญสูง ตายก่อนกำหนด  ก็ให้ไปพักในเรือนรับรองสวรรค์ แล้วค่อยให้เทวดาเชิญลงไปเกิดใหม่เมื่อถึงกำหนด

ไฟชำระ(Purgatory) ในศาสนาคริสต์ ตรงกันข้ามกลับไฟชำระในศาสนาพุทธ  เพราะไฟชำระ(Purgatory) ในศาสนาคริสต์ เอาไว้ชำระวิญญาณที่ทำบาปมาไม่มากนัก  เมื่อวิญญาณผู้ที่ตายโดยยังมีบาปอยู่  แต่ก็ไม่ได้หนักถึงขนาดต้องตกนรก จึงต้องไปยังไฟชำระเพื่อชำระล้างบาปให้สะอาดก่อนส่งขึ้นสวรรค์ของพระคริสต์

อนึ่ง  ในศาสนาพุทธ  วิญญาณที่ทำบาปมา  และตกนรกรับโทษไปแล้ว  ต้องมาล้างพิษของเศษกรรมที่เหลืออยู่ออกไปในภูมิเปรต ที่หิวโหยก่อน  แล้วค่อยส่งวิญญาณดวงนั้นไปเกิดใหม่

ภูมิเปรต เป็นแดนระหว่างสวรรค์กับนรก  เช่นเดียวกับแดนแห่งไฟชำระ(Purgatory) ของคริสต์ศาสนา ซึ่งเป็นดินแดนระหว่างสวรรค์กับนรก  ที่วิญญาณยังมีบาปอยู่ แต่ไม่ได้หนักถึงขั้นตกนรก

แม้ว่าภูมิเปรตและภูมิไฟชำระจะเป็นภูมิของผู้มีบาปน้อยก็ตาม  แต่ทั้ง 2 ภูมิ ซึ่งเป็นแดนกึ่งกลางระหว่างนรกกับสวรรค์  ก็มีวิธีล้างพิษบาปออกแตกต่างกัน  ภูมิเปรตจะล้างพิษบาปออกแบบช้าๆด้วยวิธีการให้หิวโหย  ในขณะที่ไฟชำระ(Purgatory) ของคริสต์ศาสนา จะล้างพิษบาปออกเร็วไปเลยด้วยไฟชำระ  พูดง่ายๆ ภูมิเปรต ทุกข์น้อยหน่อย แต่นาน  ภูมิไฟชำระทุกข์มากมายมหาศาล  แต่ทุกข์ไม่นาน

นักบุญ โทมัส  กล่าวว่า 
"ความทุกข์ทรมานในไฟชำระนั้นแม้เพียงแค่ 1 นาที กลับมีความยาวนานราวกับ 1 ศตวรรษเลยทีเดียว" 


วิธีล้างพิษของกรรมของผู้ทำบาปไม่หนักด้วยน้ำในศาสนาพุทธนิกายสุขาวดี

แดนสุขาวดีมีวิธีล้างพิษของวิญญาณที่ทำบาปมาก และบาปไม่มากเช่นเดียวกัน  แต่เป็นการล้างพิษบาปด้วยน้ำ เรียกว่าน้ำคุณธรรมในสระวิเศษ  ซึ่งมีหลายแห่ง บางแห่งก็เรียกว่า สระ 7 วิเศษ น้ำในสระก็เป็น "น้ำพุทธมนต์" ใช้ดื่มกินได้  สามารถขจัดความสกปรกในจิตออก

วิญญาณที่มีบาปน้อย  เมื่ออยู่ในสระน้ำพุทธมนต์นี้  เดือนแรกๆ หรือปีแรกๆ ที่ก้าวลงไปในสระ เนื่องจากวิญญาณดวงนั้นมีบาปติดตัวมาด้วย  ก็ต้องมีการเจ็บปวดทรมานบ้าง แล้วก็ค่อยๆทุเลาไปเอง จนถึงขั้นสบายใจที่ได้อาบน้ำในสระคุณธรรม  ถ้าไม่สบายขึ้น  จะมีวิญญาณดวงไหนกล้าลงไปในสระคุณธรรมอีกล่ะ  ครั้งเดียวก็เข็ดแล้ว  และสระคุณธรรมก็อาจต้องเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "สระนรก" แทน

พิษบาปจะถูกขจัดออกไปเรื่อยๆทีละเล็กทีละน้อยในทุกครั้งที่ลงสระ จนกระทั่ง..เมื่อบาปกรรมเบาถูกชำระออกไปจนสิ้นแล้ว  จิตวิญญาณดวงนั้นก็จะสะอาดจากบาป  หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ลงสระคุณธรรม  ก็จะเย็นสบายสดชื่นแจ่มใส

ถ้าให้ผมเทียบการอาบน้ำในสระคุณธรรม  ก็เหมือนกับคนที่ชอบอาบน้ำพุร้อนๆ  ตอนแรกๆก็ร้อนฉิบหาย  ต่อไปก็ร้อนสบาย  และติดใจ  ต้องอาบน้ำพุร้อนตลอดชีวิต

วิธีใช้น้ำมนต์ชำระล้างบาปเวรเบาๆ  ผมก็บอกไปแล้ว  ส่วนวิญญาณที่ทำบาปกรรมหนักๆมา ก็ล้างพิษของบาปกรรมนั้นได้ด้วยเช่นกัน  เพียงแต่ต้องใช้เวลายาวนานมากๆๆๆ  จิตวิญญาณบางดวงต้องอาบน้ำมนต์ชำระความบาปเป็นพันๆหมื่นๆปี  บางดวงก็เป็นล้านปี  บางดวงก็ยาวนานถึง 1 กัลป์  (กัลป์หนึ่งเท่ากับ 16 ล้าน 7 แสน 9 หมื่น 8 พันปี) หรืออาจจะยาวนานกว่านั้นก็ได้  ขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่ตัวเองทำมาสมัยเป็นมนุษย์

พอบาปสมัยเป็นมนุษย์หมดไป  ก็ไปฝึกวิชาละลายกิเลสและความยึดมั่นถือมั่นต่อไปในบัวชั้นล่างนั่นแหละ  ถ้าจิตพัฒนาสะอาดขึ้น  ก็ค่อยไปฝึกวิชาละลายกิเลสและความยึดมั่นถือมั่นในดอกบัวโคตรของโคตรๆๆๆๆๆๆๆๆยักษ์ในชั้นที่ ดอกบัวทั้งหมดมีอยู่ 9 ชั้น  ในบัว 9 ชั้นนั้น  ถ้าจะบำเพ็ญศีลภาวนา จากบัวชั้นล่างสุด ถึงบัวชั้นสูงสุด อาจจะต้องใช้เวลานานถึง 12 กัลป์สำหรับพวกที่บาปหนักก็ได้  จึงจะบรรลุถึงขั้นนิพพาน  เข้าสู่แดนนิพพานแดนอมตะ หรือสวรรค์นิรันดรได้

อนึ่ง  ที่ต้องใช้เวลายาวๆมากๆ  กว่าจะขึ้นไปสู่ชั้นอรหันต์ แดนนิพพานได้  เนื่องจากแดนสุขาวดีเป็นแดนสุคติภพ  และเป็นดินแดนที่เวลามีเหลือเฟือไม่มีกำหนดสิ้นสุด  การจะไปเผาวิญญาณบาปไม่ว่าจะเป็นบาปน้อย หรือบาปมากด้วยไฟนรก หรือไฟชำระใดๆไม่ได้ทั้งนั้น  แค่ให้วิญญาณอดน้ำอดอาหารก็ทำไม่ได้แล้ว  เพราะพุทธเกษตรสุขาวดีเป็นสุคติภพ หรือสวรรค์  ไม่ใช่ทุคติภูมิ หรือ อบายภูมิ นั่นเอง

ขอนำเรื่องที่พระพุทธเจ้าเล่าถึงแดนสุขาวดีไว้เล็กน้อยนะครับ

ในสมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคทรงตรัสกับพระสารีบุตรว่า  
นับแต่นี้ไปเบื้องมณฑลปัจฉิมทิศ  ไปอีกล้านโกฏิพุทธเกษตร  มีโลกธาตุนามว่าสุขาวดี  พุทธเกษตรแห่งนี้  มีพระพุทธเจ้านามว่า  อมิตาภะ  บัดนี้แสดงธรรมอยู่

สารีบุตร  เหตุใดพุทธเกษตรนี้จึงได้นามว่าสุขาวดี?
 เพราะเหตุที่  สรรพชีวิตที่อยู่ในพุทธเกษตรนี้  ไร้แล้วซึ่งสรรพทุกข์  มีแต่ความสุข  ด้วยเหตุนี้จึงได้นามว่าสุขาวดี

***
แล้วเอาไฟนรกหรือไฟชำระไปเผาดวงวิญญาณ  มันจะเรียกว่า สุขาวดีได้อย่างไร???  จริงไหม???***

พระสารีบุตร ไปสังเกตเห็นสรรพสัตว์ในพุทธเกษตรสุขาวดี  เช่น กระเรียนขาว, นกยูง, นกแก้วนกการเวกกินนร ฯลฯ  เลยสงสัย  เพราะสัตว์เป็นผู้ที่รับบาปกรรม รับทุกข์ จึงเกิดมาเป็นสัตว์ต่างๆ

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า

สารีบุตร  เธอสำคัญว่า  วิหค(นก)นี้  เกิดจากผลกรรม  เป็นเดรัจฉาน  เช่นนั้นหรือพุทธเกษตรแห่งนี้  ไร้แล้วซึ่งอบายสัตว์” 

สารีบุตร  พุทธเกษตรแห่งนี้  แม้นามแห่งอบายสัตว์  ก็มิอาจมี  จักกล่าวไปใยถึงความมีอยู่  วิหค(นก)   ทั้งนี้เกิดจากความปรารถนาประกาศธรรม  แห่งพระอมิตาภ  ยังให้บังเกิดขึ้น= พระอมิตาภพุทธเนรมิตของเทียม ที่ไม่มีจิตวิญญาณขึ้นมาเป็นสรรพสัตว์ และทุกอย่าง

ทั้งนี้เพื่ออะไร?....เพื่อให้มีวิว มีเสียงไพเราะ นำจิตของวิญญาณต่างๆ รำลึกถึงพระพุทธ  พระธรรม  และพระสงฆ์  หรือรำลึกถึง พระเจ้าที่เป็นพระบิดา พระจิต และพระบุตร ยังไงล่ะ

สารีบุตร  พุทธเกษตรแห่งนี้  ยามลมมาต้องรัตนพฤกษชาติ  ข่ายรัตนะ  ทำให้เกิดสำเนียงอันวิเศษ  ยังให้เกิดความสุขร้อยพันประการ  ขณะเดียวกันนั้น  ชนผู้ได้ยินย่อมจักมีจิต  รำลึกถึงพระพุทธ  พระธรรม  และพระสงฆ์” 

พระพุทธเจ้าบอกวิธีเข้าไปอยู่ในแดนสุขาวดีไว้ด้วย... ง่ายนิดเดียว  ไม่มีการเจ็บด้วย

มาตรว่ากุลบุตรกุลธิดา  ได้สดับพระอมิตาภ  รำลึกถึงพระนาม  ๑ วันก็ดี๒ วันก็ดี, ๓ วันก็ดี๔ วันก็ดี, ๕ วันก็ดี, ๖ วันก็ดี  และ ๗ วันก็ดี  มีจิตไม่ซัดส่าย  เมื่อถึงกาลกิริยา  พระอมิตาภตถาคตพุทธเจ้า  พร้อมด้วยปวงมหาบุรุษ  จักปรากฏแต่เบื้องหน้า  ผู้นั้นจิตจะไม่ลงสู่เบื้องต่ำ  ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรแห่งพระอมิตาภตถาคตพุทธเจ้า

สารีบุตร  ตถาคตเห็นประโยชน์ (แห่งสรรพชีวิต) จึงได้แสดงดังนี้  ชนใดได้สดับ  พึงตั้งปณิธาน  อุบัติ ณ. พุทธเกษตรแห่งนี้

สรุป

นรกสวรรค์ชั้นกามหรือโลกียะ  เป็นแค่
ภาพฝันเฟื่องที่เสมือนจริงที่สุด” ของจิตสังขารหรือวิญญาณธาตุอันไม่บริสุทธิ์เท่านั้นเอง  นรกและอบายภูมิต่างๆล้วนเป็นสิ่งมายาเสมือนจริงเท่านั้น  นรกและอบายภูมิมีอยู่  เพราะวิญญาณบาปเหล่านั้นไปเชื่อว่ามันมีอยู่  นรกและอบายภูมิต่างๆจึงมีอยู่กับวิญญาณบาปเหล่านั้น  การจะไปคิดว่ามันไม่มีอยู่ เป็นความว่างเปล่า ทำไม่ได้สำหรับจิตวิญญาณที่ยังมีกิเลสตัณหา และความยึดมั่นถือมั่นอยู่

วิญญาณบาปต่างๆ  จึงต้องโดนขจัดบาปกรรมจากกิเลสตัณหา และความยึดมั่นถือมั่นของเขาออกไป  ไฟนรกและไฟชำระเป็นวิธีการขจัดพิษของบาปกรรมได้อย่างรวดเร็ว  ในขณะที่การล้างพิษจากบาปกรรมด้วยน้ำมนต์เป็นวิธีที่ช้ามากๆๆ  แต่เมื่อพระพุทธเจ้านาม "พระอมิตา" เสนอทางให้เราเลือกทางของท่าน  ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย  เหมือนกับการทำประกันชั้น 1 ฟรีว่า  มึงไม่มีทางตกนรกโดนไฟนรกเผาแน่ๆ

ด้วยเหตุที่ พวกเราล้วนเคยเป็นจิตอรหันต์ที่มหาบริสุทธิ์ทั้งสิ้น  จุดมุ่งหมายของทุกศาสนาก็คือ  ทำให้ทุกจิตสังขาร(วิญญาณหรือกายทิพย์)ของมนุษย์กลับไปเป็นจิตอรหันต์เหมือนเดิม  ในศาสนาคริสต์สอนให้ไปอยู่ในสวรรค์ของพระคริสต์ก่อน  แล้วค่อยไปพัฒนาจิตให้บริสุทธิ์ที่นั่น  ศาสนาพุทธเถรวาทสอนให้พัฒนาจิตในโลกมนุษย์เลย  ถ้าพัฒนาไม่สำเร็จ  ก็ไปสวรรค์ขั้นกามภูมิ  หรือลงอบายภูมิไป  ศาสนาพุทธมหายาน นิกายสุขาวดี  แนะนำให้ไปฝึกพัฒนาจิตในพุทธเกษตรสุขาวดี

แล้วแต่ท่านจะเลือกนะครับว่าจะไปทางไหน

สารีบุตร  ตถาคตเห็นประโยชน์ (แห่งสรรพชีวิต) จึงได้แสดงดังนี้ 
(แสดงธรรมเรื่องพุทธเกษตรสุขาวดี) ชนใดได้สดับ  พึงตั้งปณิธาน  อุบัติ ณ. พุทธเกษตรแห่งนี้ 

0 comments:

แสดงความคิดเห็น