A A

8 มีนาคม 2558

หลวงปู่ดูลย์ 'ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง' หมายความว่า...

อ้างถึง

ตอบกลับ  tonn(phonsak)

"ที่เห็นนั้น  เขาเห็นจริง  แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง"  เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะนิมิตส่วนใหญ่เกิดแต่สัญญาหรือใจของนักปฏิบัติ แล้วยังร่วมด้วยการไปปรุงแต่งอีกต่างๆนาๆ ทั้งยังร่วมอีกด้วยอวิชชา จึงพากันไปยึดติดยึดเชื่อด้วยอธิโมกข์จนเสียการ.....

pick123 โพสต์

ตอบ

คุณผู้ไม่รู้จริง กล่าวถูกที่บอกว่า  เพราะนิมิตส่วนใหญ่เกิดแต่สัญญาหรือใจของนักปฏิบัติ แล้วยังร่วมด้วยการไปปรุงแต่งอีกต่างๆนาๆ ทั้งยังร่วมอีกด้วยอวิชชา  นอกนั้นคุณพยายามมั่ว  และ
ไม่กล่าวถึงส่วนน้อย ที่นิมิตไม่ได้เกิดจากสัญญา(ความจำ)+อวิชชา+ความคิดปรุงแต่ง ซึ่งนิมิตที่เขาเห็นนั้นเป็นของจริง เป็นความจริงในโลก

จริงๆแล้ว... คำกล่าวของหลวงปู่ดูลย์ ที่ว่า"ที่เห็นนั้น  เขาเห็นจริง  แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง" นั้นถูกต้อง  แต่คนที่เต็มไปด้วยอวิชชา เช่น คุณ  แล้วมากำแหงอวดเก่งตีความด้วยมิจฉาทิฐิของคุณนั้นไม่ถูกต้อง  คนอื่นจะเข้าใจผิดได้ว่าเป็นคำสอนของหลวงปู่ดูลย์  ทั้งๆที่เป็นการตีความของคุณเอง

ผมจะตีความให้ฟังนะครับ 
"ที่เห็นนั้น  เขาเห็นจริง  แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง" = คุณ ผม เทวดา นางฟ้า เปรต พรหม ฯลฯ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน  ผู้ที่ยังเห็นว่าสิ่งนั้นมีจริง เป็นตัวตนของเรา  ย่อมมองไม่เห็นธรรมะของพระพุทธเจ้าเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อย่างไรก็ตาม  ในระดับพวกเราที่จิตยังไม่หลุดพ้น  เราย่อมมองเห็นว่า  สิ่งนั้นมีจริง  ผู้ที่ละวางกิเลสตัณหาด้วยสมถะกรรมฐาน  เมื่อถึงจุดหนึ่งจิตของเขาอยู่ในฌานชั้นสูง  เขาย่อมมองเห็นเรื่องราวต่างๆในโลกที่เป็นของว่าง เป็นมายา  ที่เรียกว่า 
"นิมิต"  บางครั้งนักปฏิบัติที่จิตเกือบหลุดพ้นแล้ว  ก็รู้เห็นในนิมิตของเรื่องอดีต และอนาคตของสิ่งที่เป็นมายาคือ มนุษย์ด้วย  นิมิตอันนี้จึงไม่ใช่จิตหลอน เพราะจิตหลอนเกิดจากจิตคิดปรุงแต่ง และมีอวิชชา

เช่น พระพุทธเจ้าเห็นในนิมิตเรื่องอนาคตของศาสนาพุทธ ฯลฯ  ท่านไม่ได้จิตหลอน  แต่นิมิตของท่านเป็นของจริง


สรุป

"ที่เห็นนั้น  เขาเห็นจริง  แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง" = สิ่งที่ถูกเห็นไม่จริง ถ้านิมิตของเขายังมีกิเลสตัณหาและความคิดปรุงแต่งอยู่  แต่นิมิตนั้นจะจริง  ถ้ากิเลสตัณหาและความคิดปรุงแต่งไม่มี

แต่ผู้ฝึกสมถะ+วิปัสสนา ต้องรู้ว่า  นิมิตนั้นแม้ไม่มีกิเลสตัณหาและความคิดปรุงแต่งแล้ว  แต่ก็ต้องถือว่า สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริงทั้งนั้น  เพราะความจริงทุกอย่างใน 31 ภพภูมิ  มันเป็นแค่มายา หรือเป็นแค่ความว่างเปล่า  

เมื่อคุณฝึกถึงขั้นนั้น  คุณจะเห็นว่า ตัวคุณพ่อแม่เพื่อนฝูง ฯลฯ เป็นแค่ความฝันเฟื่อง เป็นแค่มายา  เป็นแค่ความว่างเปล่า  คุณจึงจะบอกได้ว่า นิมิต-สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริงเป็นอนัตตา(ความว่างที่เป็นมายา)  แต่ในฐานะมนุษย์  นิมิต-สิ่งที่ถูกเห็นของคุณ ตอนนั้นคือ ของจริงที่จะเกิดขึ้นในโลก  

ด้วยเหตุนี้  ถ้าผมไม่ทำมหาทานครั้งใหญ่  โลกมนุษย์ย่อมหนีไม่พ้นวันสิ้นโลกปี 2012  พระพุทธเจ้าของเราท่านเห็นอนาคตที่ไม่เปลี่ยนแปลง  ท่านก็รู้ด้วยว่า  ผมผู้เป็นนิตยโพธิสัตว์ ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกต่อจากพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า  จะทำมหาทานครั้งนี้  แล้วโลกจะไม่สิ้นไป  ศาสนาพุทธจะยืนยาวไปถึง พ.ศ. 5000

0 comments:

แสดงความคิดเห็น