A A

22 กุมภาพันธ์ 2558

เรื่องสุดยอด ที่พระพุทธเจ้าของเราและหลวงพ่อสดไม่ยอมเปิดเผย แต่ผมPhonsakเปิดเผย

ตามคัมภีร์มหายาน  และตามคำบอกเล่าของหลวงพ่อสด  พระพุทธเจ้าของเราไปเจอพระพุทธเจ้าภาคดำ  พระพุทธเจ้าภาคดำที่พระพุทธเจ้าเจอพระองค์นี้  ไม่น่าใช่พระศิวะ และอัลเลาะห์ ด้วย แต่พระพุทธเจ้าของเราและหลวงพ่อสด  พวกท่านไม่ยอมเปิดเผยว่า พระพุทธเจ้าภาคดำพระองค์นี้เป็นใคร แม้ว่าพระศิวะ และอัลเลาะห์ ก็เป็นพระพุทธเจ้าภาคดำเหมือนกัน  และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระพุทธเจ้าภาคดำพระองค์นี้ด้วย....จิตพระศิวะ และอัลเลาะห์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตพระพุทธเจ้าภาคดำปริศนาองค์นี้

นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าของเราและหลวงพ่อสด ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยคุณสมบัติที่แตกต่างกันของพระพุทธเจ้าภาคดำและภาคขาวด้วย  พวกท่านเพียงแต่บอกว่า พระพุทธเจ้าภาคดำบำเพ็ญสะสมบุญบารมีมามากกว่าท่าน...ประเภทห่างกันลิบกับพระพุทธเจ้าของเรา  

พวกท่านคงรอผม 
นายพลศักดิ์ มั๊ง  ท่านคงรู้ในจิตว่า ในอนาคตข้างหน้า ผมนายพลศักดิ์  ผู้ไม่ยอมรับกฎสวรรค์อันไร้สาระ เรื่องห้ามบอกความลับของฟ้ากับมนุษย์  ไอ้ Phonsak คนนี้  มันจะทำผิดกฎสวรรค์เป็นว่าเล่น  แล้วก็กล้าผิดกฎสวรรค์เรื่องนี้ด้วย  ทั้งๆที่มันโดนลงโทษให้ล้มละลายหมดตัวไปแล้ว 6 ครั้ง  มันก็ยังไม่เข็ด และไม่สน  กล้าชนกับฟ้าต่อไป (เพราะมันรู้ว่า  มันทำบุญทำทานมาเยอะมหาศาล  ยังไง..ยังไง  มันก็ไม่มีทางหมดตัวจริงหรอก  ต้องฟื้นมาได้ทุกครั้ง  พระเจ้าองค์ไหนก็ไม่กล้าฝืนกฎแห่งกรรม  ไม่ยอมให้วิบากของผลบุญของมัน ตอบสนองมัน)

เมื่อผม Phonsak ผู้ปากมากและกล้าท้าทายสวรรค์มาแล้ว ผมก็ขอเปิดเผยสุดยอดความลับของฟ้าเรื่องนี้มันเสียเลย.....

จิตของผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำได้  จะต้องทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมสูงสุด และทรงไว้ซึ่งคุณสมบัติอื่นๆของพระพุทธเจ้าด้วย

พระพุทธเจ้าของเราเป็นแค่พระพุทธเจ้าภาคขาว ที่ทรงไว้ซึ่งความเมตตากรุณา เหนือความยุติธรรมสูงสุด  = พระพุทธเจ้าภาคขาวยังลำเอียงอยู่  ยังปฏิบัติไม่ได้ถึงขนาดเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำ ที่ทรงความเที่ยงธรรมสูงสุด  เห็นได้ง่ายๆ  พระพุทธองค์คงไม่กล้าลงมือฆ่าคนบาปหยาบช้า  เช่น องคุลิมาลอย่างแน่นอนถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง  นอกจากนี้พระพุทธองค์ก็ไม่กล้าออกคำสั่งให้จับกุมเทวทัต  ทำให้เทวทัตต้องทำอนันตริยกรรมหลายครั้ง

เมื่อผมตอบไปว่า พระพุทธเจ้าภาคดำองค์นี้เป็นใคร  แล้วพวกคุณจะตะลึง

พระพุทธเจ้าภาคดำที่พระพุทธเจ้าของเราเจอ คือ กวนอิมภาคดำ (พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ภาคดำ) อันเป็นกายทิพย์บริสุทธิ์ หรือสัมโภคกาย หรือมหาโพธิสัตว์อรหันต์ หรือพระธยานิพุทธะที่ พระสัทธรรมวิทยาตถาคตนิรมิตออกมาแทนตัวเอง  เพราะพระองค์จะเข้านิพพาน  อันเป็นความว่างเปล่า ที่เรียกว่าพุทธภาวะเริ่มแรก หรือมหาสุญญตา อันเป็นจิตล้วนๆไม่มีกาย(ไม่มีธรรมกาย)  พระพุทธเจ้าองค์นี้จึงต้องมีตัวของพระองค์เองออกมาอีกองค์หนึ่ง  เพื่ออยู่ช่วยสรรพสัตว์ต่อไป

-  พูดง่ายๆ  กายทิพย์บริสุทธิ์(พระวิญญาณบริสุทธิ์, สัมโภคกาย)ของพระพุทธเจ้าที่มีนามว่า "พระสัทธรรมวิทยาตถาคต" คือ กวนอิมภาคดำ 
(พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ภาคดำ)

- ส่วนธรรมกาย หรือกายธรรม หรือกายนิพพานของพระสัทธรรมวิทยาตถาคตก็ยังอยู่ในพุทธภูมิต่อไป  

- ในขณะที ตัวจิตนิพพาน หรือนิพพานจิต ของพระสัทธรรมวิทยาตถาคตเข้านิพพานว่าง หรือมหาสุญญตา อันเป็นพุทธภาวะดั้งเดิมไปแล้ว

อนึ่ง... พึงตระหนักว่า  พระศิวะซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำเช่นกัน  และเป็นจิตบริสุทธิ์องค์เดียวกันกับกวนอิมภาคดำ  เพียงแต่แยกจิตและร่างทิพย์ออกไปอยู่ในอีกศาสนาหนึ่ง - ฮินดู  

พระศิวะยังแยกจิตและร่างทิพย์ออกไปเป็นพระพรหมและพระนารายณ์  ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าภาคขาว ที่เน้นทรงไว้ซึ่งความเมตตากรุณา ได้เลย  ทำไมล่ะ...เจ้าแม่กวนอิมภาคดำ ซึ่งดำรงอยู่ในศาสนาพุทธ จึงจะแยกจิตและร่างทิพย์ออกไปเป็นกวนอิมภาคขาว 2 องค์ คือ 
กวนอิมพันมือ และกวนอิมประทานพร ไม่ได้ล่ะ

คำถามอีกคำถามที่ยังค้างใจผมอยู่ คือ  ตอนที่พระพุทธเจ้าของเราไปเจอพระพุทธเจ้าภาคดำ(กวนอิมภาคดำ)  พระพุทธเจ้าของเราได้เสด็จไปขอคำแนะนำและขอคำปรึกษาจากพระพุทธเจ้าภาคขาวขั้นสูงสุด ที่บำเพ็ญบารมีมานานกว่าพระองค์  ท่านบรรลุธรรมในขั้นที่เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์  เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าภาคดำ(กวนอิมภาคดำ)  

เรื่องของพระพุทธเจ้าภาคดำ(กวนอิมภาคดำ)  ผมคัดมาจากเว็บหนึ่งนะครับ:  

พระพุทธเจ้าภาคมารนั้น พระกายดำเป็นนิล ใสเป็นแก้ว โผล่ขึ้นมาตรงหน้าพระพุทธองค์ แล้วถามพระองค์ว่า เมื่อท่านยังไม่เข้านิพพาน แล้วท่านจะรบกับเราหรือโปรดสัตว์?”


พระพุทธเจ้าเพิ่งสำเร็จโพธิญาณใหม่ ๆ  ไม่ทันจะทราบเรื่องราวอะไรนัก  ต้องเข้านิโรธสมาบัติ ๗ วัน ขึ้นไปทูลถามพระพุทธเจ้านิพพานเก่า ๆ ขึ้นไป จนถึงพระพุทธเจ้าที่เข้านิพพานทั้งกายมนุษย์ (นิพพานเป็น) ว่าจะรบดีหรือจะโปรดสัตว์ดี พระพุทธเจ้านิพพานแก่ ๆ บอกว่า โปรดสัตว์เถิด จะรบนั้นสู้เขาไม่ได้ เพราะบารมีท่านน้อยกว่าเขาแล้วก็ให้นัยมาว่า ให้ตั้งกติกากับเขาข้อเดียว เมื่อพระพุทธองค์ออกจากนิโรธแล้วก็บอกแก่มารว่า เราจะโปรดสัตว์แล้วมารก็ตั้งกติกา 4 ข้อ คือ

๑. ท่านอย่าไปแตะต้องโครงการของเขา (ของมาร) ที่เขาเป็นผู้ให้ทุกข์แก่สัตว์ไว้  อย่าไปพูด

๒. ท่านต้องห้ามสาวกอย่าให้แผงฤทธิ์เดช จนไปแตะต้องโครงการของเขา (เช่น พระเกษมทำ เลยโดนดี)

๓. ท่านจะเทศนาโปรดสัตว์ ท่านต้องเทศนาโทษว่า เป็นกรรมของสัตว์อย่าโทษว่าเขาทำ (มาร)

๔. เมื่อท่านอายุครอบ ๘๐ ปี ท่านต้องเข้านิพพาน


  นี่คือ กติกาที่พระพุทธเจ้าภาคดำ หรือ  พระพุทธเจ้าภาคมารเขาให้ไว้แก่พระพุทธองค์ รวม ๔ ข้
อ    

ตอบคำถามเลยดีกว่า  พระพุทธเจ้าภาคขาวที่บำเพ็ญมานานกว่าพระพุทธเจ้า  เข้านิพพานได้ด้วยกายเนื้อเป็นๆ เหมือนพระพุทธเจ้าภาคดำ และโคตมะพระพุทธเจ้าของเราได้ไปขอคำแนะนำปรึกษา หลังจากที่ท่านเจอพระพุทธเจ้าภาคดำ(กวนอิมภาคดำ)

 พระพุทธเจ้าภาคขาวพระองค์นั้น คือ 
พระอมิตา

สรุป

พระพุทธเจ้าภาคดำ ที่พระพุทธเจ้าของเราเจอ คือ กวนอิมภาคดำ (พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ภาคดำ) ที่เป็นกายทิพย์บริสุทธิ์(สัมโภคกาย)

พระพุทธเจ้าภาคขาว ที่พระพุทธเจ้าของเราเจอ คือ  พระอมิตาภพุทธเจ้า

เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น พระพุทธศาสนาเถรวาทบอกโดยอาศัย พระพุทธวจนะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในบาลี "
อัคคัญญสูตรแห่งทีฆนิกาย" ว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระกายเพียง 2 คือ ธรรมกาย และ นิรมานกาย(กายเนื้อมนุษย์) อย่างไรก็ตาม...

พระพุทธวจนะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 
"กายตรัยสูตรของมหายาน" ปรากฏว่า พระพุทธเจ้ามี 3 กาย เพราะ ตอนที่ พระอานนท์ทูลถามถึงเรื่องพระกายของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า ตถาคตมีกายเป็น 3 สภาวะคือตรีกาย คือ

นิรมาณกาย หมายถึง กายที่เปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพของสังขารในฐานะที่เป็นมนุษย์ พระศากยมุนีผู้ท่องเที่ยวอยู่บนโลก สั่งสอนธรรมแก่สาวกของพระองค์ และดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา

สัมโภคกาย หมายถึง กายแห่งความบันเทิง มีลักษณะเป็นทิพยภาวะรุ่งเรืองแผ่ซ่านปรากฏแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

ธรรมกาย หมายถึง กายแท้จริงอันเป็นสภาวธรรม ในฐานะเป็นสภาพสูงสุด หลักแห่งความรู้ ความกรุณา และความสมบูรณ์ตอนนี้พระพุทธเจ้า(ต่างๆ)มี 2 กาย คือ ธรรมกาย และนิพพาน ซึ่งเป็นจิตบริสุทธิ์ล้วน  ในขณะที่ มหายานบอกว่า  พระพุทธเจ้า(ต่างๆ)มี 2 กาย คือ ธรรมกาย และนิพพาน และยังมีอีก 1 กาย คือ สัมโภคกาย หรือกายทิพย์บริสุทธิ์  ที่เรียกว่า พระโพธิสัตว์ที่เป็นพระพุทธเจ้า

ส่วนพระนิพพาน  พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสบอกเอาไว้  ทิ้งไว้ให้ผู้บรรลุธรรมรู้เอาเองเมื่อเข้าถึง  ผมจึงบอกเลยว่า  
"นิพพานคือพระธรรม  หรือจิตบริสุทธิ์ล้วน ที่อยู่ในความว่าง หรือมหาสุญญตา หรือพุทธภาวะดั้งเดิมนั่นเอง"

ถาม

 ตามคัมภีร์มหายาน  และตามคำบอกเล่าของหลวงพ่อสด  1.(ปรากฏหลักฐานที่ใด?) พระพุทธเจ้าของเราไปเจอพระพุทธเจ้าภาคดำ  พระพุทธเจ้าภาคดำที่พระพุทธเจ้าเจอพระองค์นี้  ไม่น่าใช่พระศิวะ และอัลเลาะห์ ด้วย แต่พระพุทธเจ้าของเราและหลวงพ่อสด  พวกท่านไม่ยอมเปิดเผยว่า พระพุทธเจ้าภาคดำพระองค์นี้เป็นใคร  แม้ว่าพระศิวะ และอัลเลาะห์ ก็เป็นพระพุทธเจ้าภาคดำเหมือนกัน  และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระพุทธเจ้าภาคดำพระองค์นี้ด้วย....จิตพระศิวะ และอัลเลาะห์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตพระพุทธเจ้าภาคดำปริศนาองค์นี้

นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าของเราและหลวงพ่อสด ก็ยังไม่ยอมเปิดเผยคุณสมบัติที่แตกต่างกันของพระพุทธเจ้าภาคดำและภาคขาวด้วย  พวกท่านเพียงแต่บอกว่า พระพุทธเจ้าภาคดำบำเพ็ญสะสมบุญบารมีมามากกว่าท่าน...ประเภทห่างกันลิบกับพระพุทธเจ้าของเรา  
2.(ภาวะแห่งพระนิพพานเป็นอนิมิตะ คือไม่มีนิมิต เครื่องหมาย รูปร่างสัณฐาน สีสัน วรรณะแต่อย่างใดเลย ที่เรียกว่า อนิมิตนิพพาน)แล้วจะมีนิมิต มีภพ มีภูมิพระนิพพานได้อย่างไร อาจเป็นมติคือความเห็นนอกพระพุทธศาสนาเองเท่านั้น

พวกท่านคงรอผม นายพลศักดิ์ มั๊ง  ท่านคงรู้ในจิตว่า  ในอนาคตข้างหน้า ผมนายพลศักดิ์  ผู้ไม่ยอมรับกฎสวรรค์อันไร้สาระ  เรื่องห้ามบอกความลับของฟ้ากับมนุษย์   ไอ้Phonsakคนนี้  มันจะทำผิดกฎสวรรค์เป็นว่าเล่น  แล้วก็กล้าผิดกฎสวรรค์เรื่องนี้ด้วย  ทั้งๆที่มันโดนลงโทษให้ล้มละลายหมดตัวไปแล้ว 6 ครั้ง  มันก็ยังไม่เข็ด และไม่สน  กล้าชนกับฟ้าต่อไป ( เพราะมันรู้ว่า  มันทำบุญทำทานมาเยอะมหาศาล  ยังไง..ยังไง  มันก็ไม่มีทางหมดตัวจริงหรอก  ต้องฟื้นมาได้ทุกครั้ง  พระเจ้าองค์ไหนก็ไม่กล้าฝืนกฎแห่งกรรม  ไม่ยอมให้วิบากของผลบุญของมัน ตอบสนองมัน )


นอกจากจะได้รับวิบากทุกข์แล้ว อนาคตอาจเป็นนิตยมิจฉาทิฏฐิด้วยได้นะครับ

เมื่อผมPhonsakผู้ปากมากและกล้าท้าทายสวรรค์มาแล้ว  ผมก็ขอเปิดเผยสุดยอดความลับของฟ้าเรื่องนี้มันเสียเลย.....

จิตของผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำได้  จะต้องทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมสูงสุด และทรงไว้ซึ่งคุณสมบัติอื่นๆของพระพุทธเจ้าด้วย  

พระพุทธเจ้าของเราเป็นแค่พระพุทธเจ้าภาคขาว ที่ทรงไว้ซึ่งความเมตตากรุณา เหนือความยุติธรรมสูงสุด  = พระพุทธเจ้าภาคขาวยังลำเอียงอยู่  ยังปฏิบัติไม่ได้ถึงขนาดเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำ ที่ทรงความเที่ยงธรรมสูงสุด  เห็นได้ง่ายๆ  พระพุทธองค์คงไม่กล้าลงมือฆ่าคนบาปหยาบช้า  เช่น องคุลิมาลอย่างแน่นอนถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง  นอกจากนี้พระพุทธองค์ก็ไม่กล้าออกคำสั่งให้จับกุมเทวทัต  ทำให้เทวทัตต้องทำอนันตริยกรรมหลายครั้ง


3.ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่มีความลำเอียง ถึงแม้ว่าคนๆหนึ่งจะสรรเสริญมากปานใด ท่านก็มิได้มีใจชอบเพราะคำชม และคนๆหนึ่งจะด่าท่านๆก็มิได้มีใจเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าท่านไม่มีคติทั้งหลาย มีฉันทาคติเป็นต้นหรือคติต่างๆนะครับ

ในลัทธิศาสนาอื่นที่นอกจากเถรวาท มักมีความชื่นชมยินดีและนับถือพระโพธิสัตว์เป็นส่วนมาก พระพุทธเจ้ากลับกลายเป็นผู้ที่มีความสำคัญรองลงไป ซึ่งพระโพธิสัตว์ตั้งร้อยตั้งพันองค์ จะเทียบเท่าพระปัญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์เดียวก็ยังไม่ได้ ยิ่งจะเทียบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังไกลกันมากมาย พระพุทธเจ้าตรัสรู้เญยยธรรมทั้งหลาย มีบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญญาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตาม

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดในโลก ไม่มีผู้เปรียบปาน การคิดถึงคุณพระพุทธเจ้าเท่านั้นอย่างเดียว ก็ขึ้นชื่อว่าประเสริฐ มีวิบากอันเลิศ

ผมขอแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ ถ้าไม่ถูกใจผู้อ่านก็ขออภัยนะครับ เพราะ ปริยัติศาสนาของพระศาสดาขณะนี้มันน้อยไปมาก เมื่อความรู้ที่เกิดจากการฟัง การศึกษาไม่มาก สิ่งต่างๆภายนอกก็เข้ามาผสม จนกลายเป็นอย่างอื่นไปได้ ขอพระสัทธรรมจงกลับมาเถิด


1.(ปรากฏหลักฐานที่ใด?) 

ตอบ


เรื่องที่พระพุทธเจ้าของเราไปเจอพระพุทธเจ้าภาคดำ  และภาคขาว  โดยท่านไม่ได้ตรัสบอกว่า  

พระพุทธเจ้าภาคดำ ที่อยู่ในพุทธศาสนา  คือ กวนอิมภาคดำ  ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระศิวะและอัลเลาะห์  เพียงแต่แยกหน้าที่กันไปอยู่ในศาสนาที่ต่างกันเท่านั้น  กวนอิมภาคดำ  เป็นพระพุทธเจ้าภาคดำที่อยู่ในพุทธศาสนา  พระศิวะเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำที่อยู่ในศาสนาฮินดู  อัลเลาะห์เป็นพระพุทธเจ้าภาคดำที่อยู่ในศาสนาอิสลาม

พระพุทธเจ้าภาคขาว ที่อยู่ในพุทธศาสนา  คือ พระอมิตาพุทธเจ้า พระโคตมะพุทธเจ้าของเรา  ก็เป็นนิพพานจิตที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระอมิตา  เพียงแต่พระโคตมะพุทธเจ้าบำเพ็ญสะสมบุญบารมีมาน้อยกว่าพระอมิตาเท่านั้น

ปรากฏหลักฐานที่ "จิต" ครับ   ยิ่งจิตบริสุทธิ์มากเท่าใด  บำเพ็ญสะสมบุญบารมีมามากเท่าใด  ก็ยิ่งรู้เพิ่มและรู้ลึกมากขึ้นเท่านั้น  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ท่านเอาความรู้ขั้นสัพพัญญูมาจากไหนล่ะครับ  ก็มาจากจิตละเอียดบริสุทธิ์ชั้นในสุดที่สะสมบารมีมาในขั้นเป็นพระพุทธเจ้ายังไงล่ะครับ  คุณก็มีบุญบารมีสะสมมาไม่น้อย  จึงมีโอกาสอ่านข้อเขียนของผม  ที่พระพุทธเจ้าภาคดำเขาปิดบังไว้

พระพุทธเจ้าของเราและหลวงพ่อสดไม่ยอมเปิดเผย  แต่ผมPhonsakเปิดเผย เพราะพวกท่านไม่มีหน้าที่นี้  หน้าที่ชนมาร ปะทะกับมาร  เป็นหน้าที่ของผมครับ  พวกท่านก็ทำหน้าที่อื่นของท่านไป


2.(ภาวะแห่งพระนิพพานเป็นอนิมิตะ คือไม่มีนิมิต เครื่องหมาย รูปร่างสัณฐาน สีสัน วรรณะแต่อย่างใดเลย ที่เรียกว่า อนิมิตนิพพาน)แล้วจะมีนิมิต มีภพ มีภูมิพระนิพพานได้อย่างไร อาจเป็นมติคือความเห็นนอกพระพุทธศาสนาเองเท่านั้น

ตอบ


คุณแย้งได้ดีมากๆเลย  ขอชมด้วยใจจริง ถ้าไม่ใช่ผมPhonsakในตอนนี้คงจนมุมไปแล้ว หลบหน้าเข้าตูดตัวเองแน่นอน

พระนิพพานที่เป็นอนิมิตะ คือไม่มีนิมิต  ไม่มีรูปร่างสัณฐาน สีสัน วรรณะแต่อย่างใด  นั่นคือ นิพพานที่เป็นมหาสุญญตา  หรือ นิพพานที่พุทธภาวะเริ่มต้นก่อนการสร้างสรรพสิ่งที่เป็น 1. อสังขตธาตุ(นิพพานธาตุ)ที่เป็นอัตตา ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย และ 2. สังขตธาตุ  หรือโลก จักวาล และสรรพสัตว์ ที่เป็นอนัตตา

นิพพานอนิมิต เป็นจิตในมหาสุญญตาที่เป็นความว่างที่ไม่มีการคิดปรุงแต่ง  ดำรงอยู่ในความว่าง

ส่วนนิพพานที่เป็นนิมิตก็มี  แต่นิมิตนั้นเกิดจากจิตมหาบริสุทธิ์  ที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง  จิตสังขารที่ไม่บริสุทธิ์  มีความโลภ โกรธ หลง ยังคิดปรุงแต่งสร้างและอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก เปรตภูมิ นรกภูมิ ที่เป็นอนัตตา เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้

จิตมหาบริสุทธิ์  ที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง ก็คิดปรุงแต่ง สร้างและอาศัยอยู่ในโลก หรือเมือง หรือแดน ที่เป็นอมตะ คือ พุทธเกษตร และพุทธภูมิ  โดยที่กายของจิตมหาบริสุทธิ์ เป็นกายธรรม(ธรรมกาย)  และกายทิพย์สัมโภคกาย  เพราะกายธรรม(ธรรมกาย)ใช้เวลาส่วนใหญ่เข้านิโรธ  พูดคุยสังสรรค์กันไม่ค่อยสะดวก ทำภารกิจ ต่างๆก็ไม่ค่อยสะดวก  กายธรรม(ธรรมกาย)ของท่าน จึงต้องสร้าง(นิรมิต)กายทิพย์สัมโภคกาย(พระโพธิสัตว์อรหันต์) ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ต่างๆแทนตัวท่าน

ผมก็อธิบายไปแล้วว่า นิพพานสุกมี 3 อย่างคือ

1. นิพพานจิต อยู่ในความว่าง เป็นพุทธภาวะเริ่มต้น  นิพพานอนิมิต คือ นิพพานตัวนี้
2. ธรรมกาย เป็นกายธรรมอมตะ ที่ไม่ค่อยจะพูดคุยสังสรรค์กัน อยู่ในพุทธภูมิ
3. สัมโภคกาย หรือกายทิพย์อมตะเพื่อพูดคุยสังสรรค์กัน อยู่ในพุทธเกษตร

พระพุทธเจ้าของเรา สอนให้ละทิ้งกายและจิตสังขาร ที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย  เข้าไปเป็นกายอมตะ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือ อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย เป็นกายธรรมอมตะ ที่ไม่ค่อยจะพูดคุยสังสรรค์กัน และสัมโภคกาย ที่เป็นกายทิพย์อมตะพูดคุยสังสรรค์กันได้


3.ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่มีความลำเอียง ถึงแม้ว่าคนๆหนึ่งจะสรรเสริญมากปานใด ท่านก็มิได้มีใจชอบเพราะคำชม และคนๆหนึ่งจะด่าท่านๆก็มิได้มีใจเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าท่านไม่มีคติทั้งหลาย มีฉันทาคติเป็นต้นหรือคติต่างๆนะครับ

ในลัทธิศาสนาอื่นที่นอกจากเถรวาท มักมีความชื่นชมยินดีและนับถือพระโพธิสัตว์เป็นส่วนมาก พระพุทธเจ้ากลับกลายเป็นผู้ที่มีความสำคัญลองลงไป ซึ่งพระโพธิสัตว์ตั้ง ร้อยตั้งพันองค์ จะเทียบเท่าพระปัญญาของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์เดียวก็ยังไม่ได้ ยิ่งจะเทียบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังไกลกันมากมาย พระพุทธเจ้าตรัสรู้เญยยธรรมทั้งหลาย มีบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญญาธิกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตาม

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดในโลก ไม่มีผู้เปรียบปาน การคิดถึงคุณพระพุทธเจ้าเท่านั้นอย่างเดียว ก็ขึ้นชื่อว่าประเสริฐ มีวิบากอันเลิศ

ผมขอแสดงความคิดเห็นอย่างนี้ ถ้าไม่ถูกใจผู้อ่านก็ขออภัยนะครับ เพราะ ปริยัติศาสนาของพระศาสดาขณะนี้มันน้อยไปมาก เมื่อความรู้ที่เกิดจากการฟัง การศึกษาไม่มาก สิ่งต่างๆภายนอกก็เข้ามาผสม จนกลายเป็นอย่างอื่นไปได้ ขอพระสัทธรรมจงกลับมาเถิด


ตอบ


ความลำเอียง หรือไม่ลำเอียง เป็นมุมมองของแต่ละบุคคล  ผมขอถามคุณว่า  ใครที่ทำลายโลก ทำให้โลกแตกสลาย  ฆ่าทุกสรรพสิ่ง  โคตมะพระพุทธเจ้า  และพระพุทธเจ้าภาคขาวทำหรือกล้ากระทำหรือไม่....ไม่เลย  พระพุทธเจ้าภาคดำ เช่น พระศิวะ เป็นผู้กระทำทั้งสิ้น  เพราะพระพุทธเจ้าภาคดำทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมสูงสุด  เมื่อคนชั่วมันเต็มโลกแล้ว  พระพุทธเจ้าภาคดำก็ต้องทำลาย  ภาคขาวไม่กล้าทำหรอก  เพราะใจภาคขาวมีความลำเอียง  จะเมตตา กรุณา สงสาร  อย่างเดียว

ส่วนเรื่องอื่นเป็นเรื่องนอกประเด็น  และเป็นความเห็นส่วนตัวของคุณ  ผมไม่อยากถกเถียงในกระทู้นี้

นอกจากจะได้รับวิบากทุกข์แล้ว อนาคตอาจเป็นนิตยมิจฉาทิฏฐิด้วยได้นะครับ

ตอบ

ผู้ที่จะไปกล่าวหาคนอื่นว่า เป็นมิจฉาทิฎฐิ  แสดงว่าตนเองมีสัมมาทิฎฐิ  ผมยังไม่เห็นท่านแสดงอะไรที่เป็นสัมมาทิฎฐิเลย  มีแต่กล่าวคำต่อว่า เหยียดหยาม ใส่ร้ายป้ายสี  คนอื่น.....นี่คือ สัมมาทิฎฐิหรือครับ  แล้วท่านเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำหรืออย่างไร  จึงจะสามารถนำวิบากทุกข์มาให้ผมได้  ผมบรรลุธรรมจนทุกข์เกือบจะไม่มีแล้วครับ

ดร เขียน : ผมคิดว่าน่าจะเป็นว่าท่านที่ยังไม่เข้านิพพาน คือ
พระศาสดาศิวะ และมหาโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ
ยังคงช่วยสรรพสัตว์อยู่ น่าจะแบบนี้ป่าว เป็นบารมีเข้มเพราะ
ลูกศิษย์และสาวกมาก ทำให้กระแสท่านดังนิยมนับถือกันทั่ว

ตอบ

แต่เดิมพระศิวะอยู่ในพระนิพพานซึ่งเป็นจิตไม่มีกายอยู่แล้ว เหมือนคุณกับผมและทุกๆจิต พวกเราเคยเป็นจิตมหาบริสุทธิ์มาก่อนทั้งนั้น  ตอนหลังเมื่อพวกเราจำนวนเป็นอนันต์อยากออกมาดูภพภูมิอื่นที่ไม่ใช่พระนิพพานบ้าง  เพื่อจะเปรียบเทียบกับนิพพานจิตอันว่างเปล่าของเรา อันมีแต่สุขบริสุทธิ์อยู่   

พวกเราจึงไปเสนอพระศิวะ ผู้เป็นพระพุทธเจ้าภาคดำ  และพระอมิตาผู้เป็นพระพุทธเจ้าภาคขาว  ซึ่งเป็นจิตเดียวกันกับพวกเรา  และเป็นหนึ่งเดียวกันด้วย  ให้สร้างโลกและจักรวาล และภพภูมิต่างๆขึ้นมา  แล้วให้พวกเราลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างว่า  เราทั้งหมดคือพระพุทธเจ้า

เสร็จแล้ว  เราก็ให้พลังทั้งหมดคืนแก่องค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน  ให้ตั้งกฎเกณฑ์การเข้าไปอยู่ในแต่ละภพภูมิ  รวมถึงการเข้าไปเป็นพระพุทธเจ้าในแต่ละระดับด้วย  เพราะจิตมหาบริสุทธิ์รู้เท่ากันหมด มันไม่ค่อยถูกต้อง จะไปคุยกันทำไม

จิตบางส่วนไม่ขอออกไปทดลองอยู่ในภพภูมิอื่น องค์พระผู้เป็นเจ้าภาคดำและขาวซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน  จึงให้อยู่ในนิพพานที่เป็นกายธรรม และพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  โดยเป็นแค่พระอรหันต์เท่านั้น  ถ้าต้องการบรรลุสูงกว่านี้ก็ต้องปฏิบัติเอาเช่นกัน  เช่น 
เง็กเซียนฮ่องเต้  หลังจากท่านเป็นแค่พระอรหันต์ ที่เรียกว่า "บุคคลสุญญตา" ท่านก็ฝึกฝนต่อขั้น "ธรรมสุญญตา" จนบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า  พระธรรมหรือพระนิพพานหรือองค์พระผู้เป็นเจ้าภาคดำและขาวซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน  จึงให้ท่านทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีใน 3 ภพ ปกครองดูแล 31 ภพภูมิ  ที่เรียกว่า 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน

หลังจากนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าก็สร้างจักรวาลและสร้างสวรรค์นรกในมิติต่างๆในจักรวาลคู่ขนานขึ้นมา  ไม่ใช่สร้างแค่มิติเดียวนะครับ

พระศิวะพระพุทธเจ้าภาคดำ พระพรหม(ภาคขาว) พระนารายณ์(ภาคขาว)ท่านก็เสด็จออกมาจากนิพพานจิต  ลงมาเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์ ที่เรียกว่า อนาคามีชั้นพิเศษ  เพื่อรักษากฎเกณฑ์ต่างๆของจักรวาลที่ท่านสร้างขึ้น  การที่ต้องมีพระนารายณ์ พระพรหม และมหาเทพต่างๆ ก็เพื่อเป็นการแบ่งงานกันทำ

ส่วนเจ้าแม่กวนอิมภาคดำภาคขาว  ก็มาจากมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งชื่อ 
"พระสัทธรรมวิทยาตถาคต" ที่บรรลุธรรมมานานจนไม่รู้ว่ากัปไหนแล้ว  ท่านเข้าถึงธรรมสูงสุดที่สามารถดำรงเป็นพระพุทธเจ้าภาคดำ ที่ทรงความเป็นธรรมสูงสุดได้ พระสัทธรรมวิทยาต้องการเข้านิพพานจิตอันว่างเปล่า และมีสุขบริสุทธิ์อยู่  ท่านจึงนิรมิตตัวเองออกมา 1 องค์ เพื่อเป็นตัวแทนของท่าน คือ กวนอิมภาคดำ  ส่วนกวนอิมภาคขาวก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกวนอิมภาคดำ  แต่ต้องการธำรงไว้ซึ่งความเมตตากรุณาเหนือความยุติธรรมเท่านั้น  ไม่เหมือนกวนอิมภาคดำ ที่ธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมเหนือกว่าความเมตตากรุณา

กวนอิมภาคดำและภาคขาวเข้ามาประจำหน้าที่ส่งผลกรรมชั่วและกรรมดีในพระพุทธศาสนา
ส่วนพระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ ประจำหน้าที่ส่งผลกรรมชั่วและกรรมดีในศาสนาฮินดู
อัลเลาะห์ ยะโฮวา ประจำหน้าที่ส่งผลกรรมชั่วและกรรมดีในศาสนาอิสลาม คริสต์ ยิว เป็นต้น

กวนอิมภาคดำและภาคขาว  พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์  อัลเลาะห์และยะโฮวา  พวกท่านดำรงอยู่ช่วยงานใน 3 ภพ  แล้วพวกท่านก็ล้วนเป็นพระอรหันต์โพธิสัตว์ ที่เรียกว่า อนาคามีชั้นพิเศษ หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือกายทิพย์สัมโภคกาย  พวกท่านอาศัยอยู่ที่พุทธเกษตรที่พวกท่านนิรมิตขึ้นมา

พระพุทธเจ้าของเราท่านก็ออกจากนิพพาน(จิต)มานานแล้ว  เพื่อดำรงเป็นพระธรรมกายในพุทธภูมิ และดำรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือกายทิพย์สัมโภคกายในพุทธเกษตรศรีศากยมุนี

0 comments:

แสดงความคิดเห็น