A A

26 กุมภาพันธ์ 2558

Judgement Day, สงครามโลกครั้งที่ 3 เป็นสงครามนิวเคลียร์ล้างโลก

ขอเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกเต็มๆสักครั้งเถอะ
      
      แต่ก่อนอื่นขอตอบปัญหาที่ค้างคาใจกับคุณ oneness ก่อนนะครับ  เรื่องใหญ่ๆต้องใจเย็นๆ

      ตอบคุณ oneness :  นี่...คุณโง่จริงๆ  หรือแกล้งโง่กันนี่  

        "ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  และวาโยธาตุ  ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้  =   ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น =  ธรรมชาติที่รู้แจ้ง คือ อายตนะนิพพานนั่นเอง"
    
      คุณไม่เคยเรียนเรื่องสมการหรืออย่างไร?

     - บทหนึ่งอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องธรรมชาติที่รู้แจ้ง ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  และวาโยธาตุ  ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้  = ธาตุ(ดิน  น้ำ ไฟ ลม) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ นั่นเอง  
(เพราะปฐวีธาตุ = ดิน, อาโปธาตุ = น้ำ, เตโชธาตุ = ไฟ, วาโยธาตุ = ลม)

      - อีกบทหนึ่งอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องอายตนะนิพพาน  ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
    
      -  
(ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม) ย่อมไม่มีในอายตนะ(นิพพาน)นั้น =  (ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม)  ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้  ...สมการ 1
    
      เมื่อเราตัด  (ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม)ย่อมไม่มีใน.. และ  (ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ใน.. ออกไปจากทั้ง 2 ช้างจากสมการ 1  เราจะได้สิ่งนี้เหลืออยู่ในสมการเท่านั้น คือ
    
      
อายตนะนิพพาน = ธรรมชาตินี้  (ธรรมชาติที่รู้แจ้งที่พระพุทธเจ้าพูดถึง) 

สรุป

     "ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  และวาโยธาตุ  ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้  =   ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น =  ธรรมชาติที่รู้แจ้ง คือ อายตนะนิพพาน
    
       ปฐวีธาตุ  อาโปธาตุ  เตโชธาตุ  และวาโยธาตุ  ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้  =   ดิน  น้ำ  ไฟ  ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น  …..(1)
ตัดสิ่งที่เหมือนกันออกไป  ได้  ธรรมชาตินี้  =  อายตนะนั้น   …..(2)
    
ธรรมชาตินี้อยู่ในพระสูตรเรื่อง ธรรมชาติที่รู้แจ้ง  อายตนะนั้น  อยู่ในพระสูตรเรื่อง อายตนะนิพพาน
    
ด้วยเหตุนี้พระสูตรทั้ง 2 ชี้ว่า  ธรรมชาติที่รู้แจ้ง  คือ อายตนะนิพพาน
    
      หลานPhonsak ฉลาดเกินไป  หรือป้าonenessโง่เกินไปวะนี่  ป้าเรียนหนังสือแค่ ป. 4  หรืออย่างไรจึงไม่รู้เรื่องสมการ  วันก่อนป้าโม้  ก่อนออกไปจากเว็บนี้แบบรีบด่วนว่า  จะเข้าไปร่วมงานในวันพิพากษาโลก  ทำท่าทำทางขึงขังเหมือนกับว่าวันสิ้นโลกมาถึงแล้วจริงๆ  ทั้งๆที่ J
udgement Day  ฟ้าเลื่อนไปอีก 350-450 ปีแล้ว  ไม่ให้โลกวิบัติจากเหตุปัจจัยต่อเนื่องเหล่านี้

      - ความโกรธความโลภความหลง/ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์  ทำให้เกิดสภาวะอากาศร้อนของโลก  เพราะปล่อย  (Greenhouse gases) มากเกินโลกรับไม่ไหว

      - สภาวะอากาศร้อนของโลก   ทำลายสภาวะอากาศโลกผิดปกติอย่างมาก + ทำให้แกนโลกเอียง  

      - สภาวะอากาศโลกผิดปกติอย่างมาก + แกนโลกเอียง  ทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายอย่างรุนแรงและกะทันหัน

      - น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายอย่างรุนแรงและกะทันหัน ทำให้เกิดภัยพิบัติและภัยธรรมชาติล้างโลก  ทั้งโรคระบาด  อดอยาก  แย่งอาหารกันจนเกิดสงครามเข่นฆ่ากันตายทั่วโลก  ชาติมหาอำนาจที่มีระเบิดนิวเคลียร์  จึงถล่มประเทศมุสลิม  ที่ไม่มีทรัพยากรอาหารด้วยระเบิดนิวเคลียร์   

ฟ้าไม่เอาเหตุผลเหล่านี้มาทำลายโลกแล้ว  แต่
เลื่อน Judgement Day ไปถึงคำทำนายสุดท้ายของนอสตราดามุส ที่ทำนายแบบไม่ค่อยกล้าทำนาย  ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ตีความไม่ได้  หรือตีความกันผิดๆถูกๆ  คำทำนายวันล้างโลกนั้นคือ:
    
สงครามศาสนาระหว่างพวกที่นับถือพระคริสต์กับพวกที่antichrist(อิสลาม) = ศาสนาระหว่างสหรัฐ+พันธมิตรในยุโรป+ยิว vs กลุ่มประเทศมุสลิม   
    
     ในวัน Judgement Day จะมีผู้ได้ขึ้นสวรรค์ 3% หรือ 200 ล้านคน  จากวิญญาณมนุษย์ในโลกที่ตายห่าเกือบ 7,000 ล้านคน  วิญญาณมนุษย์ที่ตายห่า 6,500 – 7,000 ล้านคนนั้น  จะ 
1. ลงนรกหรืออบายภูมิ  2. ไปเกิดใหม่  3. เหลือยังไม่ตายในช่วงนั้นอีกไม่กี่ร้อยล้านคน 4 ส่วนใน 5 ส่วนของคนหลายร้อยล้านคนนั้น  สุดท้ายแม่งก็ต้องตายโหงจากความอดอยากและพิษสงของกัมมันตภาพรังสี  ที่แผ่กระจายไปทั่วโลก  และกระจายไปในพืชและสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยง

      อย่างไรก็ตาม  มนุษย์ในชมพูทวีป  โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศที่มีคนมุสลิมและชาติตะวันตกและยิวเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ  พื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่เป้าหมายที่ทั้ง 2 ฝ่าย(ฝ่ายที่นับถือพระคริสต์กับฝ่ายantichrist(อิสลาม) จะโจมตีด้วยนิวเคลียร์  กัมมันตภาพรังสีจึงเบาบางกว่าทุกส่วนในโลก

       
 คำถามคือ  "เหล่าวิญญาณทั้งหลาย จะไปเวียนว่ายตายเกิดใหม่ที่ไหนต่อ" 

         โลกมนุษย์ในจักรวาลคู่ขนานยังมีอีกเยอะ  นอกจากนี้ยังมี โลกมนุษย์ที่เหมือนสวรรค์ของพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้าอีกด้วย  ที่มนุษย์ตัวสูงเท่ากับตึก 10-20 ชั้น  ขนาดพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้ายังสูงถึง 88 ศอก  องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดา ได้สร้างโลกของพระศรีอารย์พุทธเจ้าไว้รอผู้ที่มีศีลธรรมสูงไว้แล้ว
      
    สรุป
    
      หลังปี พ.ศ. 3000 เหลือคนในโลกแค่ไม่ถึง 100 ล้านคน  ส่วนใหญ่เป็นพุทธ  นอกนั้นตายห่ากันหมดจากระเบิดนิวเคลียร์ล้างโลกที่ 2 ฝ่าย (คริสต์ vs antichist) ถล่มใส่ แบบไม่มีการยั้งมือ+พิษของกัมมันตภาพรังสี


      อ้อ! ในอีกหัวข้อหนึ่ง  คุณ Arapat ถามได้ดีมากๆ   ผมจึงขอนำคำถามนั้นมาลงด้วย
    
      คุณ Arapat ถาม :  ปี พ.ศ. 3000 กว่าๆ  โลกนี้ก็กลับบ้านเก่าแล้ว  
       ถ้าเช่นนั้น  ศาสนาของพระสมณโคดม ก็อยู่ไม่ถึง พ.ศ. 5000
 
   
      ตอบ  ถามได้ดีมากๆ  ปี พ.ศ. 3000 กว่าๆ  โลกนี้ก็กลับบ้านเก่าแล้ว.....ผมไม่ได้หมายถึงโลกจะแตกนะครับ  แต่พวกที่นับถือศาสนาอื่น  ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ที่กัมมันตภาพรังสีปกคลุมสูงมาก  พวกนี้รอดตายจากระเบิดนิวเคลียร์มาได้  ก็หนีการตายจากกัมมันตภาพรังสีไม่พ้น  พวกนี้อยู่ได้ถึงปี พ.ศ. 3000 กว่าๆเท่านั้น  กลับบ้านเก่าคือโลกของคนในศาสนาอื่น  เพราะพวกเขาต้องตายตามเพื่อนฝูงไป  เมื่อกลัวตาย.... จึงต้องตายทรมานแบบช้าๆ  
    
      แต่คนที่นับถือศาสนาพุทธจะอยู่ในพื้นที่ที่มีกัมมันตภาพรังสีน้อย  ไม่กี่ร้อยปีที่พิษของรังสีก็สลายไปแล้ว  และประชากรที่นั่นก็จะเหลืออยู่ไม่ถึง 100 ล้านคน  หาอาหารไม่ลำบากเท่าไรแล้ว  

     
ชมพูทวีป  อันเป็นที่ตั้งของศาสนาของพระสมณโคดม จึงอยู่ถึง พ.ศ. 5000 แน่นอน  ไม่เช่นนั้น  พระอรหันต์ ขื่อ  พระครูเทพโลกอุดร และพระอริยะวังโส  พวกท่านจะต่ออายุตัวเองมาถึง 2,000 กว่าปีทำไม  เพราะพวกท่านไปรับปากพระพุทธเจ้าแล้วว่า  จะรอส่งพุทธศาสนาให้ถึงวันสุดท้าย  อีกอย่างพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้าก็มีพันธะจะต้องมาเผาศพพระมหากัสสปะด้วยเตโชกสิณของท่าน  และต้องปรินิพพานพร้อมกับพระมหากัสสปะด้วย
  
      อนาคตเรื่องอื่นเปลี่ยนได้  แต่อนาคตเรื่องพระศรีอารย์พุทธเจ้ากับพระมหากัสสปะ  และการรับปากของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ยุคเก่าเหล่านั้น  เปลี่ยนไม่ได้

0 comments:

แสดงความคิดเห็น