ขอเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกเต็มๆสักครั้งเถอะ
ตอบ ถามได้ดีมากๆ ปี พ.ศ. 3000 กว่าๆ โลกนี้ก็กลับบ้านเก่าแล้ว.....ผมไม่ได้หมายถึงโลกจะแตกนะครับ แต่พวกที่นับถือศาสนาอื่น ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ที่กัมมันตภาพรังสีปกคลุมสูงมาก พวกนี้รอดตายจากระเบิดนิวเคลียร์มาได้ ก็หนีการตายจากกัมมันตภาพรังสีไม่พ้น พวกนี้อยู่ได้ถึงปี พ.ศ. 3000 กว่าๆเท่านั้น กลับบ้านเก่าคือโลกของคนในศาสนาอื่น เพราะพวกเขาต้องตายตามเพื่อนฝูงไป เมื่อกลัวตาย.... จึงต้องตายทรมานแบบช้าๆ
แต่คนที่นับถือศาสนาพุทธจะอยู่ในพื้นที่ที่มีกัมมันตภาพรังสีน้อย ไม่กี่ร้อยปีที่พิษของรังสีก็สลายไปแล้ว และประชากรที่นั่นก็จะเหลืออยู่ไม่ถึง 100 ล้านคน หาอาหารไม่ลำบากเท่าไรแล้ว
ชมพูทวีป อันเป็นที่ตั้งของศาสนาของพระสมณโคดม จึงอยู่ถึง พ.ศ. 5000 แน่นอน ไม่เช่นนั้น พระอรหันต์ ขื่อ พระครูเทพโลกอุดร และพระอริยะวังโส พวกท่านจะต่ออายุตัวเองมาถึง 2,000 กว่าปีทำไม เพราะพวกท่านไปรับปากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะรอส่งพุทธศาสนาให้ถึงวันสุดท้าย อีกอย่างพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้าก็มีพันธะจะต้องมาเผาศพพระมหากัสสปะด้วยเตโชกสิณของท่าน และต้องปรินิพพานพร้อมกับพระมหากัสสปะด้วย
อนาคตเรื่องอื่นเปลี่ยนได้ แต่อนาคตเรื่องพระศรีอารย์พุทธเจ้ากับพระมหากัสสปะ และการรับปากของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ยุคเก่าเหล่านั้น เปลี่ยนไม่ได้
แต่ก่อนอื่นขอตอบปัญหาที่ค้างคาใจกับคุณ oneness
ก่อนนะครับ เรื่องใหญ่ๆต้องใจเย็นๆ
ตอบคุณ oneness : นี่...คุณโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันนี่
"ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ = ดิน น้ำ ไฟ ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น = ธรรมชาติที่รู้แจ้ง คือ อายตนะนิพพานนั่นเอง"
คุณไม่เคยเรียนเรื่องสมการหรืออย่างไร?
- บทหนึ่งอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องธรรมชาติที่รู้แจ้ง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ = ธาตุ(ดิน น้ำ ไฟ ลม) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ นั่นเอง (เพราะปฐวีธาตุ = ดิน, อาโปธาตุ = น้ำ, เตโชธาตุ = ไฟ, วาโยธาตุ = ลม)
- อีกบทหนึ่งอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องอายตนะนิพพาน ดิน น้ำ ไฟ ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
- (ดิน น้ำ ไฟ ลม) ย่อมไม่มีในอายตนะ(นิพพาน)นั้น = (ดิน น้ำ ไฟ ลม) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ ...สมการ 1
เมื่อเราตัด (ดิน น้ำ ไฟ ลม)ย่อมไม่มีใน.. และ (ดิน น้ำ ไฟ ลม) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ใน.. ออกไปจากทั้ง 2 ช้างจากสมการ 1 เราจะได้สิ่งนี้เหลืออยู่ในสมการเท่านั้น คือ
อายตนะนิพพาน = ธรรมชาตินี้ (ธรรมชาติที่รู้แจ้งที่พระพุทธเจ้าพูดถึง)
สรุป
"ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ = ดิน น้ำ ไฟ ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น = ธรรมชาติที่รู้แจ้ง คือ อายตนะนิพพาน
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ = ดิน น้ำ ไฟ ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น …..(1)
ตัดสิ่งที่เหมือนกันออกไป ได้ ธรรมชาตินี้ = อายตนะนั้น …..(2)
ธรรมชาตินี้อยู่ในพระสูตรเรื่อง ธรรมชาติที่รู้แจ้ง อายตนะนั้น อยู่ในพระสูตรเรื่อง อายตนะนิพพาน
ด้วยเหตุนี้พระสูตรทั้ง 2 ชี้ว่า ธรรมชาติที่รู้แจ้ง คือ อายตนะนิพพาน
หลานPhonsak ฉลาดเกินไป หรือป้าonenessโง่เกินไปวะนี่ ป้าเรียนหนังสือแค่ ป. 4 หรืออย่างไรจึงไม่รู้เรื่องสมการ วันก่อนป้าโม้ ก่อนออกไปจากเว็บนี้แบบรีบด่วนว่า จะเข้าไปร่วมงานในวันพิพากษาโลก ทำท่าทำทางขึงขังเหมือนกับว่าวันสิ้นโลกมาถึงแล้วจริงๆ ทั้งๆที่ Judgement Day ฟ้าเลื่อนไปอีก 350-450 ปีแล้ว ไม่ให้โลกวิบัติจากเหตุปัจจัยต่อเนื่องเหล่านี้
- ความโกรธความโลภความหลง/ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ทำให้เกิดสภาวะอากาศร้อนของโลก เพราะปล่อย (Greenhouse gases) มากเกินโลกรับไม่ไหว
- สภาวะอากาศร้อนของโลก ทำลายสภาวะอากาศโลกผิดปกติอย่างมาก + ทำให้แกนโลกเอียง
- สภาวะอากาศโลกผิดปกติอย่างมาก + แกนโลกเอียง ทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายอย่างรุนแรงและกะทันหัน
- น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายอย่างรุนแรงและกะทันหัน ทำให้เกิดภัยพิบัติและภัยธรรมชาติล้างโลก ทั้งโรคระบาด อดอยาก แย่งอาหารกันจนเกิดสงครามเข่นฆ่ากันตายทั่วโลก ชาติมหาอำนาจที่มีระเบิดนิวเคลียร์ จึงถล่มประเทศมุสลิม ที่ไม่มีทรัพยากรอาหารด้วยระเบิดนิวเคลียร์
ฟ้าไม่เอาเหตุผลเหล่านี้มาทำลายโลกแล้ว แต่เลื่อน Judgement Day ไปถึงคำทำนายสุดท้ายของนอสตราดามุส ที่ทำนายแบบไม่ค่อยกล้าทำนาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ตีความไม่ได้ หรือตีความกันผิดๆถูกๆ คำทำนายวันล้างโลกนั้นคือ:
สงครามศาสนาระหว่างพวกที่นับถือพระคริสต์กับพวกที่antichrist(อิสลาม) = ศาสนาระหว่างสหรัฐ+พันธมิตรในยุโรป+ยิว vs กลุ่มประเทศมุสลิม
ในวัน Judgement Day จะมีผู้ได้ขึ้นสวรรค์ 3% หรือ 200 ล้านคน จากวิญญาณมนุษย์ในโลกที่ตายห่าเกือบ 7,000 ล้านคน วิญญาณมนุษย์ที่ตายห่า 6,500 – 7,000 ล้านคนนั้น จะ 1. ลงนรกหรืออบายภูมิ 2. ไปเกิดใหม่ 3. เหลือยังไม่ตายในช่วงนั้นอีกไม่กี่ร้อยล้านคน 4 ส่วนใน 5 ส่วนของคนหลายร้อยล้านคนนั้น สุดท้ายแม่งก็ต้องตายโหงจากความอดอยากและพิษสงของกัมมันตภาพรังสี ที่แผ่กระจายไปทั่วโลก และกระจายไปในพืชและสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยง
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ในชมพูทวีป โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศที่มีคนมุสลิมและชาติตะวันตกและยิวเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ พื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่เป้าหมายที่ทั้ง 2 ฝ่าย(ฝ่ายที่นับถือพระคริสต์กับฝ่ายantichrist(อิสลาม) จะโจมตีด้วยนิวเคลียร์ กัมมันตภาพรังสีจึงเบาบางกว่าทุกส่วนในโลก
คำถามคือ "เหล่าวิญญาณทั้งหลาย จะไปเวียนว่ายตายเกิดใหม่ที่ไหนต่อ"
โลกมนุษย์ในจักรวาลคู่ขนานยังมีอีกเยอะ นอกจากนี้ยังมี โลกมนุษย์ที่เหมือนสวรรค์ของพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้าอีกด้วย ที่มนุษย์ตัวสูงเท่ากับตึก 10-20 ชั้น ขนาดพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้ายังสูงถึง 88 ศอก องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดา ได้สร้างโลกของพระศรีอารย์พุทธเจ้าไว้รอผู้ที่มีศีลธรรมสูงไว้แล้ว
สรุป
หลังปี พ.ศ. 3000 เหลือคนในโลกแค่ไม่ถึง 100 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นพุทธ นอกนั้นตายห่ากันหมดจากระเบิดนิวเคลียร์ล้างโลกที่ 2 ฝ่าย (คริสต์ vs antichist) ถล่มใส่ แบบไม่มีการยั้งมือ+พิษของกัมมันตภาพรังสี
ตอบคุณ oneness : นี่...คุณโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันนี่
"ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ = ดิน น้ำ ไฟ ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น = ธรรมชาติที่รู้แจ้ง คือ อายตนะนิพพานนั่นเอง"
คุณไม่เคยเรียนเรื่องสมการหรืออย่างไร?
- บทหนึ่งอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องธรรมชาติที่รู้แจ้ง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ = ธาตุ(ดิน น้ำ ไฟ ลม) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ นั่นเอง (เพราะปฐวีธาตุ = ดิน, อาโปธาตุ = น้ำ, เตโชธาตุ = ไฟ, วาโยธาตุ = ลม)
- อีกบทหนึ่งอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องอายตนะนิพพาน ดิน น้ำ ไฟ ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
- (ดิน น้ำ ไฟ ลม) ย่อมไม่มีในอายตนะ(นิพพาน)นั้น = (ดิน น้ำ ไฟ ลม) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ ...สมการ 1
เมื่อเราตัด (ดิน น้ำ ไฟ ลม)ย่อมไม่มีใน.. และ (ดิน น้ำ ไฟ ลม) ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ใน.. ออกไปจากทั้ง 2 ช้างจากสมการ 1 เราจะได้สิ่งนี้เหลืออยู่ในสมการเท่านั้น คือ
อายตนะนิพพาน = ธรรมชาตินี้ (ธรรมชาติที่รู้แจ้งที่พระพุทธเจ้าพูดถึง)
สรุป
"ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ = ดิน น้ำ ไฟ ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น = ธรรมชาติที่รู้แจ้ง คือ อายตนะนิพพาน
ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้ = ดิน น้ำ ไฟ ลม ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น …..(1)
ตัดสิ่งที่เหมือนกันออกไป ได้ ธรรมชาตินี้ = อายตนะนั้น …..(2)
ธรรมชาตินี้อยู่ในพระสูตรเรื่อง ธรรมชาติที่รู้แจ้ง อายตนะนั้น อยู่ในพระสูตรเรื่อง อายตนะนิพพาน
ด้วยเหตุนี้พระสูตรทั้ง 2 ชี้ว่า ธรรมชาติที่รู้แจ้ง คือ อายตนะนิพพาน
หลานPhonsak ฉลาดเกินไป หรือป้าonenessโง่เกินไปวะนี่ ป้าเรียนหนังสือแค่ ป. 4 หรืออย่างไรจึงไม่รู้เรื่องสมการ วันก่อนป้าโม้ ก่อนออกไปจากเว็บนี้แบบรีบด่วนว่า จะเข้าไปร่วมงานในวันพิพากษาโลก ทำท่าทำทางขึงขังเหมือนกับว่าวันสิ้นโลกมาถึงแล้วจริงๆ ทั้งๆที่ Judgement Day ฟ้าเลื่อนไปอีก 350-450 ปีแล้ว ไม่ให้โลกวิบัติจากเหตุปัจจัยต่อเนื่องเหล่านี้
- ความโกรธความโลภความหลง/ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ทำให้เกิดสภาวะอากาศร้อนของโลก เพราะปล่อย (Greenhouse gases) มากเกินโลกรับไม่ไหว
- สภาวะอากาศร้อนของโลก ทำลายสภาวะอากาศโลกผิดปกติอย่างมาก + ทำให้แกนโลกเอียง
- สภาวะอากาศโลกผิดปกติอย่างมาก + แกนโลกเอียง ทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายอย่างรุนแรงและกะทันหัน
- น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายอย่างรุนแรงและกะทันหัน ทำให้เกิดภัยพิบัติและภัยธรรมชาติล้างโลก ทั้งโรคระบาด อดอยาก แย่งอาหารกันจนเกิดสงครามเข่นฆ่ากันตายทั่วโลก ชาติมหาอำนาจที่มีระเบิดนิวเคลียร์ จึงถล่มประเทศมุสลิม ที่ไม่มีทรัพยากรอาหารด้วยระเบิดนิวเคลียร์
ฟ้าไม่เอาเหตุผลเหล่านี้มาทำลายโลกแล้ว แต่เลื่อน Judgement Day ไปถึงคำทำนายสุดท้ายของนอสตราดามุส ที่ทำนายแบบไม่ค่อยกล้าทำนาย ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ตีความไม่ได้ หรือตีความกันผิดๆถูกๆ คำทำนายวันล้างโลกนั้นคือ:
สงครามศาสนาระหว่างพวกที่นับถือพระคริสต์กับพวกที่antichrist(อิสลาม) = ศาสนาระหว่างสหรัฐ+พันธมิตรในยุโรป+ยิว vs กลุ่มประเทศมุสลิม
ในวัน Judgement Day จะมีผู้ได้ขึ้นสวรรค์ 3% หรือ 200 ล้านคน จากวิญญาณมนุษย์ในโลกที่ตายห่าเกือบ 7,000 ล้านคน วิญญาณมนุษย์ที่ตายห่า 6,500 – 7,000 ล้านคนนั้น จะ 1. ลงนรกหรืออบายภูมิ 2. ไปเกิดใหม่ 3. เหลือยังไม่ตายในช่วงนั้นอีกไม่กี่ร้อยล้านคน 4 ส่วนใน 5 ส่วนของคนหลายร้อยล้านคนนั้น สุดท้ายแม่งก็ต้องตายโหงจากความอดอยากและพิษสงของกัมมันตภาพรังสี ที่แผ่กระจายไปทั่วโลก และกระจายไปในพืชและสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยง
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ในชมพูทวีป โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศที่มีคนมุสลิมและชาติตะวันตกและยิวเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ พื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่เป้าหมายที่ทั้ง 2 ฝ่าย(ฝ่ายที่นับถือพระคริสต์กับฝ่ายantichrist(อิสลาม) จะโจมตีด้วยนิวเคลียร์ กัมมันตภาพรังสีจึงเบาบางกว่าทุกส่วนในโลก
คำถามคือ "เหล่าวิญญาณทั้งหลาย จะไปเวียนว่ายตายเกิดใหม่ที่ไหนต่อ"
โลกมนุษย์ในจักรวาลคู่ขนานยังมีอีกเยอะ นอกจากนี้ยังมี โลกมนุษย์ที่เหมือนสวรรค์ของพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้าอีกด้วย ที่มนุษย์ตัวสูงเท่ากับตึก 10-20 ชั้น ขนาดพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้ายังสูงถึง 88 ศอก องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดา ได้สร้างโลกของพระศรีอารย์พุทธเจ้าไว้รอผู้ที่มีศีลธรรมสูงไว้แล้ว
สรุป
หลังปี พ.ศ. 3000 เหลือคนในโลกแค่ไม่ถึง 100 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นพุทธ นอกนั้นตายห่ากันหมดจากระเบิดนิวเคลียร์ล้างโลกที่ 2 ฝ่าย (คริสต์ vs antichist) ถล่มใส่ แบบไม่มีการยั้งมือ+พิษของกัมมันตภาพรังสี
อ้อ! ในอีกหัวข้อหนึ่ง คุณ Arapat
ถามได้ดีมากๆ ผมจึงขอนำคำถามนั้นมาลงด้วย
คุณ Arapat ถาม : ปี พ.ศ. 3000 กว่าๆ โลกนี้ก็กลับบ้านเก่าแล้ว
ถ้าเช่นนั้น ศาสนาของพระสมณโคดม ก็อยู่ไม่ถึง พ.ศ. 5000
คุณ Arapat ถาม : ปี พ.ศ. 3000 กว่าๆ โลกนี้ก็กลับบ้านเก่าแล้ว
ถ้าเช่นนั้น ศาสนาของพระสมณโคดม ก็อยู่ไม่ถึง พ.ศ. 5000
ตอบ ถามได้ดีมากๆ ปี พ.ศ. 3000 กว่าๆ โลกนี้ก็กลับบ้านเก่าแล้ว.....ผมไม่ได้หมายถึงโลกจะแตกนะครับ แต่พวกที่นับถือศาสนาอื่น ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ที่กัมมันตภาพรังสีปกคลุมสูงมาก พวกนี้รอดตายจากระเบิดนิวเคลียร์มาได้ ก็หนีการตายจากกัมมันตภาพรังสีไม่พ้น พวกนี้อยู่ได้ถึงปี พ.ศ. 3000 กว่าๆเท่านั้น กลับบ้านเก่าคือโลกของคนในศาสนาอื่น เพราะพวกเขาต้องตายตามเพื่อนฝูงไป เมื่อกลัวตาย.... จึงต้องตายทรมานแบบช้าๆ
แต่คนที่นับถือศาสนาพุทธจะอยู่ในพื้นที่ที่มีกัมมันตภาพรังสีน้อย ไม่กี่ร้อยปีที่พิษของรังสีก็สลายไปแล้ว และประชากรที่นั่นก็จะเหลืออยู่ไม่ถึง 100 ล้านคน หาอาหารไม่ลำบากเท่าไรแล้ว
ชมพูทวีป อันเป็นที่ตั้งของศาสนาของพระสมณโคดม จึงอยู่ถึง พ.ศ. 5000 แน่นอน ไม่เช่นนั้น พระอรหันต์ ขื่อ พระครูเทพโลกอุดร และพระอริยะวังโส พวกท่านจะต่ออายุตัวเองมาถึง 2,000 กว่าปีทำไม เพราะพวกท่านไปรับปากพระพุทธเจ้าแล้วว่า จะรอส่งพุทธศาสนาให้ถึงวันสุดท้าย อีกอย่างพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้าก็มีพันธะจะต้องมาเผาศพพระมหากัสสปะด้วยเตโชกสิณของท่าน และต้องปรินิพพานพร้อมกับพระมหากัสสปะด้วย
อนาคตเรื่องอื่นเปลี่ยนได้ แต่อนาคตเรื่องพระศรีอารย์พุทธเจ้ากับพระมหากัสสปะ และการรับปากของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ยุคเก่าเหล่านั้น เปลี่ยนไม่ได้
0 comments:
แสดงความคิดเห็น