A A

26 กุมภาพันธ์ 2558

อธิคม และ ธาตุนิพพานของพระพุทธเจ้า...อันตรธาน ไม่ได้หมายความว่าหายไปจริงๆ

dhammajakยกพระสูตรนี้มา:

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 167

                                 การอันตรธานของพระศาสนา

          1. เป็นการอันตรธานของอธิคม คือ  เริ่มเสื่อมตั้งแต่ ปฏิสัมภิทาก่อน  แล้วหมดผู้ที่มีอภิญญา  ต่อมาจึงถึงการเสื่อมของ วิชชา 3  จนกระทั่งไม่มีพระอรหันต์  พระอนาคามี  พระสกทาทาคามี  เหลือแต่พระโสดาบัน  และเมื่อพระโสดาบันองค์สุดท้ายสิ้นชีวิต  ท่านเรียกว่าอันตรธานแห่งอธิคม.......................


           5. ยุคสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะอยู่ในโลกนี้  ท่านเรียกว่า  ธาตุอันตรธานท่านอธิบายว่า  เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ที่โพธิบัลลังก์  เรียกว่า  กิเลสปรินิพพาน  เมื่อพระพุทธองค์ดับขันธ์ที่  กรุงกุสินารา  ท่านเรียกว่า  ขันธ์ปรินิพพาน  ต่อมาเมื่อศาสนาเสื่อมลงจนใกล้ครบ 5,000 ปีหลังจากนั้น  ธาตุทั้งหลายที่ไม่ได้รับการสักการะ ด้วยกำลังอธิษฐานของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ก็เคลื่อนย้ายไปอยู่ในที่ ๆ มีการสักการะแล้วไปรวมอยู่ที่โพธิบัลลังก์แห่งเดียว  จากนั้นจะแสดงปาฏิหาริย์  เรียกว่า  ธาตุปรินิพพาน  มีเทวดาในหมื่นจักรวาลมาประชุมกันหมด  มีเปลวเพลิงที่สรีรธาตุ  พลุ่งไปถึงพรหมโลก  หมู่เทพยดาพากันมาสักการะพระสรีรธาตุก็อันตรธานไป  เป็นอันสิ้นยุคพระศาสนา

ตอบ

เห็นไหมล่ะบอกแล้วว่า  คุณไม่มีทางตีความเรื่องธาตุอันตรธานได้  แล้วดันมั่ว

dhammajak ถามแบบแย้งว่า

เมื่อสิ้นพระศาสนา พระสมณะโคดม
พระธาตุ พระอรหันต์ธาตุ พระศาสนา ปริยัติ
อันตรธาน หมดไปเกลี้ยง แล้วครับ

ผมเลยตอบว่า

ถ้ายกพระสูตรนั้นมา  ผมจะตอบให้  ถ้าไม่ยกมา  แล้วคุณไปตีความมั่วๆจากหัวสมองขี้เลื่อยของคุณ  ผมคงไม่ตอบให้  

แค่ข้อเขียนของผมว่า  จิตมีดวงเดียว คือ จิตสังขารที่ท่องเที่ยวไป  แต่จริงๆจิตมี 2 ดวง มี นิพพานจิตด้วย  คุณยังไปมั่วบอกว่า  ผมบอกว่าจิตมีดวงเดียว  คราวนี้จะมั่วว่าพระพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นอย่างนี้อีก  ผมคงไม่ตอบคุณ
.............................................

แต่คราวนี้คุณยกพระสูตรเรื่องการอันตรธานของพระศาสนามา  ผมจึงตอบคุณ  แต่ก่อนตอบ  ผมขอสอนคุณก่อน  จำคำสอนของผมไว้ให้ดีนะ  

ตัวเองไม่มีความรู้ทางศาสนา ไม่ปฏิบัติเพื่อรู้  แล้วยังไปกวนบาทาผู้เข้ามาหาความรู้ทางธรรมในเว็บศาสนาอีก  พอผู้รู้ทางธรรมะจริงๆเข้ามา  คุณถือว่าเป็นทีมงานผู้ดูแลเว็บ  แทนที่จะขอความรู้ทางธรรมจากเขา  แต่คุณกลับใช้อำนาจของคุณไปในทางที่ถูกต้อง  ไล่ผู้มีความรู้ทางธรรมะคนนั้นออกไปเหมือนหมูเหมือนหมา  ด้วยเหตุนี้  คุณเลยต้องรับกรรมด้วยการสงสัยไปเรื่อยๆ  นี่ดีว่าเป็นผมPhonsakนะ   ผมจึงตอบให้คุณ  แต่คุณอาจจะถูกกรรมปิดบังจิตไม่ให้เข้าใจก็ได้นะ

อ้าว!  คราวนี้คุณนั่งพนมมือนะ  แล้วฟังพระธรรมข้อนี้:

1. อธิคม คือ ความสำเร็จในสิ่งที่ทำ อธิคมของพระพุทธเจ้า คือ ได้อภิญญา 5 แสดงฤทธิ์อภิญญาต่างๆได้  แล้วท่านยังได้อภิญญา 6 รวมทั้งได้บุญบารมีที่เป็นพระพุทธเจ้าที่เป็นตถาคตด้วย

2.  การบรรลุอรหันต์ คือ ได้ธรรมกาย หรือกายธรรม  แทนกายมนุษย์ กายธรรมนี้คือ อายตนะนิพพาน  พระพุทธองค์ไม่ได้สูญหายไปไหน  เพียงแต่ผู้ที่อยู่ใน 31 ภพภูมิมองไม่เห็นพระพุทธองค์เท่านั้นเอง  ผู้ที่จะเห็น พูดคุยกับท่านได้  ต้องเป็นผู้บรรลุธรรมเท่านั้น  "ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเรา(ตถาคต)  ผู้ใดเห็นเรา  ผู้นั้นเห็นธรรม"

3.  นอกจากคำว่านิพพานแล้ว  ยังมีคำว่า ปรินิพพาน ด้วย  พระปริยัติส่วนใหญ่จะนึกว่า 2 คำนี้เหมือนกัน  โดยนิพพานใช้กับสาวก  ปรินิพพานใช้กับพระพุทธเจ้า  แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่   นิพพานหมายถึงได้อายตนะนิพพาน คือธรรมกาย  แล้วอายตนะนิพพานนั้นไปนิรมิตสร้างกายทิพย์อมตะ หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์อมตะ  ที่มหายานเรียกว่า "สัมโภคกาย" หรือพระโพธิสัตว์อรหันต์ขึ้นมา  เพราะธรรมกายใช้เลาส่วนใหญ่นั่งสมาธิขั้นนิโรธ  ท่านจึงต้องนิรมิตตัวเองออกมาอีกตัว  เพื่ออยู่ช่วยสรรพชีวิตใน 31 ภพภูมิ

อธิคมของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ต่างๆที่ใครต่อใครเจอพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ต่างๆ  ก็คือเจออธิคมที่มหายานเรียกว่า "สัมโภคกาย"  พระสังฆราชเรียกว่า "พุทธนิมิต"  ศาสนาอื่นเรียกว่า "พระวิญญาณบริสุทธิ์"

พระยะโฮวาที่พระเยซูเจอ  ก็คือ "สัมโภคกาย/พระวิญญาณบริสุทธิ์"  โจนออฟอาร์กและนักบุญชาวคริสต์เจอพระเยซู ก็คือเจอ "สัมโภคกาย/พระวิญญาณบริสุทธิ์" ของพระเยซู

นักบวชในศาสนาพราหมณ์ที่เจอพระศิวะ  ก็คือเจอ "สัมโภคกาย/พระวิญญาณบริสุทธิ์" ของพระศิวะ

4. ธาตุอันตรธาน = ธาตุนิพพาน คือพระบรมสารีริกธาตุสูญสิ้นไปจากโลก ซึ่งจักเกิดขึ้นในอนาคต (จากหนังสือ พุทธประวัติตามแนวปฐมสมโพธิ ของพระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์ ปริเฉทที่ ๒๙ )  (ผมต่อให้ไปเลย  เพราะผมเป็นผู้รู้สูงสุดในยุคนี้)  แต่พระบรมสารีริกธาตุจักเกิดขึ้นอีกในอนาคต  เมื่อมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้น  ซึ่งองค์ต่อไปคือ พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า

พระสูตรที่คุณยกมา ท่อนสุดท้าย 
... พระสรีรธาตุก็อันตรธานไป  เป็นอันสิ้นยุคพระศาสนา และพุทธศาสนามันสิ้นไปแล้วหรืออย่างไร...ไอ้เบื้อก  บ้องตื้นเหลือเกิน

สรุป

อธิคมของพระพุทธเจ้า คือ สัมโภคกาย พุทธนิมิต พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
ธาตุอันตรธาน  คือ พระบรมสารีริกธาตุสูญสิ้นไปจากโลกเมื่อสิ้นยุคพระศาสนา 5,000 ปี  แต่พระบรมสารีริกธาตุจักเกิดอีกขึ้นในอนาคต เมื่อมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้น  ซึ่งองค์ต่อไปคือ พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า

อ้างถึง

..ขยายคำว่า"อธิคม"ให้ชัดเจนหน่อยสิ..

 choksila58 โพสต์

อธิคม = คุณวุฒิ  ก็เหมือนคุณจบปริญญาเอก  คุณก็มีอธิคมดร. = คุณวุฒิดร.

พระพุทธเจ้าสำเร็จทุกฌาน  พระพุทธเจ้าจึงมีอธิคม มีอภิญญาสูงสุด  แต่พระพุทธเจ้าสามารถดับกิเลสตัณหาได้หมดสิ้นด้วย  จึงได้กายใหม่หลังจากตายแล้ว คือธรรมกาย  หรือกายธรรม แทนกายมนุษย์

ธรรมกายตัวนี้คุณพุทธะ หรือพระเจ้า ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บ ไม่มีการตาย = เป็นอมตะ  จึงเรียกว่า "อัตตา"

พระพุทธเจ้าพูดชัดๆว่า 
"ธรรมกายอันเป็นอัตตา" ยังจะบ่ายเบี่ยงอะไรอีกล่ะ

พระพุทธเจ้าพูดชัดๆอย่างนี้แล้วในพระสุตตันตปิฎกเล่ม 74 หน้าที่ 571 ว่า  
"....หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา"

สัตว์นรก ครูบาอาจารย์คนไหนในมหามกุฏราชวิทยาลัย  กล้าตีความเพิ่มคำว่า 
สัสสตทิฎฐิที่เห็นผิดว่า  บารมี ย่อมทำลาย สัสสตทิฏฐิที่เห็นผิดว่า ธรรมกาย เป็น อัตตา  พวกปริยัติปัญญาซื่อบื้อทั้งหลาย  ไม่ปฏิบัติจึงไม่ได้ปัญญาทางพุทธศาสนา  ไปตีความด้วยสมองขี้เลื่อยของตน  พวกนี้จึงเป็นผู้ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นสัทธรรมปฏิรูป(ของปลอม)อยู่จนถึงทุกวันนี้ยังไงล่ะ

แล้วพวกปริยัติเหล่านี้  ก็ยังไปบอกว่า  พระพุทธเจ้ามีเพียง 2 กาย ไม่ใช่ 3 กาย  ทั้งๆที่ในกายตรัยสูตรของมหายาน  พระพุทธเจ้าตรัสชัดๆว่าพระองค์มี 3 กาย 1. กายขันธ์ 5  2.ธรรมกาย  3.สัมโภคกาย หรือกายทิพย์อมตะ ที่ธรรมกายนิรมิตออกมา  พระอรหันต์และพระอริยะเจ้าต่างๆ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงพ่อคง หลวงพ่อสด หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ฯลฯ รวมทั้งผม ล้วนพบสัมโภคกายของพระพุทธเจ้ามาแล้วทั้งนั้น  

เพื่อไม่ให้พวกปริยัติเสียหน้ามากเกินไปว่า หลักตรีกายของพระพุทธเจ้าที่มหายานเขาสอน ถูกต้อง  แต่หลัก 2 กายที่พวกพระปริยัติของเถรวาทสอนนั้นผิด  สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช จึงใช้คำเรียกสัมโภคกายเป็น 
"พุทธนิมิต"แทน

senson (ผม) อ้างว่า

อธิคมของพระพุทธเจ้า คือ สัมโภคกาย พุทธนิมิต พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า  
.................

พระนายโต้ว่า:

( ข้อความนี้  ไม่มีอยู่จริง  ใน  พระไตรปิฎก  อรรถกถา เถรวาท
แต่ ๆๆๆๆๆๆๆ  เป็น  สัทธรรมปฏิรูป ของ  นิกายมหายาน  )
ใน เถรวาท  พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า
อธิคม คือ  สัมโภคกาย
นาย senson
กำลังทำ  ศาสนาของ พระพุทธเจ้า
ให้เป็น
สัสสตทิฎฐิ  โดยไม่รู้ตัว 

ตอบ

อย่างนั้นพระพุทธเจ้าของเราก็โกหกน่ะซิ  เพราะสอนเรื่องตรีกาย กายที่นอกเหนือจากธรรมกายและกายขันธ์ 5 คือ สัมโภคกาย ให้กับบรรดาสาวกฝ่ายมหาสังฆิกะ  "กายตรัยสูตร" นั่นของเก๊หรืออย่างไร  

สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก  พระสูตรต่างๆของมหายาน  พระอรหันต์ 500 รูปรับรองนะครับ  แล้วสังคายนาครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน ใครรับรองมีแต่พวกปริยัติ ที่ไม่ค่อยปฏิบัติเท่านั้นรับรอง  

พวกมันเขี่ยพระอรหันต์ที่มีอภิญญาครบทิ้งไปหมด  แล้วใช้แก๊งค์หัวโล้นห่มผ้าเหลือง ซึ่งเป็นพวกมากลากพระไตรปิฎกไปตามทางที่พวกมันต้องการ  นอกจากนี้ พวกมันยังตัดเรื่องที่พวกมันไม่เข้าใจทิ้งไปหมด  แม้แต่เรื่องพระโมคคัลลานะหลงจักรวาลไปเจอพระอมิตาภพุทธเจ้าในแดนสุขาวดี  พวกมันก็ตัดออกไป  ไม่ให้เหลืออยู่ในพระไตรปิฎกของเถรวาท

ผมน่ะมีสัมมาทิฎฐิ 100%  แต่ไอ้พวกปริยัติ  ที่ปฏิบัติไม่ได้เรื่องน่ะซิ  พวกมันเป็นเครื่องมือของพญามาร  ช่วยกันยำใหญ่พระพุทธศาสนาด้วยสัสสตทิฏฐิของพวกมัน  แล้วก็ไปด่าว่าพระอริยะเจ้าต่างๆที่พบสัมโภคกายของพระพุทธเจ้าว่า จิตหลอนบ้าง วิปัสสนูกิเลสบ้าง

dhammajakโต้ต่อว่า :  อธิคม อันตรธาน หมายความว่า
พระพุทธเจ้าท่านหมดบุญ สิ้นบุญแล้ว บุญอันตราธน ไปแล้วนั่นเอง

ตอบ

ผมว่าจะไม่ตอบไอ้เบื้อกdhammajakแล้วนะ  เพราะรู้ว่านายคนนี้กำลังชดใช้กรรม  ที่ทำตัวเป็นมารศาสนาพุทธ  กลั่นแกล้งผู้เข้ามาหาธรรมและแสดงธรรมะในเว็บ  แต่ว่ามันอดไม่ได้จริงๆ  ไม่ตอบมัน  มันก็ไปบิดเบือนพระพุทธศาสนาอีก

การอันตรธานแห่งอธิคม  มันเกิดกับสาวกรุ่นหลังๆ  ไม่ได้เกิดกับพระพุทธเจ้า  kuก็ไม่รู้จะต่อว่าเอ็งว่าอย่างไร  นอกจากเอ็งเป็นไอ้เบื้อกแล้ว  เอ็งยังไม่น่ามีไอคิวเกิน 80 ด้วย  หรือว่าเอ็งอ่านภาษาไทยไม่ออกวะไอ้dhammajak

อีกอย่าง  บุญไม่มีทางอันตรธาน  บุญยิ่งมาก  ยิ่งเห็นธรรม  บุญเต็มที่แล้ว  จึงจะสามารถบรรลุอรหันต์  บรรลุอรหันต์ก็ได้ธรรมกายกับสัมโภคกาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อีก  ไปอยู่ในพุทธภูมิและพุทธเกษตร  นี่ไม่ใช่เรียกว่า "บุญอันตรธาน" โว้ย...ไอ้มารศาสนา  เขาเรียกว่าเสวยบุญที่ไม่มีวันจบสิ้น

ใครอยู่ใกล้ๆนายdhammajak  วานเคาะกะโหลกมันด้วย  ตบกบาลได้ยิ่งดี  ผมรับผิดชอบเอง

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 167
                                 การอันตรธานของพระศาสนา
          1. เป็นการอันตรธานของอธิคม คือ  เริ่มเสื่อมตั้งแต่ ปฏิสัมภิทาก่อน  แล้วหมดผู้ที่มีอภิญญา  ต่อมาจึงถึงการเสื่อมของ วิชชา จนกระทั่งไม่มีพระอรหันต์  พระอนาคามี  พระสกทาทาคามี  เหลือแต่พระโสดาบัน  และเมื่อพระโสดาบันองค์สุดท้ายสิ้นชีวิต  ท่านเรียกว่าอันตรธานแห่งอธิคม...........


dhammajakจำไว้ :
ธาตุอันตรธาน =  ธาตุนิพพาน คือพระบรมสารีริกธาตุสูญสิ้นไปจากโลก ซึ่งจักเกิดขึ้นในอนาคต (จากหนังสือ พุทธประวัติตามแนวปฐมสมโพธิ ของพระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์ ปริเฉทที่ ๒๙ )  (ผมต่อให้ไปเลย  เพราะผมเป็นผู้รู้สูงสุดในยุคนี้)  แต่พระบรมสารีริกธาตุจักเกิดขึ้นอีกในอนาคต  เมื่อมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดขึ้น  ซึ่งองค์ต่อไปคือ พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า

พระสูตรที่คุณยกมา ท่อนสุดท้าย ... พระสรีระธาตุก็อันตรธานไป  เป็นอันสิ้นยุคพระศาสนา แล้วพุทธศาสนามันสิ้นไปแล้วหรืออย่างไร ยังไม่ถึง 5,000 ปี เลย...ไอ้เบื้อก  บ้องตื้นเหลือเกิน

ตัวอย่าง

ก็พระเขี้ยวแก้วหรือพระธาตุเขี้ยวแก้ว (ของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 3 ในภัทรกัปนี้)  อันตรธานไปแล้วนิ  และกลับมาโผล่ในยุคพระพุทธเจ้าของเราได้อย่างไร  แสดงชัดว่า  การอันตรธานของพระธาตุใดๆ  ไม่มีทางเกิดขึ้นเมื่อมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น  เพียงแต่พระธาตุอันตรธานเมื่อไม่มีศาสนาพุทธ
(ศาสนาที่สอนทางให้มนุษย์กลับกลายเป็นพระเจ้า-พุทธะ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย)เกิดขึ้นอีกแล้ว  แต่เมื่อมีศาสนาพุทธเกิดขึ้นอีกเมื่อไร  พระธาตุของพระพุทธเจ้าต่างๆก็จะปรากฏ

ชื่อธรรมจักรน่ะควรเป็นชื่อของผม  ส่วนชื่อของคุณ  ผมตั้งชื่อให้ใหม่ไปแล้วว่า "มารศาสนา"  ลองใช้ซิ  เท่ห์ดีออก

0 comments:

แสดงความคิดเห็น