A A

3 มีนาคม 2558

เจาะลึกความรู้เรื่อง 'เซียน' ที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด ฉบับรู้เอง

คำว่า "เซียน (great master)" เป็นชื่อที่คนไทยรู้จักกันมานานแล้ว  และใช้เรียกผู้มีความชำนาญบางอย่างมากเป็นพิเศษว่า "เซียน"  เช่น เซียนพระเครื่อง เซียนสนุ๊ก  คนไทยและคนจีนมักเรียกผู้วิเศษ ที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้  มีอำนาจอิทธิฤทธิ์หรือมีของวิเศษต่างๆว่า "เซียน"   

แต่ความหมายของเซียน ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น  มันมากกว่านั้นเยอะ ในบทความนี้ผมขอเขียนไว้เฉพาะบางส่วน


สมัยก่อนคำว่าเซียน สามารถเทียบได้ใกล้เคียงกับคำว่า "ฤๅษี"  สมัยนี้น่าจะใกล้เคียงกับคำว่า "พระเกจิ หรือผู้วิเศษ"

- ในทางโลก  ผู้ที่เก่งหรือชำนาญในทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ เราเรียกว่า เซียนด้านนั้นด้านนี้
- ในทางศาสนา  ผู้ที่เก่งหรือชำนาญในด้านการทำความดีต่างๆ  จนถึงขั้นบำเพ็ญสมถะหรือสมาธิให้ใจสงบนึ่ง  จนได้ฌาน 4-8  พระพุทธเจ้าเรียกว่า  ผู้มีสมถะเป็นยาน หรือ ผู้บำเพ็ญสมถะจนบรรลุระดับสูง


การบริกรรมภาวนาใดๆ  ล้วนเป็นการทำให้จิตใต้สำนึก หรือภวังค์จิตของเราสงบ  การรวมหรือเพ่งจิตอยู่ที่จุดเดียวนั้น  ถ้าเป็นการโฟกัสไปที่จุดเดียวโดยจิตยังฟุ้งซ่าน  ย่อมทำไม่ค่อยได้ และไม่มีพลังงานจิตที่พอเพียง  แต่การโฟกัสจิตที่ไม่ฟุ้งซ่านไปที่จุดเดียว ย่อมเกิดพลังงานจิตที่มหาศาลขึ้นมาได้  ผู้ที่ฝึกสมถะจนได้ฌานระดับสูง  และสามารถนำพลังงานจิตไปใช้ประโยชน์ได้ดีมี 5 จำพวก หรือพวกมีอภิญญา 5

ภาวนาปลุกจิตใต้สำนึกจนสำเร็จเป็นเซียน

พระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญผู้ที่ทำสมถะจนได้อำนาจวิเศษใดๆ ที่เราเรียนว่า เซียน เลย  แต่พระพุทธองค์สรรเสริญเฉพาะเซียน ที่นำเอาอำนาจวิเศษเหล่านั้น  ไปขจัดขัดเกลากิเลสตนหมดเท่านั้น  เซียนพวกนี้มี 2 พวก

1.  พระสมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นยาน(เครื่องนำไป) หมายถึง ผู้เจริญสมถกรรมฐาน จนได้ฌานก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาวิมุตติต่อ

2.  พระอุภโตภาควิมุต  คือ พระอรหันต์ผู้บำเพ็ญสมถะมาเป็นอย่างมากจนได้สมาบัติ ๘ แล้ว จึงใช้สมถะนั้นเป็นฐานบำเพ็ญวิปัสสนาต่อไปจนบรรลุอรหัตผล  หลุดพ้นจากความทุกข์

" เราย่อมอยู่ด้วยธรรม(ที่เป็น)เครื่องขัดเกลากิเลส(อย่างถูกต้องดีแล้ว)   ดูกรจุนทะ 
แต่ธรรมคือฌาน(ทั้งหลาย)นี้  เราไม่กล่าวว่า เป็นธรรมเครื่องขัดเกลา ในวินัยของพระอริยะ  เรากล่าวว่า (ยัง)เป็น(เพียง)ธรรมเครื่องอยู่(ให้)เป็นสุขในอัตภาพนี้"

หมายความว่า เซียน มี 2 จำพวก

1.  เซียนที่ได้อภิญญา 5 อย่างใดอย่างหนึ่ง  =  "เซียน" ผู้สำเร็จฌานสมาบัติต่างๆ  แล้วเป็นผู้อยู่อย่างเป็นสุขตามอัตภาพของตน  คือใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเท่าที่สภาพความเป็นอยู่

 
2.  เซียนที่ได้อภิญญา 5 ไปต่ออภิญญา  6  =   เซียน ผู้สำเร็จฌานสมาบัติต่างๆ  แล้วเลื่อนระดับไปจนบรรลุอรหัตผล  หลุดพ้นจากความทุกข์  ด้วยการทำวิปัสสนากรรมฐาน และการทำให้สมถะกรรมฐานของตน จนไม่หลุดหลงไปตามกิเลสตัณหาตลอดกาล เช่น พระอิศวร  ราชาแห่งโยคะ  พระพุทธองค์เรียกผู้ทำสมถะกรรมฐานของตน  จนไม่หลุดหลงไปตามกิเลสตัณหาตลอดกาลว่า พระอรหันต์ ที่เจโตวิมุตติไม่กำเริบแล้ว

แต่เดิม...เซียน(ผู้วิเศษ)ที่มีแค่อภิญญา 5 ใช้พลังจิตที่ชำนาญของตน แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆได้  ถือเป็น เซียนธรรมดา(ผู้วิเศษธรรมดา) แต่เมื่อเป็นเซียนที่บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ ที่เจโตวิมุตติไม่กำเริบแล้ว  เป็นอรหันต์แล้ว  เราจึงเรียกท่านว่า  "เซียนอรหันต์  เซียนพุทธะ กับ อรหันต์โพธิสัตว์"

เซียนอรหันต์  เซียนพุทธะ หรือ โพธิสัตว์อรหันต์  แตกต่างจากเซียนธรรมดา(ผู้วิเศษธรรมดา) ตรงที่เซียนธรรมดา(ผู้วิเศษธรรมดา)เป็นแค่อทิสมานกาย(กายทิพย์มนุษย์)  ในขณะที่เซียนอรหันต์  เซียนพุทธะ หรือ โพธิสัตว์อรหันต์  เป็นเซียนหรือเป็นโพธิสัตว์ ที่กำเนิดจากพระอรหันต์ท่านนั้น ดับหรือละลายอทิสมานกาย(กายทิพย์มนุษย์)ของตนไปแล้ว  จึงได้กายธรรมหรือธรรมกาย  แล้วกายธรรมหรือธรรมกายก็นิรมิตกายทิพย์ตัวใหม่ที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายออกมา  เรียกว่า "สัมโภคกาย  หรือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือกายทิพย์บริสุทธิ์"

ในขณะที่อทิสมานกาย(กายทิพย์มนุษย์)นั้นเกิดแก่เจ็บตายได้  เพียงแต่ถ้าเป็นเทพหรือเทวดาจะมีอายุยืนยาวกว่ามนุษย์เท่านั้น  ยิ่งเป็นพรหม(ทางโลกหรือโลกียะ)จะอายุยาวนานมากๆๆๆๆๆ  จนถึงขนาดหลงผิดไปเลยว่า  ตนเองเป็นอมตะ อยู่ได้ชั่วนิจนิรันดร  เช่น  ผกาพรหม  และอุทกพรหม  ที่ทั้งคู่หลงผิดว่าพรหมชั้นที่ตนอยู่คือนิพพาน


ย้ำ!  ผู้ที่แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆได้  จนถึงขั้นเป็นเซียน  น่าจะเป็นผู้ที่ได้ ฌาน ๔ จตุตถสมาบัติ ฌาน  หรือกว่านั้นขึ้นไปจนถึงฌาน 5-8 ซึ่งเป็นอรูปฌาน

...สมถยานิก = ผู้มีสมถะเป็นยาน คือ ท่านผู้เจริญสมถะจนได้ฌานสมาบัติแล้วจึงเจริญวิปัสสนาต่อจนได้สำเร็จอรหันต์

3 ความคิดเห็น:

  1. ทุกวันนี้ยังมีอยู่ไหมผู้ศึกษาแบบนี้ครับ

    ตอบลบ
  2. เขาทำยังไงถึงได้เป็นเชียนได้ฝึกยังไงครับทุกวันนี้มีคนฝึกไหม

    ตอบลบ