จากคำตอบที่ผมตอบคุณchoksila58ไป เรื่องที่คุณchoksila58มั่นใจแน่ๆว่า ตนเองเข้าใจถูกต้องว่าโคตมะพระพุทธเจ้า
ไม่ได้อวตารมาจากพระอมิตาภะพุทธเจ้า ทั้งๆที่ตนเองเข้าใจผิดอย่างมาก
เพราะปฏิบัติไม่ถึงขั้นหรือไม่ปฏิบัตินั่นเอง
อ้างถึง
ตอบกลับ Phonsak(คืนรังโจร)
..เป็นไปไม่ได้ที่พระอมิตาภะพุทธเจ้าจะตรัสบอกว่าท่านอวตารจิตออกมาอย่างที่ลุงบอกมานั้น ไม่ใช่ท่านแน่นอน ลุงกำลังหลงนิมิตถูกมารเข้าสิงใจทำให้หลงทาง.. ผิดแท้ๆ
choksila58 โพสต์
..เป็นไปไม่ได้ที่พระอมิตาภะพุทธเจ้าจะตรัสบอกว่าท่านอวตารจิตออกมาอย่างที่ลุงบอกมานั้น ไม่ใช่ท่านแน่นอน ลุงกำลังหลงนิมิตถูกมารเข้าสิงใจทำให้หลงทาง.. ผิดแท้ๆ
choksila58 โพสต์
ตอบ
ผิดแท้ๆ...อย่างนั้นหรือ???... อย่าเพิ่งแน่ใจอะไรเลย เพราะความรู้ทางศาสนาของเธอยังน้อยนัก
เมื่อผมพูดดังนี้ไปแล้ว ผมก็ต้องรับผิดชอบ เพิ่มความรู้ให้คุณchoksila58 และเพื่อนๆ ดังนั้นผมจึงต้องนำเสนอเรื่องสุดยอดเรื่องนี้ ซึ่งชาวพุทธเถรวาทคงไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ส่วนชาวพุทธมหายานก็มีน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องแหล่งกำเนิดของพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้ ซึ่งทั้ง 5 พระองค์คือ
1. พระกกุสันธพุทธเจ้า (นะ)
2. พระโกนาคมนพุทธเจ้า (โม)
3. พระกัสสปพุทธเจ้า (พุท)
4. พระโคตมพุทธเจ้า (ธา)
5. พรศรีอริยะเมตไตรยพุทธเจ้า (ยะ)
เรียกพระนามย่อๆของพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ทั้ง 5 พระองค์ว่า "นะโมพุทธายะ" พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ทั้ง 5 พระองค์ กำเนิดมาจากฌานิพุทธเจ้า 5 พระองค์ เรื่องมันเป็นอย่างนี้:
กำเนิดจักรวาลและกำเนิดพระพุทธเจ้าต่างๆ
แรกเริ่มเดิมที ทุกสิ่งทุกอย่างมันว่างเปล่า แต่ในความว่างเปล่านั้น กลับมีสิ่งหนึ่งที่อยู่ตามลำพังในความว่างเปล่านั้นชั่วนิรันดร สิ่งนั้นคือ จิตว่าง...ว่างมหาศาล และ ว่างมหาบริสุทธิ์ หรือมหาสุญญตา หรือปรินิพพาน จิตว่างมหาศาลนี้ มีอำนาจควบคุม ดลบันดาล และเนรมิตความว่างเปล่ารอบจิตว่างของตนทั้งมวลออกไปเป็นอะไรก็ได้
วันหนึ่ง ปรินิพพาน หรือ จิตว่างมหาศาล ก็เริ่มเล่นเกมส์ ขั้นแรก จิตว่าง...ว่างมหาศาลก็นิรมิตตัวเองเป็นพระอาทิพุทธเจ้า หรือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม ผู้อยู่เป็นนิรันดร์ ผู้เกิดเอง ผู้ไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย
อย่างไรก็ตาม อาทิพุทธเจ้า ท่านต้องอยู่ตามลำพังโดดเดี่ยวในความว่างเปล่าเหมือนเดิม อาทิพุทธเจ้าเลยแบ่งภาคหรืออวตารตัวของท่านเอง ออกไปช่วยสร้างสรรพสิ่งและสรรพจิตต่างๆขึ้นมาในจักรวาล อัลเลาะห์ ศิวะ ฯลฯ ที่เรียกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า(พระบิดา) หรือ พระพุทธเจ้าสูงสุด ก็คือท่านอาทิพุทธเจ้าทั้งนั้น
พระโคตมะพุทธเจ้าของเรา ตรัสสอนไปทางนิกายมหายานว่า อาทิพุทธเจ้า ได้อวตารหรือแบ่งภาคตนเองออกเป็น 2 ภาคใหญ่ๆด้วย คือ
1. ธยานิพุทธเจ้า 5 พระองค์ หรือ ฌานิพุทธเจ้า 5 พระองค์ ได้แก่ พระไวโรจนพุทธะ พระอักโษภยพุทธะ พระรัตนสัมภวพุทธะ พระอมิตาภพุทธะ และพระอโมฆสิทธิพุทธะ แล้วธยานิพุทธะทั้ง 5 องค์นี้ก็ได้นิรมิตสร้างพระธยานิโพธิสัตว์ขึ้นมาด้วยอำนาจฌานของตนอีก 5 องค์ เพื่อช่วยงานใน 3 ภพ
นอกจากนี้ ฌานิพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ ก็ยังต้องอวตารหรือแบ่งภาคออกไปเป็นมนุษย์ด้วย และต้องบำเพ็ญเพียรในฐานะพระโพธิสัตว์จนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จึงจะเรียกว่า "นิรมานกายของพระพุทธเจ้า หรือ พระมานุสสพุทธะ"
2. พระมานุสสพุทธะ หรือนิรมานกายของพระพุทธเจ้า
ย้ำ! นิรมานกายคือการ “แบ่งภาค” หรือ "อวตาร"ของพระฌานิพุทธเจ้า 5 พรองค์ จะเรียกว่าการอวตารของอาทิพุทธเจ้าก็ได้ “พระมานุษิพุทธเจ้า” เป็นการอวตารของฌานิพุทธเจ้า 5 พระองค์ในระดับ “กามธาตุ” หรือระดับของ “โลกมนุษย์"
ในภัทรกัปนี้ พระธยานิพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ได้ทรงแบ่งภาคออกมาเป็น “พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ ๕ พระองค์” รายละเอียดมีดังนี้
๑. “พระอักโษภยะธยานิพุทธเจ้า” ได้ทรงนิรมานกายแบ่งภาคออกมาเป็น “พระมานุษิพุทธเจ้า” ที่ทรงพระนามว่า “พระกกุสันโธพุทธเจ้า” พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ ในภัทรกัป
๒. “พระรัตนสัมภวะธยานิพุทธเจ้า” ทรงนิรมานกายแบ่งภาคเป็น “พระมานุษิพุทธเจ้า” ทรงพระนามว่า “พระโกนาคมน์พุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ ในภัทรกัป
๓. “พระอโมฆะสิทธิ์ธยานิพุทธเจ้า” ทรงนิรมานกายแบ่งภาคเป็น “พระมานุษิพุทธเจ้า” ทรงพระนามว่า “พระกัสสปะพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ในภัทรกัป
๔. “พระอมิตภะธยานิพุทธเจ้า” ทรงนิรมานกายแบ่งภาคออกมาเป็น “พระมานุษิพุทธเจ้า” ทรงพระนามว่า “พระศากยมุนี” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ หรือพระพุทธเจ้า “องค์ปัจจุบัน” ของภัทรกัป
๕. “พระไวโรจนะธยานิพุทธเจ้า” ทรงนิรมานกายแบ่งภาคเป็น “พระมานุษิพุทธเจ้า” ทรงพระนามว่า “พระเมตไตรยพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ หรือ “องค์สุดท้าย” ในภัทรกัปนี้
“พระเมตไตรยพุทธเจ้า” ยังไม่มาตรัสรู้ตอนนี้ เพราะศาสนาของ “พระศากยมุนีพุทธเจ้า” พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ยังไม่อันตรธานหายไปจากโลกนั่นเองโลกมนุษย์ไม่ได้มีเพียงโลกเดียวนะครับ ในมิตินี้มี 6-9 โลกมนุษย์ แล้วมิติอื่นๆก็มีถึง 12 มิติ คูณกันเอาเองนะครับว่ามีโลกมนุษย์กี่สิบกี่ร้อยโลกมนุษย์ นี่ยังไม่นับโลกของมนุษย์ต่างดาวนะครับ
1...เป็นไปไม่ได้ที่พระอมิตาภะพุทธเจ้าจะตรัสบอกว่าท่านอวตารจิตออกมาอย่างมาอย่างที่ลุงบอกมา
นั้นไม่ใช่ท่านแน่นอน ลุงกำลังหลงนิมิตถูกมารเข้าสิงใจทำให้หลงทาง.. ผิดแท้ๆ
choksila58 โพสต์
2…อ้างจาก: กรัชกาย
....บางคนก็ว่าพี่บ้าไปแล้ว
choksila58 โพสต์
2…อ้างจาก: กรัชกาย
....บางคนก็ว่าพี่บ้าไปแล้ว
ตอบ
บุโรพุทโธ (Borobudur) เป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่า ผมไม่ได้บ้าหรือมั่วเรื่อง: ฌานิพุทธเจ้า 5 องค์ เป็นแหล่งกำเนิดพระพุทธเจ้า 5 องค์(นะโมพุทธายะ)ในภัทรกัปนี้
บุโรพุทโธ (Borobudur)
ประวัติบุโรพุทโธถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร บุโรพุทโธเป็นสถูปแบบมหายาน สันนิษฐานว่าบุโรพุทโธสร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 7-9 หรือ พุทธศักราช 1393 ตั้งอยู่ทางภาคกลางของเกาะชวา บนที่ราบเกฑุ ทางฝั่งขวาใกล้กับแม่น้ำโปรโก ห่างจากยอกยาการ์ตา ทางตะวันตกเฉียงเหนือ 40 กิโลเมตร บุโรพุทโธสร้างด้วยหินภูเขาไฟประมาณ 2 ล้านตารางฟุตบนฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 121 เมตร สูง 403 ฟุต เป็นรูปทรงแบบปิรามิด มีลานเป็นชั่งลดหลั่นกัน 8 ชั้น และใน 8 ชั้นนั้น 5 ชั้นล่างเป็นลาน 4 เหลี่ยม 3 ชั้นบนเป็นลานวงกลม และบนลานกลมชั้นสูงสุดมีพระสถูปตั้งสูงขึ้นไปอีก 31.5 เมตร เป็นมหาสถูปที่ระเบียงซ้อนกันเป็นชั้นๆลดหลั่นกันไป
ลักษณะและสถาปัตยกรรมบุโรพุทโธ
เชื่อกันว่าแผนผังของบุโรพุทโธคงหมายถึง “จักรวาล” และอำนาจของ “พระอาทิพุทธเจ้า” ได้แก่พระพุทธเจ้าผู้ทรงสร้างโลกในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซึ่งแสดงโดยสถูปที่บนยอดสุดก็ได้แผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งจักรวาลนี้แบ่งออกเป็น ๓ ตอน คือชั้นบนสุดได้แก่ “อรูปธาตุ” ชั้นรองลงมาคือ “รูปธาตุ” และชั้นต่ำสุดคือ “กามธาตุ” พระอาทิพุทธเจ้าในพุทธศาสนาลัทธิมหายานเองก็ทรงมี ๓ รูป (ตรีกาย) เพื่อให้ตรงกับธาตุ ทั้งสามนี้” “ธรรมกาย” ตรงกับ “อรูปธาตุ” ส่วน “สัมโภคกาย” (ประกอบด้วยพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์หลายองค์) ตรงกับ “รูปธาตุ” และ “นิรมานกาย” (ประกอบด้วยพระมนุษยพุทธเจ้า) สำหรับ “กามธาตุธรรมกาย” ที่ตรงกับ “อรูปธาตุ” นั้นไม่มีภาพสลักตกแต่งแต่ก็มี “เจดีย์ทึบ” ล้อมรอบไว้โดยเจดีย์ทึบเจาะเป็นรูโปร่งสามแถวและมี “พระพุทธรูปนั่งปางปฐมเทศนา” อยู่ภายใน (ยังถกเถียงกันคือ บางท่านก็ว่าเป็น “พระธยานิพุทธไวโรจนะ” แต่บางท่านก็ว่าเป็น “พระโพธิสัตว์วัชรสัตว์” ประจำองค์พระอาทิพุทธเจ้า) ส่วนฐานที่ถัดลงมาอีกสี่ชั้นได้แก่ “รูปธาตุ” ที่พระอาทิพุทธเจ้าได้สำแดงพระองค์ออกมาเป็น “พระธยานิพุทธเจ้าห้าพระองค์” คือ “พระอักโษภวะปางมารวิชัยทางทิศตะวันออก, พระรัตนสัมภวะปางประทานพรทางทิศใต้, พระอมิตาภะปางสมาธิทางทิศตะวันตก” และ “พระอโมฆาสิทธะปางประทานอภัยทางทิศเหนือ” ส่วนองค์ที่ห้านี้อยู่เหนือผนังฐานยอดสุดยังเป็นปัญหาเพราะทรงแสดง “ปางแสดงธรรม” (วิตรรกะ) ที่บางท่านเชื่อว่าเป็น “พระธยานิพุทธเจ้า” องค์สูงสุดคือ “พระไวโรจนะ” แต่พระไวโรจนะโดยปกติทรงแสดงปาง “ประทานปฐมเทศนา” ก็เลยมีบางท่านเชื่อว่าพระพุทธรูปที่ทรงแสดงปาง “ปางวิตรรกะ” บนฐานชั้นยอดสุดหมายถึง “พระสมันตภัทรโพธิสัตว์” เพราะ “พระพุทธศาสนา” ลัทธิมหายานนิกาย “โยคาจารย์” ได้ยกย่องพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ขึ้นเสมอเหมือน “พระธยานิพุทธเจ้า” อีกพระองค์อีกทั้งภาพสลักบนผนังระเบียงชั้นที่สี่ก็เกี่ยวกับคัมภีร์ “คัณฑพยุหะ” และ “ภัทรจารี” ที่ยกย่องพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ขึ้นเป็น “พระธยานิพุทธเจ้า” ส่วน “พระธยานิพุทธไวโรจนะ” ก็คือพระพุทธรูปนั่งประทานปฐมเทศนาในเจดีย์รายสามแถวนั่นเองและ “พระธยานิพุทธเจ้า” อีกสี่พระองค์คือ “พระอักโษภยะ, รัตนสัมภวะ, อมิตาภะ, อโมฆสิทธะ” จึงประดิษฐานอยู่ในซุ้มเหนือฐานชั้นที่ ๑-๔ แต่ละทิศตามลำดับ แต่บางท่านก็เชื่ออีกว่าพระพุทธรูปในซุ้มบนยอดฐานชั้นที่ ๑ หมายถึง “พระมนุษยพุทธเจ้าสี่พระองค์” เพราะตรงกับกามธาตุได้แก่ “พระโกนาคมทางทิศตะวันออก, พระกัสสปะทางทิศใต้, พระศรีศากยมุนีทางทิศตะวันตก, พระศรีอาริยเมตไตรยทางทิศเหนือ” ด้วยเหตุนี้เมื่อมีผู้มากระทำประทักษิณโดยเดินเวียนขวารอบ “บุโรพุทโธ” ขึ้นไปแต่ละชั้นก็จะพ้นจากกามธาตุขึ้นไปยังรูปธาตุและอรูปธาตุตามลำดับโดย “พระพุทธรูป” ในซุ้มเหนือฐานห้าชั้นมีทั้งหมด “๔๓๒ องค์” ถ้านับรวมพระพุทธรูปในเจดีย์รายอีก “๗๒ องค์” ก็มีจำนวนทั้งสิ้น “๕๐๔ องค์”
พระเจดีย์องค์ใหญ่” ที่อยู่บนยอดสูงสุดของ “บุโรพุทโธ” ก็คือสัญลักษณ์แทนองค์ “พระอาทิพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้า “สูงสุด” ในคติพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ส่วน “สถูปเจดีย์” ที่มีรูปทรงโอ่งคว่ำเป็นแบบทึบนั้นก็คือสัญลักษณ์ของ “อรูปธาตุ” (ไม่ปรากฏร่างกาย) และเป็นเพียงสัญลักษณ์พระสถูปเจดีย์ดังกล่าวอันเป็นพลังสากลทั่วไปที่แผ่ไปทั่ว “สากลจักรวาล” ซึ่งก็คือพุทธานุภาพพุทธบารมีแห่งองค์ “พระอาทิพุทธเจ้า” (อาทิหมายถึงต้นกำเนิดของสรรพสิ่งบนโลก) “พระอาทิพุทธเจ้า” ทรง “นิรมานกาย” (แบ่งพระวรกาย) ออกได้เป็นสามรูปที่เรียกว่า “ตรีกาย” อันได้แก่ “ธรรมกาย” คือเป็นอรูปธาตุ “สัมโภคกาย” ก็คือ “การเนรมิตกาย” ออกมาเป็น “พระธยานิพุทธเจ้า” และ “พระโพธิสัตว์” ผู้เป็นบริวารของพระองค์อันเป็นรูปธาตุของพระอาทิพุทธเจ้า “นิรมานกาย” ก็คือการเนรมิตกายของ พระธยานิพุทธเจ้าออกมาเป็น “พระมานุษิพุทธเจ้า” อีกขั้นตอนหนึ่ง (เป็นกายขั้นที่สาม) อันเป็นกามธาตุของพระอาทิพุทธเจ้า
ส่วน “ธรรมกาย” หรือ “อรูปธาตุ” ของพระอาทิพุทธเจ้าได้ถูกกำหนดสัญลักษณ์ออกมาเป็น “พระสถูปเจดีย์ทรงโอ่งคว่ำทึบ” ขนาดใหญ่องค์เดียวที่ถือเป็น “ศูนย์กลางของบุโรพุทโธ” ประดิษฐานอยู่บนลานชั้นยอดอันเป็นชั้นบนสุดของบุโรพุทโธ โดยไม่มีภาพสลักตกแต่งรายละเอียดใด ๆ และถัดออกมาเป็น “พระสถูปเจดีย์เจาะสลักเป็นรูโปร่งสามแถว” ที่ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิเพชรแสดงปางปฐมเทศนา (จีบนิ้วพระหัตถ์) โดยมีพระสถูปเจดีย์และพระพุทธรูปประดิษฐานภายในทั้งหมด “๗๒ องค์” และแบ่งออกเป็นแถวชั้นใน ๑๖ องค์ แถวชั้นกลาง ๒๔ องค์ และแถวชั้นนอก ๓๒ องค์ ทางด้านฐานของพุทธศาสนสถานบุโรพุทโธที่ถัดลงมาอีกสี่ชั้นเป็นสัญลักษณ์ของ “รูปธาตุ” หรือ “สัมโภคกาย” ที่ “พระอาทิพุทธเจ้า” ทรงเนรมิตกายของพระองค์ออกมาเป็น “พระธยานิพุทธเจ้าห้าพระองค์” คือ “พระอักโษภยะธยานิพุทธเจ้าปางมารวิชัย” ประดิษฐานทางทิศตะวันออกของบุโรพุทโธ “พระรัตนสัมภวะธยานิพุทธเจ้าปางประทานพร” ประดิษฐานทางทิศใต้ “พระอมิตาภะธยานิพุทธเจ้าปางสมาธิ” ประดิษฐานทางทิศตะวันตก “พระอโมฆสิทธิธยานิพุทธเจ้าปางประทานอภัย” ประดิษฐานทางทิศเหนือและ “พระไวโรจนะธยานิพุทธเจ้าปางแสดงธรรม” ประดิษฐานอยู่เหนือผนังชั้นยอดบนสุด
และในชั้นที่ ๑ มี “พระพุทธรูป” ประดิษฐานในซุ้มบนยอดฐานเป็นพระพุทธรูปของ
“พระมานุษิพุทธเจ้า” ซึ่งอยู่ในระดับ “กามธาตุ” หรือระดับของ “โลกมนุษย์”
ที่ “พระอาทิพระพุทธเจ้า” คือพระพุทธเจ้าที่สูงสุดในคติของ “พระพุทธศาสนานิกายมหายาน”
ได้นิรมานกายคือการ “แบ่งภาค” ของพระองค์ออกมาเป็นพระอาทิพระพุทธเจ้าโดยใน “ภัทรกัป”
นี้ทรงแบ่งภาคออกมาเป็น “พระธยานิพุทธเจ้า ๕
พระองค์” ด้วยกันคือ ๑. “พระอักโษภยะธยานิพุทธเจ้า”
ประจำอยู่ทางทิศตะวันออกของบุโรพุทโธและพระอักโษภยะธยานิพุทธเจ้านี้ทรงนิรมานกายแบ่งภาคออกมาเป็น
“พระมานุษิพุทธเจ้า” ที่ทรงพระนามว่า “พระกกุสันโธพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าใน “พุทธันดรที่ ๑” ในภัทรกัปป์ ๒. “พระรัตนสัมภวะธยานิพุทธเจ้า” ประจำอยู่ทางทิศใต้ของบุโรพุทโธที่ทรงนิรมานกายแบ่งภาคเป็น
“พระมานุษิพุทธเจ้า” ทรงพระนามว่า “พระโกนาคมน์พุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าใน “พุทธันดรที่ ๒” ในภัทรกัปป์ ๓. “พระอโมฆะสิทธิ์ธยานิพุทธเจ้า” ประจำอยู่ทางทิศเหนือของบุโรพุทโธทรงนิรมานกายแบ่งภาคเป็น
“พระมานิษิพุทธเจ้า” ทรงพระนามว่า “พระกัสสปะพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าใน “พุทธันดรที่ ๓” ในภัทรกัปป์ ๔. “พระอมิตภะธยานิพุทธเจ้า” ประจำอยู่ทางทิศตะวันตกของบุโรพุทโธทรงนิรมานกายแบ่งภาคออกมาเป็น
“พระมานุษิพุทธเจ้า” ทรงพระนามว่า “พระศากยมุนี” ซึ่งเป็น “พุทธันดรที่
๔” หรือพระพุทธเจ้า “องค์ปัจจุบัน”
ของภัทรกัป ๕. “พระไวโรจนะธยานิพุทธเจ้า”
ประดิษฐานอยู่ตรงกลางเหนือผนังชั้นบนยอดสุดของชั้นที่ ๕
ของบุโรพุทโธ (เปรียบได้กับการเป็นภาคกลางหรือทิศภาคกลาง) ทรงนิรมานกายแบ่งภาคเป็น
“พระมานุษิพุทธเจ้า” ทรงพระนามว่า “พระเมตไตรยพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้า “องค์สุดท้าย” เป็น “พุทธันดรที่
๕” ในภัทรกัปและเป็น “พระอนาคตพุทธเจ้า” ที่ยังไม่มาตรัสรู้เพราะศาสนาของ
“พระศากยมุนีพุทธเจ้า” (พุทธันดรที่ ๔)
ยังไม่อันตรธานหายไปจากโลกนั่นเอง
ฐานชั้นล่างสุดซึ่งเป็นฐานชั้นที่ ๑ ของ “บุโรพุทโธ” จะมีภาพสลักทั้งหมด “๑๖๐ ภาพ” โดยทุกภาพจะเป็นการเล่าเรื่องราวตาม “คัมภีร์ธรรมวิวังค์” ว่าด้วยเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ซึ่งก็คือเรื่องของ “บาป บุญ คุณ โทษ” นั่นเองแต่ต่อมาภาพเหล่านี้ถูกลานประทักษิณขนาดใหญ่ (ลานที่เดินเวียนขวาตามพุทธสถาน) ทับถมไว้กระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ นักโบราณคดีชาว “ฮอลันดา” ได้ค้นพบภาพเหล่านี้โดยทำการรื้อลานประทักษิณออกและทำการถ่ายภาพ “ภาพสลัก” ทั้งหมดแล้วนำมาประกอบไว้ดังเดิมที่ปัจจุบันมีการเปิดแสดง ให้เห็นภาพสลักประมาณ ๒-๓ ภาพ ตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะภาพสลักทั้ง ๑๖๐ ภาพนี้ส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็น “วิถีชีวิตของชาวชวา” ใน “พุทธศตวรรษที่ ๑๔” ได้เป็นอย่างดีและผนังด้านในของของระเบียงชั้นที่ ๑ มีความสูง ๓.๖๖ เมตร ประดับตกแต่งด้วยภาพสลักแนวละ “๑๒๐ ภาพ” และระหว่างภาพจะมีลายก้านขดคั่นส่วนภาพแนวบนแสดงเรื่องราวของ “พระพุทธประวัติ” ฝ่ายมหายานตาม “คัมภีร์ลลิตวิสูตร” หรือ “คัมภีร์ปฐมสมโพธิฝ่ายมหายาน” นับตั้งแต่การ “เสด็จประสูติ, บำเพ็ญบารมี” ไปจนถึงการแสดง “ปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ส่วนภาพด้านล่างสลักภาพอธิบายเรื่องราวของ “ชาดก” และ “นิยายอวตาร”
ทางด้านผนังด้านนอกของระเบียงชั้นที่ ๑ ของบุโรพุทโธนั้น เมื่อแก้ไขให้สูงขึ้นหลังจากที่มีการสร้างลานทักษิณรอบนอกแล้ว ผนังด้านในก็ยังมีการแกะสลักเป็น “ภาพชาดก” อีกโดยมีแนวบนทั้งหมด “๓๗๒ ภาพ” ซึ่งเป็นการแสดงที่นำเค้าโครงเรื่องที่มาจาก “ชาตกมาลา” (ชาดกมาลา) บทนิพนธ์ของท่าน “อารยศูร” และภาพในแนวล่างเล่าเรื่อง “ชาดก” และ “อวตาร” อีกเช่นกันนอกจากนั้นบนยอดฐานแต่ละชั้นจะมีการก่อสลักหินเป็นซุ้มประดิษฐาน “พระพุทธรูป” อยู่ภายในโดยในซุ้มชั้นที่ ๑ สำหรับประดิษฐาน “พระมานุษิพุทธเจ้า” และซุ้มชั้นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปจะสลักลวดลายและประดับเพชรพลอยบนยอด โดยซุ้มที่อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเป็นซุ้มสัญลักษณ์ของ “พระธยานิพุทธเจ้า” โดยใช้รูปสถูปเจดีย์จำลองเป็นสัญลักษณ์แทนและอยู่สูงขึ้นไป
และในระเบียงชั้นที่ ๒ ด้านในของผนังชั้นนอกของบุโรพุทโธอาจจะมีการสลักเรื่อง “ชาดก” ต่อแต่ยังไม่แล้วเสร็จส่วนผนังชั้นในสลักภาพสลักจำนวน “๑๒๘ ภาพ” และเล่าเรื่องราวตาม “คัมภีร์คัณฑพยุหะ” ซึ่งเป็นชาดกที่เล่าเรื่องราว “พระสุธนกับนางมโนราห์” ตอนที่ “พระสุธน” ไปท่องเที่ยวศึกษาหาความรู้ที่ในตอนแรกได้พบกับ “พระโพธิสัตว์มัญชูศรี” ก่อนแล้วจึงท่องเที่ยวหาความรู้ต่อไปแต่ในที่สุดก็ย้อนกลับมาหา “พระโพธิสัตว์มัญชูศรี” อีกครั้งและ “ระเบียงชั้นที่ ๓” ทั้งผนัง ชั้นนอกและชั้นในสลักเล่าเรื่องราวประวัติ “พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย” ถึงในอนาคตหลังจากที่ “พุทธันดรที่ ๔” (พุทธันดรในปัจจุบัน) สิ้นสุดลง “พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย” ก็จะเสด็จมาตรัสรู้เป็น “พระพุทธเจ้า” ทรงพระนามว่า “พระเมตไตรยพุทธเจ้า” ซึ่งก็คือ “พระอนาคตพุทธเจ้า” นั่นเอง โดยรอบ ๆ ของ “บุโรพุทโธ” ตามฐานระเบียงชั้นต่าง ๆ มีการสลักภาพรวมแล้วได้ประมาณ “๑,๓๐๐ ภาพ” มีความยาวต่อกันเกือบ “๔ กิโลเมตร”
ทางทิศตะวันออกของบุโรพุทโธ เป็นประตูทางขึ้นหลักที่สำคัญของบุโรพุทโธที่ปรากฏ “สิงห์ทวารบาล” สลักด้วยศิลาตั้งอยู่ภายนอกทางขึ้นทั้งสองข้าง ส่วนประตูทางขึ้นของแต่ละทิศที่สามารถเดินผ่านตรงไปยังลานชั้นบนได้ประกอบด้วย “ลายหน้าบาล” และ “ภมร” ในแต่ละชั้นจะมีท่อระบายน้ำโดยชั้นล่างจะสลักหินเป็น “รูปกุมาร” มีคนแคระแบกรับไว้และชั้นบนสลักเป็น “รูปหน้ากาล” โดยลายหน้ากาลนี้จัดเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ “ศิลปะชวา” ที่มีความหมายว่า “กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสิ่ง ดังนั้นสัปปุรุษทั้งหลายพึงไม่ประมาท” จึงจัดเป็น “พุทธปรัชญามหายาน” ได้เป็นอย่างดี
ฐานชั้นล่างสุดซึ่งเป็นฐานชั้นที่ ๑ ของ “บุโรพุทโธ” จะมีภาพสลักทั้งหมด “๑๖๐ ภาพ” โดยทุกภาพจะเป็นการเล่าเรื่องราวตาม “คัมภีร์ธรรมวิวังค์” ว่าด้วยเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ซึ่งก็คือเรื่องของ “บาป บุญ คุณ โทษ” นั่นเองแต่ต่อมาภาพเหล่านี้ถูกลานประทักษิณขนาดใหญ่ (ลานที่เดินเวียนขวาตามพุทธสถาน) ทับถมไว้กระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ นักโบราณคดีชาว “ฮอลันดา” ได้ค้นพบภาพเหล่านี้โดยทำการรื้อลานประทักษิณออกและทำการถ่ายภาพ “ภาพสลัก” ทั้งหมดแล้วนำมาประกอบไว้ดังเดิมที่ปัจจุบันมีการเปิดแสดง ให้เห็นภาพสลักประมาณ ๒-๓ ภาพ ตรงมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะภาพสลักทั้ง ๑๖๐ ภาพนี้ส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็น “วิถีชีวิตของชาวชวา” ใน “พุทธศตวรรษที่ ๑๔” ได้เป็นอย่างดีและผนังด้านในของของระเบียงชั้นที่ ๑ มีความสูง ๓.๖๖ เมตร ประดับตกแต่งด้วยภาพสลักแนวละ “๑๒๐ ภาพ” และระหว่างภาพจะมีลายก้านขดคั่นส่วนภาพแนวบนแสดงเรื่องราวของ “พระพุทธประวัติ” ฝ่ายมหายานตาม “คัมภีร์ลลิตวิสูตร” หรือ “คัมภีร์ปฐมสมโพธิฝ่ายมหายาน” นับตั้งแต่การ “เสด็จประสูติ, บำเพ็ญบารมี” ไปจนถึงการแสดง “ปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ส่วนภาพด้านล่างสลักภาพอธิบายเรื่องราวของ “ชาดก” และ “นิยายอวตาร”
ทางด้านผนังด้านนอกของระเบียงชั้นที่ ๑ ของบุโรพุทโธนั้น เมื่อแก้ไขให้สูงขึ้นหลังจากที่มีการสร้างลานทักษิณรอบนอกแล้ว ผนังด้านในก็ยังมีการแกะสลักเป็น “ภาพชาดก” อีกโดยมีแนวบนทั้งหมด “๓๗๒ ภาพ” ซึ่งเป็นการแสดงที่นำเค้าโครงเรื่องที่มาจาก “ชาตกมาลา” (ชาดกมาลา) บทนิพนธ์ของท่าน “อารยศูร” และภาพในแนวล่างเล่าเรื่อง “ชาดก” และ “อวตาร” อีกเช่นกันนอกจากนั้นบนยอดฐานแต่ละชั้นจะมีการก่อสลักหินเป็นซุ้มประดิษฐาน “พระพุทธรูป” อยู่ภายในโดยในซุ้มชั้นที่ ๑ สำหรับประดิษฐาน “พระมานุษิพุทธเจ้า” และซุ้มชั้นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปจะสลักลวดลายและประดับเพชรพลอยบนยอด โดยซุ้มที่อยู่สูงขึ้นไปบนยอดเป็นซุ้มสัญลักษณ์ของ “พระธยานิพุทธเจ้า” โดยใช้รูปสถูปเจดีย์จำลองเป็นสัญลักษณ์แทนและอยู่สูงขึ้นไป
และในระเบียงชั้นที่ ๒ ด้านในของผนังชั้นนอกของบุโรพุทโธอาจจะมีการสลักเรื่อง “ชาดก” ต่อแต่ยังไม่แล้วเสร็จส่วนผนังชั้นในสลักภาพสลักจำนวน “๑๒๘ ภาพ” และเล่าเรื่องราวตาม “คัมภีร์คัณฑพยุหะ” ซึ่งเป็นชาดกที่เล่าเรื่องราว “พระสุธนกับนางมโนราห์” ตอนที่ “พระสุธน” ไปท่องเที่ยวศึกษาหาความรู้ที่ในตอนแรกได้พบกับ “พระโพธิสัตว์มัญชูศรี” ก่อนแล้วจึงท่องเที่ยวหาความรู้ต่อไปแต่ในที่สุดก็ย้อนกลับมาหา “พระโพธิสัตว์มัญชูศรี” อีกครั้งและ “ระเบียงชั้นที่ ๓” ทั้งผนัง ชั้นนอกและชั้นในสลักเล่าเรื่องราวประวัติ “พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย” ถึงในอนาคตหลังจากที่ “พุทธันดรที่ ๔” (พุทธันดรในปัจจุบัน) สิ้นสุดลง “พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย” ก็จะเสด็จมาตรัสรู้เป็น “พระพุทธเจ้า” ทรงพระนามว่า “พระเมตไตรยพุทธเจ้า” ซึ่งก็คือ “พระอนาคตพุทธเจ้า” นั่นเอง โดยรอบ ๆ ของ “บุโรพุทโธ” ตามฐานระเบียงชั้นต่าง ๆ มีการสลักภาพรวมแล้วได้ประมาณ “๑,๓๐๐ ภาพ” มีความยาวต่อกันเกือบ “๔ กิโลเมตร”
ทางทิศตะวันออกของบุโรพุทโธ เป็นประตูทางขึ้นหลักที่สำคัญของบุโรพุทโธที่ปรากฏ “สิงห์ทวารบาล” สลักด้วยศิลาตั้งอยู่ภายนอกทางขึ้นทั้งสองข้าง ส่วนประตูทางขึ้นของแต่ละทิศที่สามารถเดินผ่านตรงไปยังลานชั้นบนได้ประกอบด้วย “ลายหน้าบาล” และ “ภมร” ในแต่ละชั้นจะมีท่อระบายน้ำโดยชั้นล่างจะสลักหินเป็น “รูปกุมาร” มีคนแคระแบกรับไว้และชั้นบนสลักเป็น “รูปหน้ากาล” โดยลายหน้ากาลนี้จัดเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ “ศิลปะชวา” ที่มีความหมายว่า “กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสิ่ง ดังนั้นสัปปุรุษทั้งหลายพึงไม่ประมาท” จึงจัดเป็น “พุทธปรัชญามหายาน” ได้เป็นอย่างดี
0 comments:
แสดงความคิดเห็น