A A

15 สิงหาคม 2558

ตอบคำถามของหมออาวุโสใน LA.‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

banna ถามว่า:

ไปเที่ยวกับหมออาวุโสคนหนึ่งที่เมือง sequim และ port townsend รัฐวอชิงตัน หมอไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด นรกสวรรค์ บอกทุกอย่างเป็นการทำงานของสมอง ถ้าสมองหยุดนิ่งคือ ตาย ก็จบ  ลองคนเป็นอัมพาต สมองไม่ทำงาน ไม่คิดแล้ว จะไปนึกเรื่องสวรรค์ได้ย่างไร

คำถามนี้ดี เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ กายนิยม  ลองตอบปัญหานี้ดู  จะส่งให้หมออ่าน อยากให้โต้กับหมอเลย เพราะหมอแกเชื่ออย่างจริงจังว่า ทุกอย่างจบแค่นี้  สวรรค์ นรก คือ เรื่องของประสาทสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีโลกสวรรค์อื่นที่พ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะมีสวรรค์ นรกก็มีแค่ตรงนี้  สวรรค์ในอก นรกในใจ  สวรรค์ นรก นอกนี้เป็นเรื่องแต่ง  ความคิดมาทางแนวท่านพุทธทาสเลย

ตอบ

มึงบอกไอ้หมออาวุโสไปดังนี้  แล้วให้มันพิมพ์สิ่งที่กูเขียน แจกต่อคนอื่นด้วย 100 ชุด

Hi doc!

You are forgetting the fundamental physics or basic science  that matter and energy cannot be created or destroyed, they can only be converted from one form to another form.

So none in this world used to die truly, all deaths are faked.  When human’s body die, it is only his matter disappeared.  In fact, his matter has already been converted from one form(matters) into energy form called spirit or soul.

Goodness is a positive energy and is a negative energy.  When you did goodness to the other person, the other person will usually return the goodness to you. When you did badness to the other person, the other person will usually return the badness to you.   

For example, I often treat you to a good dinner, it is hardly impossible that you compensate me with shooting me. 

If there is only one life, when you help me 100 times, and you die.  How can I compensate your goodness?  Therefore, the basic science that matter and energy cannot be created or destroyed, they can only be converted from one form to another form.   Is this rule incorrect?   Is it unusable applied in case of the matter(human being) and energy(soul )?

But because one human being has many lives – there is a life in form of energy(soul) after his death too,  and there is reincarnations.  So the basic science, the matter(human being) and energy(soul ) cannot be created or destroyed, they can only be converted from one form to another, is true and workable.

แปล

คุณกำลังลืมกฎวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่ว่า  สสารและพลังงานย่อมไม่เกิดขึ้นใหม่ หรือถูกทำลายไป  พวกมันเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากแบบหนึ่งเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น

ดังนั้น ไม่มีใครในโลกใบนี้เคยตายจริงๆเลย  ความตายทั้งหมดเป็นของปลอม  เมื่อกายมนุษย์ตาย มันเป็นสสารของเขาหายไปเท่านั้น  ความจริงแล้ว สสารอันนั้นได้ถูกเปลี่ยน
รูปแบบเป็นรูปแบบพลังงาน ที่เรียกว่า วิญญาณ

ความดีเป็นพลังงานด้านบวก  ความชั่วเป็นพลังงานด้านลบ  เมื่อคุณทำความดีกับคนอื่น ตามปกติคนอื่นจะตอบแทนคุณด้วยความดี  เมื่อคุณทำความเลวกับคนอื่น  ตามปกติคนอื่นจะตอบแทนคุณด้วยความเลว

ตัวอย่าง คุณเลี้ยงผมด้วยอาหารเย็นดีๆ  มันเป็นไปได้ยากมากว่า คุณจะตอบแทนคุณผมด้วยการยิงผม

ถ้าชีวิตมีเพียงชาติเดียว เมื่อคุณช่วยผม 100 ครั้ง และคุณเกิดตาย ผมจะตอบแทนความดีของคุณได้อย่างไร  ดังนั้นกฎวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่ว่า  สสารและพลังงานย่อมไม่เกิดขึ้นใหม่ หรือถูกทำลายไป  พวกมันเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากแบบหนึ่งเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น  กฎนี้ก็ผิดใช่ไหม ใช้งานไม่ได้สำหรับมนุษย์และพลังงานของมนุษย์(วิญญาณ)น่ะซิ?

แต่เพราะว่ามนุษย์คนหนึ่งมีหลายชีวิต  ซึ่งคือมีชีวิตที่เป็นพลังงานหลังจากที่เขาตายแล้วด้วย  และมีการเวียนว่ายตายเกิดมากมาย  ดังนั้น กฎวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่ว่า  สสารและพลังงานย่อมไม่เกิดขึ้นใหม่ หรือถูกทำลายไป  พวกมันเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากแบบหนึ่งเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น กฎนี้จึงเป็นจริง และใช้งานได้

From: banna
To: phonsak1

 ไม่ค่อยตรงกับที่เขาเถียง เขาสงสัยว่า สมองเป็นทุกอย่าง จิต วิญญาณ ต่างหาก ฉะนั้น หากสมองตาย ทุกอย่างก็ไม่มีแม้แต่วิญาณ เพราะสมองคือทุกอย่าง  ประเด็นของหมออยู่ตรงนี้

ตอบ

วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ยังล้าหลังอยู่มาก  มนุษย์มันมี 2 สมองโว๊ย 1. สมองของกายเนื้อ 2. สมองของกายฝัน(กายทิพย์) เวลาที่หมอหรือมึงนอนหลับ  หมอกับมึงฝันได้อย่างไรวะ  มันมีอีกจิตวิญญาณหนึ่งที่เป็นตัวของพวกมึง คือ อยู่ในความฝัน  ภาษาสมัยใหม่เรียกจิตวิญญาณในความฝันว่า  จิตใต้สำนึก  ภาษาพุทธศาสนาเรียกว่า ภวังค์จิต
สมองของกายเนื้อไม่ได้เป็นทุกอย่างโว๊ย เพราะมนุษย์เรามี 2 จิต วิญญาณ  จิต วิญญาณแรก  เป็นสมองของกายเนื้อ และเป็นทุกอย่างของกายเนื้อในชาติปัจจุบัน   แต่เวลาที่เราตายหรือเราฝัน  มันเป็นเวลาที่จิตใต้สำนึก หรือ จิตวิญญาณในความฝัน(ภวังค์จิต) มันทำงานโว๊ย 

-       โลกของสมองของกายเนื้อเป็นโลกเมื่อตอนเราตื่นหรือรู้สึกตัว  โลกของสมองของกายฝัน(กายทิพย์) เป็นโลกเมื่อตอนเราหลับแต่ไม่สนิท 100%

-       จิตวิญญาณในความฝัน มันเก็บความจำในความดี ความชั่วที่เราทำไว้ในชาติปัจจุบันตอนที่เราเป็นกายเนื้อ   พลังงานของบุญและพลังงานของบาป ที่เราทำไว้ในกายเนื้อ เป็นตัวหล่อเลี้ยงเราในโลกของสมองของกายฝัน(กายทิพย์)

แล้วตอนที่มึงและไอ้หมอม่องเท่ง สมองกายเนื้อของพวกมึงตาย  โลกของกายเนื้อและสมองกายเนื้อมันสลายไปแล้ว  แต่โลกของกายฝัน(กายทิพย์)  และสมองกายฝัน(กายทิพย์)เพิ่งเริ่มขึ้น  ไอ้หมอแม่งกะปรินิพพานไปเลยโดยไม่ปฏิบัติ  เลยหลอกตัวเองว่า สมอง(กายเนื้อ)คือทุกอย่าง  และปฏิเสธว่า สมองของกายฝันของตัวเองว่า ไม่มีจริง  หมอมันจึงพูดว่า ถ้าสมอง(กายเนื้อ)ไม่ทำงาน คือ ไม่มีสวรรค์ นรก แล้ว

สมองหยุดนิ่งคือ ตาย = ปรินิพพาน  ใช่…  ถ้าสมองของไอ้หมอมันมีสมองเดียว คือ สมองของกายเนื้อ  แต่เพราะว่า สมองของไอ้หมอมันมีอีกสมองหนึ่ง อยู่ในกายฝัน(กายทิพย์)ของมันยังไงล่ะ  มันจึงมีสวรรค์ นรก  และกฎวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่ว่า  สสารและพลังงานย่อมไม่เกิดขึ้นใหม่ หรือถูกทำลายไป พวกมันเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากแบบหนึ่งเป็นอีกแบบหนึ่งเท่านั้น กฎนี้จึงเป็นจริง และใช้งานได้

คนเป็นอัมพาต สมองไม่ทำงาน ไม่คิดแล้ว จะไปนึกเรื่องสวรรค์ได้ย่างไร ….  มึงไปถามไอ้หมอว่า  มันรู้ได้อย่างไรว่า นายอัมพาตคนนี้  กายทิพย์(กายฝัน) กายทิพย์หรือกายฝันของมัน ไม่ได้กำลังไปอยู่ในสวรรค์หรือในนรก

กูว่า…  มึงแนะนำให้ไอ้หมองี่เง่าของมึงซื้อหนังสือเรื่อง life after death  ที่หมอรายหนึ่งเล่าเรื่องคนไข้ที่ตายแล้วฟื้นหลาย 100 รายเล่าให้หมอฟัง  หมอมือใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์เจอคนไข้ที่ตายแล้วฟื้นเท่านั้น จึงบอกว่า ไม่มีนรก สวรรค์ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด  และพยายามไม่ยอมรับกฎวิทยาศาสตร์พื้นฐานเรื่องสสารและพลังงาน  หมอแม่งตั้งกฎวิทยาศาสตร์ใหม่เอาเองเลยว่า  สสาร(กายเนื้อมนุษย์)สามารถถูกทำลายได้  โดยไม่ต้องเปลี่ยนเป็นพลังงาน(จิตวิญญาณ)

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ แดรก

คนดีอธิบายกายเนื้อเป็นสสาร วิญญาณ(กายฝัน)เป็นพลังงาน ได้ดีจริงๆ

เมื่อสสารและพลังงานไม่เกิดขึ้นใหม่ โดนทำลายก็ไม่ได้ มันก็มีแต่เปลี่ยนกลับไปกลับมาระหว่างการเป็นกายเนื้อ-สสาร และการเป็นวิญญาณ(กายฝัน)-พลังงาน

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ในมหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ ว่า:

"ดูกรอานนท์เพราะนามรูป
(สสาร)เป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ(พลังงาน) เพราะวิญญาณ(พลังงาน) เป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป(สสาร)..."

ผมยกนิ้วให้เลยครับ...อัจฉริยะทางศาสนาจริงๆ

ตอบ

ดีใจด้วยครับที่ยังมีผู้เข้าใจในข้อเขียนของผม และเข้าถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

นามรูป (กายมนุษย์เก่า-สมองเก่า)เป็นปัจจัยให้เกิดเกิดวิญญาณ(พลังงาน) แล้ววิญญาณ(พลังงาน) เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป(กายมนุษย์ใหม่-สมองใหม่)

0 comments:

แสดงความคิดเห็น