A A

5 กรกฎาคม 2558

สุดยอดของเรื่องธรรมะ 4 เรื่อง ที่พวกคุณไม่มีทางหาความรู้ได้จากที่ไหนในทุกภพภูมิ

สุดยอดของเรื่องธรรมะ 4 เรื่อง ที่พวกคุณไม่มีทางหาความรู้เหล่านี้ได้จากที่ไหนในทุกภพภูมิ
ผมเหงาใจจริงๆที่ต้องรู้อยู่คนเดียว  เลยต้องระบายออกให้ฟัง
ใครอ่านรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง ขึ้นกับบุญบารมีของเขา

1.  พระราหูขาว(ไฉซิ้งเอี้ย)อธิบาย กาย 3 กายของพระอรหันต์ และปรินิพพาน
2.  เรามาเข้าใจเรื่องพญามาร และ พุทธะให้ละเอียดเพิ่มขึ้นสักนิด
3.  เกมการเล่นของพวกเรา เหล่าอณูของใจ คือเกมคนหาตัวเองว่า ใจหรือปรินิพพานมีอยู่จริง
4.  แดนนิพพานที่มีบ้านมีเมือง(พุทธเกษตร) และแดนนิพพานที่ไม่มีบ้านมีเมือง(ปรินิพพาน)

1.  พระราหูขาว(ไฉซิ้งเอี้ย)อธิบาย กาย 3 กายของพระอรหันต์ และปรินิพพาน

เทพเจ้าพระราหูขาว(ไฉซิ้งเอี้ย)  อธิบายเรื่องกายของพระอรหันต์ที่ดับขันธ์ 5 ไปแล้วว่าคือ ธรรมกาย  และก็มีกายทิพย์พระอรหันต์ในพุทธเกษตร(เมืองนิพพาน) นอกจากนี้ก็ยังมีกายทิพย์พระอรหันต์ในสวรรค์ชั้นดุสิตด้วย  และท่านก็อธิบายความแตกต่างของกายเหล่านี้กับปรินิพพานด้วย

กายของพระอรหันต์ที่ดับขันธ์ 5 ไปแล้ว มี 3 กาย

1. ธรรมกาย  หรือ อายตนะนิพพาน  
เป็นกายแสง  ไม่ใช่กายที่เป็นธาตุดินน้ำลมไฟ ฯลฯ

2. กายทิพย์พระอรหันต์ในสวรรค์ชั้นดุสิต  เป็นกายทิพย์ที่จิตสร้างขึ้นมา  จะมีรูปเหมือนกับตัวเราที่เป็นมนุษย์  หรือจะอยู่ในรูปอื่นได้ก็ได้  คือ แปลงกายแปลงร่างได้

3. กายทิพย์พระอรหันต์ในพุทธเกษตร(เมืองนิพพาน) หรือสัมโภคกาย เป็นกายทิพย์ที่จิตสร้างขึ้นมา คล้ายคลึงกับกายทิพย์พระอรหันต์ในสวรรค์ชั้นดุสิต

ความแตกต่างของธรรมกายกับกายทิพย์พระอรหันต์  คือ  ธรรมกายจะไม่ค่อยไปยุ่งในเรื่องของ 31 ภพภูมิ  แต่กายทิพย์พระอรหันต์  เป็นพระโพธิสัตว์ ที่ไม่ยอมละทิ้งความเมตตากรุณาออกจากใจ  พวกท่านจึงเข้าไปยุ่งในเรื่องของ 31 ภพภูมิ

ปรินิพพานไม่มีกาย มีแต่จิตว่างและว่างเท่านั้น  ในขณะที่ธรรมกาย มีทั้งจิตว่างและจิตว่าง + กายหรือรูป  จึงเรียกได้ว่า ปรินิพพานเป็นอรูปจิต  ในขณะที่นิพพาน หรือ อายตนะนิพพาน หรือธรรมกายเป็นแสงจิต  ส่วน กายทิพย์ในสวรรค์ชั้นดุสิต  และในพุทธเกษตร(เมืองนิพพาน)เป็นรูปจิต

อ้างถึง


ธรรมชาติของพระราหูไม่มีขาวหรอก อย่ามามั่ว มีแต่ดำนั่นแหละ

adult โพสต์ 

ตอบ

กาย+จิตของแต่ละท่าน มันมีซ้อนทับกันอยู่ 18 กายจิต  จากกายจิตของสัตว์นรกอเวจี  ขึ้นไปถึงกายจิตของพระอรหันต์ละเอียด  แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ปฏิบัติไม่ถึงขั้นอนาคามี และวิชา 3 ขึ้นไปยากที่จะเข้าใจได้  ผมจึงไม่บังคับให้ใครเชื่อผม

กายจิตของพระราหูเช่นกัน  พระราหูก็มีกายจิตที่เป็นอสูร  แล้วมีกายจิตของท่านอีกจำนวนมาก  อยู่ในภพภูมิอื่นๆ  กายจิตของพระราหู 60 องค์เป็นเทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ย  เทพผู้คุ้มครองดวงชะตา บันดาลความสุขและความทุกข์

พระราหูองค์ที่ใหญ่สุดเป็นอรหันต์โพธิสัตว์ ที่โคตมพระพุทธเจ้าของเราทำนายว่า พระราหูองค์นี้จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 นามว่า พระนารทพุทธเจ้า  แต่ตอนนี้ท่านทำหน้าที่เป็นพระราหูขาว(ไฉซิ้งเอี้ย) เทพเจ้าที่ให้คุณทางด้านเงินทอง และโชคลาภ(เทพเจ้าแห่งโชคลาภ)ไปก่อน


2.  เรามาเข้าใจเรื่องพญามาร และ พุทธะให้ละเอียดเพิ่มขึ้นสักนิด

พญามารมี 3 ชนิด

1. พญามารเป็นกายจิตหรือกายใจที่ยุยงให้ผู้อื่นทำแต่ความชั่ว  บางทีเรียกว่า "ซาตาน" พญามาร ชนิดนี้อยู่ในนรกและอยู่ในจิตเหี้ยๆของพวกเรา

2. พญามารเป็นกายจิตหรือกายใจที่ยุยงให้ผู้อื่นทำแต่ความดีทางโลก พญามาร ชนิดนี้อยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุด คือ ปรนิมมิตวสวัตดีภูมิ เป็นสวรรค์ชั้นที่  ที่มีความสุขความสำราญ

เทวดาพวกนี้แหละก็เรียกว่ามาร เพราะคอยสกัดกั้นขวาง มิให้คนเราได้เข้าถึงมรรคผล หรือสำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

3. พญามารเป็นกายจิตหรือกายใจที่ยุยงให้ผู้อื่น เข้าใจข้อธรรมะผิดไป  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ ตัวคุณsupermarn นั่นแหละเป็นพญามารชนิดนี้  พอจะเริ่มเข้าใจธรรมะในระดับที่สูงขึ้น  อยู่ๆก็เสือกโง่ฉิบไปเสียอย่างนั้น  เนื่องจากความเห็นผิดหลายประเด็น

ที่สำคัญคือไม่เข้าใจว่า 
"ใจ" = "จิต" = ปรมัตถธรรม  จิต เจตสิก รูป นิพพาน =  กายและจิตสังขาร(รูปนาม)โดยมีใจบริสุทธิ์ หรือจิตมหาบริสุทธิ์ คือ กายจิตธรรมกาย และกายจิตสัมโภคกาย อยู่ในสุด = ขันธ์ 5  โดยมีใจบริสุทธิ์ หรือจิตมหาบริสุทธิ์ คือ กายจิตธรรมกาย และกายจิตสัมโภคกาย อยู่ในสุด คือ ชั้นที่ 17-18 (อรหันต์หยาบ และอรหันต์ละเอียด ผู้เข้าถึงอรหันต์หยาบหรือละเอียดศาสนาอื่นเขาเรียกว่า "เทพเจ้าหรือพระเจ้า" )

สรุป

จิตและกายของคุณsupermarn(ซูเปอร์มาร) นั่นแหละที่เป็นพญามารชนิดนี้ ชาวพุทธเรียกว่า "อภิสังขารมาร"

จิตและกายของ ผม(Phonsak) เป็นพุทธะ  ผมอยู่ตรงกันข้ามกับคุณเลย ชาวพุทธเรียกว่า "นิตยโพธิสัตว์องค์แรก" หรือผู้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปหลังจากพระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า


3.  เกมการเล่นของพวกเรา เหล่าอณูของใจ คือเกมค้นหาตัวเองว่า ใจหรือปรินิพพานมีอยู่จริง

ตอนนี้คุณเข้าใจหรือยังล่ะว่า  ทำไมเราที่ไม่มีทุกข์ จึงเปล่าเปลี่ยว  เพราะไม่มีใครหรืออะไรรู้ว่า เรา "ใจ" หรือ ปรินิพพาน มีตัวตน  เราจึงต้องสร้างพระเจ้า สร้างมนุษย์และสรรพจิตใน 16 โลก แต่ละโลกมี 13 มิติ ขึ้นมา  เพื่อให้พวกเขาซึ่งก็คือเรา  ช่วยรับรองว่า  กูไม่ได้บ้า  กู "ใจ" หรือ ปรินิพพาน มีตัวตนจริงๆ  แต่มึงมองไม่เห็นกูด้วยอายตนะใดๆทั้งสิ้น  นอกจากด้วยใจของมึง

พวกเราแต่เดิมเป็น "ใจ" หรือนิพพานแท้ หรือปรินิพพาน พวกเราเป็นจิตที่ว่างเปล่า อยู่ในความว่างเปล่า ไม่มีอวิชชา  ภาวะนั้นมันดีและประเสริฐที่สุดแล้ว  แม้ว่าจะไม่มีทุกข์  แต่มันเปล่าเปลี่ยว  เพราะต้องอยู่ตามลำพังเพียงหนึ่งเดียวในความว่างเปล่าชั่วนิรันดร   ใจ....จึงไปสร้างจิตปภัสสรในจักรวาลและนอกจักรวาล ที่มีกายให้ช่วยมายืนยันว่า "ใจ" หรือนิพพานแท้ หรือปรินิพพาน มีอยู่จริงๆ

อธิบายให้ชัดขึ้น 

เรา "ใจ" ปรินิพพาน ได้คิดเกมส์เล่น ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย เกมนั้นเป็นเกมค้นหาตัวเอง  โดยใจหนึ่งเดียวนั้น สั่งให้ตัวเองกระจายตัวเองออกเป็นใจน้อยๆจำนวนเป็นอนันต์ แล้วให้ใจน้อยๆที่มีฤทธานุภาพไม่จำกัดนั้น  สร้างเมืองนิพพาน(พุทธเกษตร)  เป็นที่อยู่ของใจน้อยๆ  ซึ่งตอนนี้เนรมิตตัวเองออกเป็นธรรมกาย และกายทิพย์มหาบริสุทธิ์ หรือพระเจ้าแล้ว  หลังจากนั้น พระเจ้าก็ทำการสร้างสรรพสิ่งต่างๆจากธาตุ 4  เมื่อสร้างเสร็จแล้ว เราก็ให้กายทิพย์มหาบริสุทธิ์ต่างๆ ลืมตัวเองว่าเป็นพระเจ้า  โดยให้อวิชชาเข้ามาลวงจิตที่ปภัสสรเหล่านั้นได้

เกมส์ค้นหาคนเองจึงเริ่มต้นขึ้นหลังจากจิตติดอวิชชา  จนในที่สุดเราก็ตกภูมิลงมา  อาจจากเมืองนิพพาน  ลงมาอยู่ในเมืองพรหมโลก  และก็ร่วงลงมาเรื่อยๆ ลงมาเกิดในสวรรค์  ในโลกมนุษย์ และภพภูมิอื่นๆ  รวมทั้งในอบายภูมิต่างๆ

จุดมุ่งหมายของพวกเรา คือ ต้องหาทางกลับบ้านเก่า(เมืองนิพพาน)ให้ได้  เราจึงจะช่วยยืนยันได้ว่า "ใจ" หรือ ปรินิพพาน มีตัวตนจริงๆ  รู้ได้ด้วยใจของพระเจ้า(อรหันต์)เท่านั้น


4.  แดนนิพพานที่มีบ้านมีเมือง(พุทธเกษตร) และแดนนิพพานที่ไม่มีบ้านมีเมือง(ปรินิพพาน)

ความว่างมีอยู่หลายชนิด มีทั้งความว่างที่ไม่มีตัวตน และความว่างที่มีตัวตน  หลวงปู่ดู่จึงสอนว่า

"แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลย  เป็นสภาพของความว่างเปล่า  แต่ไม่ใช่สูญนะแก"

ก่อนหน้านั้นหลวงปู่ดู่พูดถึงกุฏิของพระพุทธเจ้า วิมานแก้ว และวิมานพระธรรม คือ สิ่งที่มีอยู่ในเมืองนิพพาน 
เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของ พระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม ...."

เจตจำนงของความว่างเปล่าของใจ(ปรินิพพาน)เป็นผู้สร้างเมืองนิพพาน(พุทธเกษตร) เป็นที่อยู่ของพระเจ้า(พระอรหันต์) และให้พระเจ้า(พระอรหันต์)สร้างที่อยู่ของสรรพจิตที่ติดกิเลสและอวิชชา คือ สร้างโลก และจักรวาล รวมทั้งนรกสวรรค์และพรหมโลก

โลก และจักรวาล รวมทั้งนรกสวรรค์และพรหมโลก ล้วนเป็นของสูญที่ไม่มีตัวตน แต่ความยึดมั่นถือมั่นของพวกเรา ลวงหลอกพวกเราให้เห็น สิ่งที่ว่างเปล่าเหล่านั้นเป็นของจริง และมีตัวตน

ส่วนแดนนิพพานที่มีบ้านมีเมือง เกิดจากจิตว่างที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น สร้างเมืองจำแลงนี้ขึ้นมา เพื่อให้ผู้บรรลุอรหันต์ ที่เป็นธรรมกาย และเป็นกายทิพย์มหาบริสุทธิ์ได้มีที่อยู่ เพื่อสอนให้ทุกสรรพจิตที่ติดอวิชชา ได้เข้าถึงนิพพาน  ถ้าจิตว่างที่เป็นกายทิพย์และธรรมกายเหล่านั้น ไม่ต้องการที่อยู่ และไม่มีกิจใดต้องทำอีก  ก็เข้าสู่ปรินิพพาน เป็นจิตว่างเฉยๆไป

ความสุขอย่างยิ่งยวด เรียกว่า "นิโรธ" ไม่ต้องการอาศัยสิ่งใดทำให้มันสุข แค่ปล่อยวางทุกสิ่งออกจากใจ ก็เป็นสุขแล้ว  จิตปรินิพพานจึงสามารถอยู่ในความว่างได้ชั่วนิรันดร

0 comments:

แสดงความคิดเห็น