A A

7 มิถุนายน 2558

พระโคตมพุทธเจ้าสอนใบไม้ในกำมือ เมตไตยโพธิสัตว์สอนใบไม้นอกกำมือ

คำพยากรณ์ในทางเถรวาท

ดู ก่อนอานนท์ ผ้าอาบของตถาคต ได้แก่ ศาสนาที่ตถาคตวางไว้ ลิงแม่ลูกอ่อนที่มาถ่ายมูลเลอะเทอะหมดถึง 3 ชายนั้น ได้แก่ กองทัพ ซึ่งจะมารบราฆ่าฟันกันตาย เหลือที่จะคณานับ ศาสนาของตถาคตจะเสื่อมทรุดไปถึง 3 ใน 4 ส่วน คงค้างอยู่แต่เพียงส่วนเดียวและนกยางขาวที่บินมาจับหัวแม่ลิงนั้น คือ พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ จะมาปราบอธรรม และช่วยสืบอายุศาสนาของตถาคต เริ่มตั้งแต่ 2,500 ปีขึ้นไป จนครบ 5,000 ปี" 

ผม พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ คือ พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์องค์นั้นที่คัมภีร์เถรวาทพูดถึง ผมมาเพื่อปราบอธรรม ผมยับยั้งมหาสงครามใหญ่ระหว่างซีเรีย+อิหร่าน+รัสเซียหนุน vs สหรัฐ+กลุ่มยุโรป ฯลฯ รวมทั้งยับยั้งสงครามในเมืองไทยที่จะเกิดขึ้นเพราะพรบ.นิรโทษกรรมด้วย

คำพยากรณ์ในทางมหายาน

พระพุทธองค์ได้ตรัสไปในทางมหายานว่า
 3,000 ปีหลังพุทธกาล พุทธศาสนาใกล้เสื่อมสิ้นแล้ว
 พระเมตไตยมหาโพธิสัตว์ จะเสด็จลงจากดุสิตสวรรค์สู่โลกมนุษย์ เพื่อยังพระธรรมให้บริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง 

ปัญหาคือ

พุทธศาสนาโดยเฉพาะเถรวาทของเรา
 ล้วนเป็นเรื่องของใบไม้ในกำมือ ไม่สามารถใช้อธิบายความรู้ในโลกปัจจุบันได้ แล้วยิ่งไม่สามารถใช้อธิบายความรู้ในโลกอนาคต3,000 ปีหลังพุทธกาล (หรือหลังจาก พ.ศ. 3560) ถ้าพระเมตไตยมหาโพธิสัตว์องค์ที่จะมาในโลกอนาคต3,000 ปีหลังพุทธกาล ไม่รู้เรื่องอะไรที่เพิ่มมากกว่าใบไม้ในกำมือเดียวของพระพุทธเจ้าสอน เช่น

-
 ไม่รู้เกี่ยวกับควอนตัมฟิสิกส์สูงสุด 
-
 ไม่รู้ว่าหลุมดำแต่ละหลุมนั้นคือ จิตหนึ่งในแดนนิพพาน 
-
 ไม่รู้และสามารถอธิบายได้ว่าทำไมจักรวาลคู่ขนานถึงมี 13 มิติ ฯลฯ 
-
 ไม่รู้และไม่สามารถอธิบายได้ว่า บาปที่แต่ละคนทำไว้ จะทำให้โลกมนุษย์ฉิบหายและวิบัติไวขึ้น ฯลฯ 

พระเมตไตยมหาโพธิสัตว์องค์นั้นจะไปสอนผู้ทรงความรู้ทางโลกได้อย่างไรกัน
 ด้วยเหตุนี้ พระเมตไตยมหาโพธิสัตว์จึงต้องอุดมไปด้วยความรู้ และต้องสามารถอธิบายเรื่องใบไม้นอกกำมือ ที่พระโคตมพุทธเจ้าไม่ค่อยอธิบายในยุคของพระองค์ เพราะวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นไม่ค่อยเจริญ 

แต่ในยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญมากแล้ว
 ถ้าพุทธะคนนั้นไม่มีความรู้ทางโลกเลย จะไปสอนให้ผู้คนเข้าถึงความบริสุทธิ์ย่อมทำได้ยากมาก เพราะตอบคำถามชาวโลกที่เจริญแล้ว ถามท่านไม่ได้ แล้วใครจะไปเชื่อว่า พระเมตไตยมหาโพธิสัตว์จะยังพระธรรมให้บริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่งได้จริงๆ ถ้าท่านไม่มีภูมิความรู้ทางโลกเลย มีแต่ภูมิความรู้ทางธรรมอย่างเดียว

อนึ่ง
 พระนิตยโพธิสัตว์ เมื่อได้อาสวักขยญาณแล้ว แต่ถ้าท่านไม่ยอมทิ้งความเมตตากรุณาออกจากใจของท่าน ท่านก็จะกลายเป็น “อรหันต์โพธิสัตว์” ไป ซึ่งจะมีทั้งกายและใจอยู่ในพุทธเกษตรเมืองนิพพาน เช่น เจ้าแม่กวนอิม แต่ถ้าท่านตั้งความหวังว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าด้วย กายและใจของท่านจะไปอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต แทนที่จะอยู่ในพุทธเกษตร

ความเมตตากรุณาในใจของพระอรหันต์ที่ปรารถนาจะเป็นพุทธเจ้า
 จะนำท่านลงมาเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายชาติ ซึ่งท่านก็จะได้อรหันต์ซ้ำอีกหลายชาติ แต่ท่านก็ไม่ยอมเข้านิพพานเหมือนเดิม เพราะท่านยังไม่สำเร็จกิจใหญ่ที่ท่านต้องการ คือ เป็นพระพุทธเจ้านำผู้คนจำนวนมากเข้านิพพาน 

ด้วยเหตุนี้
 พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ จึงเป็น “อรหันต์โพธิสัตว์” ที่ยังไม่ยอมเข้าอยู่ในนิพพาน(พุทธเกษตร) ท่านจะดำรงอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อลงมาจุติต่อ และนำเอาความรู้ทางโลกที่เป็นใบไม้นอกกำมือของท่านไปสอนผู้อื่น เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ยึดติดในเรื่องใบไม้นอกกำมือต่างๆ จะได้ฝึกจิตของตนต่อไปให้ถึงพระธรรมบริสุทธิ์

สรุป
 

เถรวาทในยุคพุทธกาล
 เป็นพวกที่ต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์เท่านั้น เรื่องภายนอกอื่นๆทางโลกเขาไม่ค่อยสนใจ พระโคตมพุทธเจ้าของเราจึงสอนพุทธเถรวาทเรื่องใบไม้ในมือเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเริ่มต้นที่จิตปภัสสรทุกดวง ไปติดอวิชชา(กิเลสตัณหา) ทำให้ปฏิจจสมุปบาทเริ่มต้นขึ้น แล้วต้องลงมาอยู่ใน 31 ภพภูมิ รวมถึงโลกมนุษย์ด้วย

แต่มหายานในยุคพุทธกาล
 เป็นพวกที่สงสัยใคร่รู้อย่างมาก โดยเฉพาะเรื่อง God ซึ่งยุคนั้นเรียกว่า ศิวะ(อิศวร) พรหม และนารายณ์ พระโคตมพุทธเจ้าจึงต้องสอนพวกเขาเริ่มจากจุดเริ่มต้นก่อนอวิชชา พระพุทธองค์ก็ตรัสบอกทางมหายานว่า พระเจ้าผู้ในกำเนิดทุกอย่างเรียกว่า อาทิพุทธ ซึ่งพระพุทธองค์ก็เป็นจิตของอาทิพุทธ ที่เรียกว่า "พระไวโรจนพุทธเจ้า" 

นอกจากนี้
 พระพุทธองค์ก็บอกไปทางเถรวาทเช่นเดียวกันว่า พระพุทธองค์ ก็คือ God ลองคิดดูจะมีใครล่ะที่สามารถเปิดโลกในทุกภพภูมิให้ทกจิตดูได้ด้วยตา ถ้าผู้นั้นไม่ใช่พระเจ้าผู้สร้าง(อาทิพุทธ)

0 comments:

แสดงความคิดเห็น