A A

4 เมษายน 2558

วิเคราะห์คำสอนเรื่องปราบมาร พระพุทธเจ้า 3 ภาค และอาทิพุทธ

คำว่า ปราบมาร เป็นคำที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านใช้สมัยที่หลวงพ่อมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อได้ทำงานสำคัญอย่างหนึ่ง งานนั้นคือ ปราบมาร หมายความว่า ต้องเป็นวิชาธรรมกายชั้นสูง จึงจะรู้จึงจะเห็น แล้วใช้ความรู้ชั้นสูงนั้นไปกำจัดอวิชชา ( มาร ) ที่มายึดอำนาจปกครองในธรรมภาคพระ

งานปราบมารคือเนื้อหาสำคัญที่สุดในชีวิตของหลวงพ่อ การที่อวิชชา ( มาร ) มายึดอำนาจปกครองเช่นนี้ มีผลกระทบต่อมรรคผลนิพพาน มีผลกระทบต่อธาตุธรรม มีผลกระทบต่อมนุษย์ เกิดความเดือดร้อน มีการข่มเหงรังแกกัน เกิดสงคราม เกิดกลียุค ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาลและทุกข์ร้อนด้วยประการต่างๆ ต้องเรียนวิชาธรรมกายถึงระดับแก่กล้า จึงจะรู้ จึงจะเห็น จึงจะทราบว่า มาร ” ....

นั่นเป็นคำกล่าวของคุณการุณย์ บุญมานุช  ลูกศิษย์หลานศิษย์ของหลวงพอสดนะครับ  ผมอ่านแล้วทุเรศมากๆ  มีความรู้ทางธรรมนิดหน่อย  ก็ไปมั่วกับความคิดของมารในใจตน  แล้วทะลึ่งมาเขียนหนังสือปราบมารภาค ๑ - ๖  ผมไม่อยากให้ความรู้ห่วยแตกของผู้ที่โดนมารสิงท่านนี้ แพร่ขยายออกไปเรื่อยๆ  ผมจึงต้องมาเปิดเผยเรื่องปราบมาร พระพุทธเจ้า 3 ภาค อาทิพุทธ และต้นธาตุให้ฟัง


มารคืออะไร?

ในเบื้องต้น คุณการุณย์เข้าใจถูกแล้วว่า  มารคือกิเลส ตัณหา อุปาทาน  พูดกันง่ายๆว่า มารคืออวิชชา มารคือทุกข์และสมุทัย(เหตุให้เกิดทุกข์)  มารคือ กิเลสมาร ขันธมาร มัจจุราชมาร อภิสังขารมาร


ผม Phonsak ขอเพิ่มว่า  มารคือความคิดนึกทุกชนิด ที่จิตของเราไปนำกิเลสตัณหาเข้ามาผสมโรงกับความสงบว่างในจิต  

ความสงบว่างในจิต = พุทธะ หรือ อรหันต์ ซึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นแล้วจากความฝัน  เพราะมนุษย์และสรรพชีวิตในทุกภพภูมิล้วนเป็นความฝัน หรือจินตนาการของพุทธะ หรือ อรหันต์ ที่ยังไม่ยอมตื่น  หัวหน้าของพุทธะ หรือ หัวหน้าของอรหันต์ คือ  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์

ความคิดนึกจากกิเลสตัณหา =  มาร  หัวหน้าของมาร คือ พญามาร

แยกให้ง่ายสุด  คำว่า จิต มี 2 ชนิด 1. จิตสงบว่าง(พุทธะ)  2. จิตหวั่นไหวด้วยแรงของความคิดนึกจากกิเลสตัณหา

ปราบมาร คืออะไร?

ปราบมาร คือ ปราบกิเลสตัณหาและอุปาทานในใจ  หรือปราบมาร คือ ปราบหรือกำจัดความทุกข์ทั้งหมดออกจากใจ

 ที่คุณการุนย์ อ้างว่า  ทั้งในนิพพาน(เมืองนิพพาน) และใน 3 ภพ  โดนมารปกครอง  วิธีการปกครองของมารมี 2 อย่าง

               ก. ปกครองใหญ่ คือ ปกครองธาตุธรรม ได้แก่ ปกครองนิพพาน

               ข. ปกครองย่อย คือ ปกครองภพ 3 ใครที่อยู่ในภพ 3 เขาปกครองหมด

คุณการุณย์เข้าใจถูกต้องในข้อ ข.เพียงข้อเดียว ที่ว่า มารปกครองย่อย คือ ปกครองภพ3 ใครที่อยู่ในภพ 3 เขาปกครองหมด  แค่คุณการุณย์เข้าใจผิดที่ว่า  มารเขาปกครองหมด คือ ปกครองธาตุธรรมและปกครองสัตว์โลก ทิพย์ พรหม อรูปพรหม จักรพรรดิ กายสิทธิ์ด้วย....ไร้สาระสิ้นดี  เพราะว่าคุณการุนย์แม้แต่หลวงพ่อสดไม่เข้าใจคำว่า พระพุทธเจ้าภาคดำ  เลยไปตีความผิดๆว่า ภาคดำคือมาร  ผมจะอธิบายให้ฟังในหัวข้อถัดไปนะครับ

แต่ในที่นี้  ผมต้องบอกคุณการุณย์ก่อนว่า  พระพุทธเจ้าคือ อรหัง(ผู้ปราศจากกิเลส) สมฺมาสมฺพุทฺโธ(ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์)และเป็นสัพพัญญู-รู้หมดทุกอย่าง  แล้วคุณการุณย์ซี้ซั๊วเขียนว่า  
ธรรมภาคมารเอาพระพุทธเจ้านิพพานเป็นไปกักขังไว้จำนวนมาก และเมื่อคำนวณละเอียดเข้าไป พบว่า จักรพรรดิสำคัญถูกธรรมภาคมารเอาตัวไปกักขังไว้อย่างมากมายทีเดียว  ผมคิดว่า  คุณควรไปนอนโรงพยาบาลบ้าได้แล้ว  คุณคิดว่าเรื่องระดับสูงในเมืองนิพพานคงไม่มีคนรู้ความจริงล่ะมั๊ง  ผมจะสอนคุณเอง  

พระพุทธเจ้า 3 ภาค และอาทิพุทธ 

แรกเริ่มเดิมที จักรวาลไม่มีอะไรเลย  เป็นแค่ความว่างอย่างยิ่ง  แต่มีสิ่งหนึ่งที่อยู่ในความว่างนั้น  สิ่งนั้นคือ นิพพานจิต หรืออาทิพุทธ

 
ฮวงโป กล่าวว่า:

"
จิตหนึ่งซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้ 
เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น และไม่อาจจะถูกทำลายได้
ไม่มีทั้งปรากฏการณ์ อยู่เหนือการเปรียบเทียบทั้งหมด"

หลวงปู่ดู่ กล่าวว่า: "แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลย เป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก

...จิตหนึ่งซึ่งปราศจากการตั้งต้นนี้...และสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก  คือ นิพพาน(แท้)จิต หรืออาทิพุทธ = จิตปรินิพพาน...

เนื่องจาก อาทิพุทธ(จิตปรินิพพาน)  ต้องอยู่ในจักรวาลชั่วนิรันดร และไม่อาจถูกทำลายได้  อาทิพุทธ(จิตปรินิพพาน)เลยออกจากปรินิพพานมา  แล้วจัดแจงแยกตัวอาทิพุทธออกเป็น 2 ภาค คือ อาทิพุทธภาคขาว
(ถือหลักเมตตาเป็นใหญ่) และอาทิพุทธภาคดำ(ถือหลักยุติธรรมเป็นใหญ่)

หลังจากนั้น อาทิพุทธภาคขาวและภาคดำก็อวตารและนิรมิตตัวเองออกไปเป็นอนันต์  เป็นทั้งพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์  และร่วมกันสร้างเมืองนิพพาน สร้างโลก และจักรวาล  รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่าง

ต้นธาตุ ก็คือ อาทิพุทธภาคขาว(หรือพุทธเจ้าภาคขาว ที่มีดับฌาน 90 กว่าๆ จากสูงสุด 99 ขั้น)
ต้นธาตุ ก็คือ อาทิพุทธภาคดำ(หรือพุทธเจ้าภาคดำ ที่มีดับฌาน 90 กว่าๆ จากสูงสุด 99 ขั้น)

ส่วนอาทิพุทธหลังจากท่านนิรมิตแล้วแยกตัวเองออกเป็นขาวกับดำแล้ว  อาทิพุทธก็กลับเข้าปรินิพพานไป  ดังนั้นพระพุทธเจ้า 3 ภาค

1.  พระพุทธเจ้าภาคขาว(ถือหลักเมตตาเป็นใหญ่) ฌาน 90 กว่าๆ = ต้นธาตุภาคขาว = พระยะโฮวา หรือ พระไวโรจนะพุทธเจ้า

2.  พระพุทธเจ้าภาคดำ(ถือหลักยุติธรรมเป็นใหญ่) ฌาน 90 กว่าๆ = ต้นธาตุภาคดำ = อัลเลาะห์ หรือ พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า

3.  พระพุทธเจ้าภาคอัพยากฤต ระดับฌาน 99  ท่านกลับไปเป็นจิตว่างปรินิพพานไปแล้ว

จริงๆตอนนี้มีพระพุทธเจ้า 2 ภาค หรืออาทิพุทธ  2 ภาค คือ พระพุทธเจ้าภาคขาว และ พระพุทธเจ้าภาคดำเท่านั้น ที่มีธรรมกายและกายทิพย์บริสุทธิ์(สัมโภคกาย)อยู่  พระพุทธเจ้าภาคอัพยากฤตกลับไปเป็นจิตว่างปรินิพพานไปแล้ว

การปกครองในเมืองนิพพาน

การปกครองในเมืองนิพพาน  ที่คุณการุนย์เรียกว่า 
ก. ปกครองใหญ่ คือ ปกครองธาตุธรรม ได้แก่ ปกครองนิพพาน  ในเมืองนิพพานหรือพุทธเกษตรนั้น  เนื่องจากพระพุทธเจ้าภาคขาว  ที่ไม่ได้อวตารออกมาจากอาทิพุทธ  องค์ที่มีฌานสูงสุดคือ พระอมิตาภะพุทธเจ้า มีฌานแค่ระดับ 69 เท่านั้น  ในขณะที่พระพุทธเจ้าภาคดำ  ที่ไม่ได้อวตารออกมาจากอาทิพุทธ   เช่น เจ้าแม่กวนอิมภาคดำ  ท่านเข้าถึงฌานแค่ระดับ 80  พระศิวะเข้าถึงฌานแค่ระดับ 90  นอกจากนี้  พวกที่มีระดับฌานสูงๆ  ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ภาคดำทั้งสิ้น  

ด้วยเหตุนี้  เหล่าพระพุทธเจ้าภาคดำจึงอยู่ในระดับบริหารสูงสุดทั้งนั้น  ซึ่งผมก็คิดว่าเหมาะสม  ถ้าให้พระพุทธเจ้าภาคขาวปกครอง  ความยุติธรรมจะไม่เกิด  เพราะภาคขาวจิตของพวกท่านมีแต่ความเมตตากรุณาอย่างเดียว

โลกมนุษย์มีอยู่กว่า 120 โลกในมิติต่างๆของจักรวาล  โลกมนุษย์ในมิตินี้น่าจะอยู่เป็นโลกมนุษย์ที่มีจิตใจต่ำและแย่เกือบที่สุดแล้ว  โลกในมิติอื่นดีกว่ามิตินี้ทั้งนั้น  อายุมนุษย์ในโลกมิติอื่นๆก็ยืนยาว 20,000 ปี ถึงกว่า 100,000 ปีทั้งนั้น  ไม่จำเป็นต้องเดินวิชาปราบมาร  จนมารหมดไปก่อน  เหตุการณ์ของโลกจะได้เป็นไปในทิศทางดีขึ้น  เพราะมนุษย์ที่มีจิตดี  เขาก็ย่อมไปเกิดในโลกมนุษย์ในมิติอื่นอยู่แล้ว

สรุป

มาร คือ กิเลสตัณหาและอุปาทาน
พระพุทธเจ้าภาคดำ  ไม่ใช่มารแต่อย่างใด  ท่านทำหน้าที่รักษาความยุติธรรม  พวกท่านเป็นผู้ลงโทษมาร  ในขณะที่พระพุทธเจ้าภาคขาว ใช้วิธีให้คุณและแผ่เมตตาอย่างเดียว
เหตุการณ์ของโลกจะเป็นไปในทิศทางดีขึ้น  ก็เพราะพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ภาคขาว  แผ่เมตตาช่วยทุกวัน

2 ความคิดเห็น:

  1. ในคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนให้ละธรรมดำ เจริญธรรมขาว แต่ท่านนี้เอาคำสอนของมหายานมาตีความแบบผิดๆ ไปจากคำสอนของหลวงพ่อและคุณลุงการุณ

    ตอบลบ
  2. บทความประสาทแดก

    ตอบลบ