A A

6 มีนาคม 2558

พระเยซูเป็นชาวพุทธ และเทพอรหันต์โพธิสัตว์ในสวรรค์ชั้นดุสิต

ตอบคุณหมอจอมเพี้ยน

ผมแสดงหลักฐานไปแล้ว  แทนที่คุณหมอจะเอาหลักฐานอะไรมายืนยันแย้งผม  คุณหมอกลับใช้วิธีดำน้ำมั่วเหมือนเดิม  แต่ผมก็ยินดีตอบ  เพราะคุณหมอสามารถหยุดการใส่ร้ายป้ายสีได้บ้างแล้วนั่นเอง


1..ผมไม่มีพื้นฐานความรู้ทางพุทธมากนัก  รู้แค่ในตำราสมัยเรียนมัธยมคงจะถกด้วยไม่ได้ก็จริงครับ  แต่ไอ้การที่พยายามเอาคุณลักษณะของพระอรหันต์ หรือพระโพธิสัตว์ไปเทียบกับพระเยซูแล้วบอกว่าท่านก็เป็นอรหันต์องค์หนึ่ง  นี่อาศัยแค่ที่ท่านมีเหมือนกันไม่ได้ครับ

.....ก็บอกมาซิครับ  คุณลักษณะเด่นๆที่เหมือนกัน ใช้ไม่ได้แล้ว  คุณลักษณะไหนใช้ได้  ผมจะได้เอามาเทียบให้ดู

2..คุณอาพลศักดิ์แน่ใจขนาดนั้นเลยหรือครับว่า พระพุทธเจ้าทรงสรรพานุภาพเช่นเดียวกับพระเจ้า ถ้าค้นพระไตรปิฎกมาตอบได้  ผมคงต้องรบกวนผู้รู้ช่วยวิเคราะห์ให้ด้วยว่ามันมีจริง  หรือว่าเพี้ยนตรงไหนเพราะตรงนี้ผมไม่เคยรับรู้มาก่อน

....คุณหมอกำลังพูดว่า พระไตรปิฎกไม่น่าเชื่อถือ  ทั้งๆที่มีการสังคายนาต่อเนื่องกันมาถึง 2500 ปี  และนิกายในพุทธศาสนามีเยอะ  ถ้าใครหรือนิกายใดจะเขียนเพิ่มเติม หรือจะบิดเบือนพระไตรปิฎก  นิกายอื่นเขาจะไปยอมได้ยังไง

ถ้าผมบอกว่า ศาสนาคริสต์ยังมีหลักฐานไม่แน่นเท่าศาสนาพุทธ  คุณหมอจะว่ายังไง

ผมว่าคุณหมอไปเปิดในวิกีพิเดียก็ได้ครับ  ว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายจริงไหม

ความหมายของสัพพัญญู

ปัญหา คำว่า 
สัพพัญญูผู้รู้สิ่งทั้งปวง ซึ่งเป็นพระนามประการหนึ่งของพระพุทธเจ้า นั้นหมายความว่า  พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาลทั้งเวลาหลับและเวลาตื่น  หรือหมายความแค่ไหนแน่?
พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนวัจฉะ ชนที่กล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นสัพพัญญู มีปกติเห็นธรรมทั้งปวง ทรงปฏิญาณญาณทัสสนะไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินไปก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับก็ดี ตื่นก็ดี ญาณทัสสนะปรากฏแล้วเสมอติดต่อกันไปดังนี้ ไม่เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้วและชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำที่ไม่มี ไม่เป็นจริง

ดูก่อนวัจฉะ เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ ) ดังนี้แล เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง ชื่อว่าพยากรณ์ถูกสมควรแก่ธรรม....

ดูก่อนวัจฉะ ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง..... ตลอดสังวัฎวิวัฎกัปเป็นอันมาก ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น... เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้

ดูก่อนวัจฉะ 
ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์  ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ซึ่งเป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ..... เบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์

ดูก่อนวัจฉะ เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง...

จูฬวัจฉโคคตสูตร ม. ม. (๒๔๑-๒๔๒)
ตบ. ๑๓ : ๒๓๗-๒๓๘ ตท.๑๓ : ๒๐๓-๒๔๒
ตอ. MLS. II :๑๖๐


3..การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าตามความเชื่อของศาสนาคริสต์นั้นไม่ใช่การที่จิตของท่านขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ในสภาวะพระเจ้าเหมือนเดิมที่เป็นอมตะเท่านั้น แต่เป็นการฟื้นคืนชีพพร้อมกับร่างกายคล้ายกับร่างกายตอนก่อนสิ้นพระชนม์แต่เป็นพระกายที่สง่ามากกว่าเดิม จนตอนแรกบรรดาสาวกก็ยังจำพระองค์ไม่ได้

.....คุณหมอรู้น้อยเหลือเกิน  พระโมคคัลลานะก็ฟื้นคืนชีพได้เช่นกัน  ทั้งๆที่โดนฆ่าและทำลายซาก  ทุบกระดูกจนเละ  ท่านต่อร่างต่อกระดูกทุกชิ้น  แล้วมาถวายบังคมลาพระพุทธเจ้าเพื่อเข้านิพพานก่อน  

คัดมาจาก  พุทธประวัติทัศนศึกษา โดย พระธรรมโกศาจารย์ (ชอบ อนุจารี)

โจรเหล่านั้นรับเอาทรัพย์ค่าจ้างแล้ว ยกพวกไปล้อมจับพระเถระเจ้ายังที่อยู่ พระมหาโมคคัลลานะเถระเจ้าได้ทำปาฏิหาริย์หนีไปได้ทุกครั้ง แต่โจรพวกนั้นก็พยายามล้อมจับอยู่ถึงสองเดือน ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ครั้นถึงเดือนที่สาม พระเถระเจ้าพิจารณาเห็นกรรมของท่าน ที่ทำในชาติก่อนติดตามมา เห็นควรจะรับผลแห่งกรรมที่ตามมาสนองนั้น จึงยอมให้โจรล้อมจับตามประสงค์ ครั้นพวกโจรจับพระเถระเจ้าได้แล้ว 
จึงได้ทุบตีจนอัฐิหัก แตก แหลกไม่มีดี โดยเกรงว่าจะไม่ตาย แล้วจะกลับฟื้นคืนชีพได้ ครั้นแน่ใจว่า พระเถระเจ้าไม่อาจฟื้นคืนชีพได้แล้ว จึงเอาสรีระของท่านไปทิ้งไว้ในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเห็นว่าพอจะลับตาคนได้ แล้วพากันหนีไปจากที่นั้น

           พระโมคคัลลานะเถระดำริว่า อาตมาควรจะไปทูลพระบรมศาสดาเสียก่อนจึงปรินิพพาน ครั้นดำริแล้วก็เรียงลำดับสรีระกาย ผูกเข้าให้มั่นด้วยกำลังฌาน แล้วเหาะไปโดยอากาศวิถี เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า

           “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลาปรินิพพาน

           มีพระพุทธดำรัสว่า

           “ เธอจะปรินิพพานล่ะหรือ ? โมคคัลลานะ

           “ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลาปรินิพพานในวันนี้แล้ว

           “ โมคคัลลานะ เธอจะปรินิพพาน ณ ที่ใด ? “

           “ ที่กาฬศิลาประเทศ พระเจ้าข้า

           พระโมคคัลานะกราบทูล

           “ ถ้าเช่นนั้น เธอจงแสดงธรรมแก่ตถาคตก่อน

           พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับสั่ง

           “ ด้วยการที่จะเห็นสาวกเหมือนอย่างเธอ จะไม่มีต่อไปแล้ว

           พระมหาโมคคัลลานะเถระ รับพระพุทธบัญชาแล้ว ได้ทำปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นไปในอากาศ โดยอาการเช่นเดียวกับพระสารีบุตรเถระ ครั้นแสดงธรรมแล้ว ลงมาจากอากาศถวายอภิวาท ทูลลาพระบรมศาสดาไปยังกาฬศิลาประเทศ ปรินิพพานในที่นั้น ในวันสิ้นเดือน ๑๒ หลังจากพระสารีบุตรเถระปรินิพพาน ๑๕ วัน

           ในกาลนั้น เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้ไปสโมสรประชุมกันถวายสักการบูชาสรีระศพพระเถระเจ้า ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และไม้หอม อันวิจิตร มีประการต่าง ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระสาวกทั้งหลาย ได้เสด็จไปเป็นประธานจุดเพลิง ทำฌาปนกิจสรีระศพพระเถระเจ้า ในท่ามกลางเทพดาและมนุษย์ ซึ่งได้พร้อมเพรียงกันมามากยิ่งนัก ขณะนั้น ฝนดอกไม้ทิพย์ได้ตกลงมาในบริเวณถวายเพลิงพระเถระเจ้า ประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ มหาชนได้มาประชุมสักการะศพพระเถระเจ้าถึง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดให้เก็บอัฐิธาตุพระเถระเจ้า มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ที่ซุ้มประตูพระเชตวนาราม


แต่พระโมคคัลลานะ ท่านไม่ได้เอาร่างที่ฟื้นคืนชีพใหม่  เข้านิพพานนะครับ  ท่านเอาธรรมกายและสัมโภคกายของท่านเข้านิพพาน  ทิ้งร่างกายมนุษย์ไว้  เพื่อท่านจะได้ทำปาฏิหาริย์ เหมือนพระอรหันต์อื่นๆ คือทำพระธาตุนั่นเอง   หลักฐานการฟื้นคืนชีพของพระโมคคัลลานะนี้  บันทึกอยู่ไม่เฉพาะในนิกายต่างๆของเถรวาท  แม้แต่นิกายของมหายานทั้ง 18 นิกาย ก็ยืนยันด้วย

อนึ่ง  ร่างใหม่ของพระโมคคัลลานะ และพระเยซู  เป็นร่างที่ธรรมกายของพวกท่านนิรมิตขึ้นมา  เรียกว่า ร่างสัมโภคกาย หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นร่างแท้จริงของพวกท่าน  กายเนื้อของพวกท่านแหลกไปแล้วก็จริง  แต่กายแท้ไม่ได้แหลก  กายแท้ของพวกท่าน  ซึ่งมีมาตอนพวกท่านบรรลุอรหันต์  ได้เชื่อมกายเนื้อของพวกท่านใหม่จนกายเนื้อและกายพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพวกท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน  แต่พระเยซูจะเอากายเนื้อที่เชื่อมกับกายแท้-พระวิญญาณบริสุทธิ์- เข้าไปขึ้นสวรรค์ด้วยหรือเปล่า  อันนี้ผมไม่อยากเข้าไปรับรู้  เพราะผมมาเพื่อฟื้นฟูศาสนาพุทธเท่านั้น  ไม่มีเวลาไปยุ่งกับศาสนาอื่น  ถ้าไม่จำเป็นต้องอ้างอิง

แล้วคุณหมอรู้ไหม  หลวงพ่อฤาษีลิงดำเจอพระเยซูที่ไหน  คุณหมอรู้หรือเปล่า  
พระเยซูเป็นเทพในสวรรค์ชั้นดุสิต  ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์  พระโพธิสัตว์มีในศาสนาพุทธเท่านั้น  พูดง่ายๆ พระเยซูเป็นชาวพุทธ  ใช่...ผมกำลังบอกคุณหมอว่า  พระศาสดาของศาสนาคริสต์เป็นชาวพุทธ  ก็เหมือนกับที่ผมบอกชาวพุทธว่า  พระศาสดาของศาสนาพุทธเป็นนักบวชในศาสนาพราหมณ์  ชื่อตอนท่านบวชใช้ชื่อว่า "มุนีสมณะ"  อาจารย์ที่สอนวิชาให้ท่าน คือ อาฬารดาบส และอุทกดาบส  ก็นับถือศาสนาพราหมณ์เช่นกัน

พระเยซูตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

"..ประมาณเกือบ ๒๐ ปีมาแล้วสมัยที่อาตมาไปวัดคริสต์ที่บางนกแขวก มีบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ และก็ชอบๆ กัน เพราะสมัยนั้นอาตมาเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ที่เรียนคริสต์ไม่ใช่ไปเรียนที่โรงเรียนแต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุฎีจีนเขามาคุยแลกเปลี่ยนความรู้กัน ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกัน เมื่อไปเยี่ยมเขาคุยไปคุยมา 


ขาถามว่า "ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ไหน" 
อาตมาตอบว่า "รู้" 
เขาถามว่า "เคยคุยไหม" 
ก็บอกว่า "ฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน" 
จึงถามเขาว่า "แล้วพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน" 
เขาตอบว่า "ไม่รู้" 
ถามว่า "เคยเห็นไหม" 
เขาตอบว่า "ไม่เคยเห็น" 
เขาเลยถามว่า "ท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ" 
ตอบว่า "ไม่เคยสนใจ" แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป

ต่อมากลับมาที่พัก ธรรมดาของพระก่อนจะนอนต้องทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่อย่างนั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดโผล่ปั๊บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่วงระหว่างพระจุฬามณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไปเดินป๋อที่นั่น พอเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางเดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า 
"พระเยซูใช่ไหม" ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์จะบอกชัดจะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็ตอบว่า "ใช่ครับ"

อาตมาถามว่า "ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ บนสวรรค์เขาแต่งตัวแบบนี้เหรอ" ท่านบอกว่า 
"ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้ จะสงสัย" บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นสภาพความเป็นจริงของท่านเป็นอย่างไร" ท่านก็ทำให้ดู ภาพนั้นหายไปกลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวเป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ เรียกว่างามจับตาเลย ถามว่า "อยู่ที่ไหน" ตอบว่า "อยู่ชั้นดุสิต"

พอบอกอยู่ชั้นดุสิตอาตมาก็ตกใจ  ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แน่ๆ คุยไปคุยมา อาตมาก็บอกท่านว่า "คำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ" ท่านถามว่า "ผิดอย่างไรครับ" บอกว่า "ล้างบาปนั่นนะ คนที่ทำความชั่วแล้วมันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผล เราจะเอาเงินไปแลกซื้อเนื้อใครเขามาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ"  
ท่านตอบว่า "ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป" 

คำสอนของท่านเป็นแบบนี้มา  ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย  ก็เลยบาปทั้งสองคน  คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก

ผู้ที่มีสิทธิไปเกิดอยู่ชั้นดุสิต
พอกลับลงมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ชั้นดุสิต ต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นดุสิตนี้เข้าได้ ๓ พวกคือ


๑) พุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า

๒) พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว

๓) พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงจะอยู่ชั้นนี้ได้

สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมพระเยซูมาอยู่ชั้นดุสิตได้ มาดูอารมณ์ตอนหนึ่งของท่านคือ ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขน ถ้าจิตไม่ดีพอ ท่านจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่า "ถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตาย ตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ" นั่นเขาเจ็บขนาดนั้นเขายังไม่โกรธ  ลองคิดดูให้ดีไม่ใช่เรื่องเล็กนะเรื่องใหญ่มาก ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวก็ต้องลงนรกหน่อย   อย่าง พระนางมัลลิกาเทวี เป็นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษท่านไม่มี  ถ้าจิตท่านไม่เศร้าหมองก็ไม่ลงนรก แต่ท่านแต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วัน.."

แต่ผมพลศักดิ์ขอเพิ่มว่า  นอกจาก พระเยซูจะเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็ง  อยู่ที่ชั้นดุสิตแล้ว  พระวิญญาณบริสุทธิ์(กายแท้)ของท่าน  ยังอยู่ที่พุทธเกษตรสรวงสวรรค์ของพระคริสต์  อีกที่หนึ่งด้วย

0 comments:

แสดงความคิดเห็น