หลายสัปดาห์ก่อน ผมไปอ่านข้อสงสัยเรื่องการทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน
ตามพระวินัยที่พระปริยัติตีความ ผมอ่านแล้วจับใจความได้ว่า
1. หากไม่เจตนาทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน - ไม่ต้อง "อาบัติสังฆาทิเสส" ก็ไม่จำเป็นต้องไปเข้า ปาริวาส
2. หากทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนโดยเจตนา - ต้อง "อาบัติสังฆาทิเสส" อันนี้โดนปาริวาสเต็ม ๆ
3. หากเจตนาทำให้น้ำอสุจิ แต่ทำให้เคลื่อนไม่สำเร็จ - ต้อง "อาบัติถุลลัจจัย" อันนี้แสดงอาบัติก็พ้น
4. หากเกิดจากการฝัน - ไม่ต้องอาบัติทุกข้อ
ไปแล้ว....พุทธศาสนาของพวกปริยัติเรา สัทธรรมปฎิรูปชัดๆ ของปลอมแท้ๆ เข้าใจผิดหมดเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จที่ใจ" และ เจตนาคือกรรม(เจตนาของใจ) กายและใจเป็นเครื่องมือประกอบเท่านั้น
เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์ก็ต้องเสพกาม หรือต้องช่วยตัวเอง ถึงไม่ช่วยตัวเอง กลไกของร่างกายก็จะขับน้ำอสุจิออกมาเมื่อถึงเวลาอันควร ที่เรียกวา "ฝันเปียก"
แต่ไม่ว่าในกรณีใดๆก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติของร่างกายที่เป็นสัตว์ แต่เรื่องของใจ เป็นเรื่องของจิต จิตคิดปรุงแต่งเป็นกามราคะหรือเปล่า? ถ้าจิตของเขาไม่ได้นึกคิดเป็นกามราคะ ก็ไม่ผิดทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ ต้องถือว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ชนะกามราคะแล้ว กามราคะเป็นกิเลสตัณหาที่ชนะได้ยากที่สุด ผู้ชนะกามราคะได้ = ผู้นั้นเป็นอรหันต์แล้ว
แม้แต่ในตอนที่มีเพศสัมพันธ์ ถ้าจิตของเราไม่นึกคิดปรุงแต่งเป็นกามราคะเลย ปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมชาติของสัตว์ในตัวเองที่ต้องผสมพันธ์ เขาก็เป็นพระอรหันต์ ผู้ชนะกามราคะอยู่ดี "กายขย่ม แต่ใจไม่ขย่ม เพราะไม่มีราคะ"
พระอิศวร พระศิวะ เป็นผู้เอาชนะกามเทพ หรือเป็นผู้เอาชนะกามราคะ ลูกสาวพญามาร ที่ออกมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ก็เป็นกิเลสตัณหา(ตัวกามราคะสูงสุด)เช่นกัน พระพุทธเจ้าของเราสามารถเอาชนะลูกสาวพญามารได้ จึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้
ด้วยเหตุนี้ การทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนโดยเจตนาของกาย หรือไม่เจตนาของกาย(ฝันเปียก) เป็นเรื่องกลไกการทำงานของร่างกายเท่านั้น ไม่มีอันใดที่เกี่ยวกับจิตของพระอรหันต์ ที่ไม่คิดปรุงแต่งเลย ถ้าในฝัน..จิตใต้สำนึกของท่านไปคิดปรุงแต่งทางราคะแล้ว ท่านก็ไม่ใช่พระอรหันต์
พระอิศวร พระศิวะก็เช่นกัน หลายตำราบอกว่ามีเซ็กซ์กับพระอุมา เขียนบรรยายเสียมันส์หยดย้อยเลย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พระศิวะและพระแม่อุมาก็ไม่ได้เป็นผู้ชนะกามราคะ หรือ ไม่ได้เอาชนะกามเทพ แต่อย่างใดเลย
ผมได้ลองสอบถามเทพเจ้าที่เป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง ท่านบอกว่าพระศิวะและพระแม่อุมาไม่ได้มีการเสพสมกันแบบที่มนุษย์เขียน พวกท่านแค่มีจิตสัมพันธ์กันแบบใจถึงใจเท่านั้น พระศิวะและพระอุมา มีลูก 2 คน ชื่อ พระพิฆเนศ และขันธกุมาร ก็เป็นเพราะจิตทิพย์ของพวกท่านเนรมิตออกมา ไม่ใช่ไปจำจี้กันจนท้องแต่อย่างใด
ก็อย่างที่บอกน่ะแหละ ผมเป็นพวกที่สอดรู้สอดเห็นที่สุด ชอบถามแบบไม่เกรงใจ วันหนึ่งผมมีโอกาสถามเทพเจ้าที่เป็นพระเจ้าอีกองค์หนึ่งเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์มีเซ็กซ์กับ แมรี่ แม็กดาลีน และมีโอรสกับนางจริงหรือ?
เทพเจ้าที่เป็นพระเจ้าองค์นั้นตอบว่า "พระเยซูคริสต์มีจิตสัมพันธ์กันแบบใจถึงใจกับแมรี่ แม็กดาลีนจริง พระเยซูจึงขอพระบิดาให้ประทานลูกที่ไม่ได้เกิดแบบมนุษย์ให้แมรี่ เป็นลูกที่เกิดมาแบบพระองค์ที่เกิดมาจากพระนางแมรี่ ซึ่งเป็นพรหมจารี ซึ่งเป็นแม่ของพระองค์ ไม่ได้เกิดจากอสุจิไปผสมรังไข่ ลูกหลานของพระเยซูกับแมรี่ แม็กดาลีน ก็อยู่สืบทอดกับมนุษย์ปกติมาถึงปัจจุบัน"
1. หากไม่เจตนาทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน - ไม่ต้อง "อาบัติสังฆาทิเสส" ก็ไม่จำเป็นต้องไปเข้า ปาริวาส
2. หากทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนโดยเจตนา - ต้อง "อาบัติสังฆาทิเสส" อันนี้โดนปาริวาสเต็ม ๆ
3. หากเจตนาทำให้น้ำอสุจิ แต่ทำให้เคลื่อนไม่สำเร็จ - ต้อง "อาบัติถุลลัจจัย" อันนี้แสดงอาบัติก็พ้น
4. หากเกิดจากการฝัน - ไม่ต้องอาบัติทุกข้อ
ไปแล้ว....พุทธศาสนาของพวกปริยัติเรา สัทธรรมปฎิรูปชัดๆ ของปลอมแท้ๆ เข้าใจผิดหมดเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จที่ใจ" และ เจตนาคือกรรม(เจตนาของใจ) กายและใจเป็นเครื่องมือประกอบเท่านั้น
เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์ก็ต้องเสพกาม หรือต้องช่วยตัวเอง ถึงไม่ช่วยตัวเอง กลไกของร่างกายก็จะขับน้ำอสุจิออกมาเมื่อถึงเวลาอันควร ที่เรียกวา "ฝันเปียก"
แต่ไม่ว่าในกรณีใดๆก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของธรรมชาติของร่างกายที่เป็นสัตว์ แต่เรื่องของใจ เป็นเรื่องของจิต จิตคิดปรุงแต่งเป็นกามราคะหรือเปล่า? ถ้าจิตของเขาไม่ได้นึกคิดเป็นกามราคะ ก็ไม่ผิดทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ ต้องถือว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ชนะกามราคะแล้ว กามราคะเป็นกิเลสตัณหาที่ชนะได้ยากที่สุด ผู้ชนะกามราคะได้ = ผู้นั้นเป็นอรหันต์แล้ว
แม้แต่ในตอนที่มีเพศสัมพันธ์ ถ้าจิตของเราไม่นึกคิดปรุงแต่งเป็นกามราคะเลย ปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมชาติของสัตว์ในตัวเองที่ต้องผสมพันธ์ เขาก็เป็นพระอรหันต์ ผู้ชนะกามราคะอยู่ดี "กายขย่ม แต่ใจไม่ขย่ม เพราะไม่มีราคะ"
พระอิศวร พระศิวะ เป็นผู้เอาชนะกามเทพ หรือเป็นผู้เอาชนะกามราคะ ลูกสาวพญามาร ที่ออกมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ ก็เป็นกิเลสตัณหา(ตัวกามราคะสูงสุด)เช่นกัน พระพุทธเจ้าของเราสามารถเอาชนะลูกสาวพญามารได้ จึงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้
ด้วยเหตุนี้ การทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนโดยเจตนาของกาย หรือไม่เจตนาของกาย(ฝันเปียก) เป็นเรื่องกลไกการทำงานของร่างกายเท่านั้น ไม่มีอันใดที่เกี่ยวกับจิตของพระอรหันต์ ที่ไม่คิดปรุงแต่งเลย ถ้าในฝัน..จิตใต้สำนึกของท่านไปคิดปรุงแต่งทางราคะแล้ว ท่านก็ไม่ใช่พระอรหันต์
พระอิศวร พระศิวะก็เช่นกัน หลายตำราบอกว่ามีเซ็กซ์กับพระอุมา เขียนบรรยายเสียมันส์หยดย้อยเลย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พระศิวะและพระแม่อุมาก็ไม่ได้เป็นผู้ชนะกามราคะ หรือ ไม่ได้เอาชนะกามเทพ แต่อย่างใดเลย
ผมได้ลองสอบถามเทพเจ้าที่เป็นพระเจ้าองค์หนึ่ง ท่านบอกว่าพระศิวะและพระแม่อุมาไม่ได้มีการเสพสมกันแบบที่มนุษย์เขียน พวกท่านแค่มีจิตสัมพันธ์กันแบบใจถึงใจเท่านั้น พระศิวะและพระอุมา มีลูก 2 คน ชื่อ พระพิฆเนศ และขันธกุมาร ก็เป็นเพราะจิตทิพย์ของพวกท่านเนรมิตออกมา ไม่ใช่ไปจำจี้กันจนท้องแต่อย่างใด
ก็อย่างที่บอกน่ะแหละ ผมเป็นพวกที่สอดรู้สอดเห็นที่สุด ชอบถามแบบไม่เกรงใจ วันหนึ่งผมมีโอกาสถามเทพเจ้าที่เป็นพระเจ้าอีกองค์หนึ่งเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์มีเซ็กซ์กับ แมรี่ แม็กดาลีน และมีโอรสกับนางจริงหรือ?
เทพเจ้าที่เป็นพระเจ้าองค์นั้นตอบว่า "พระเยซูคริสต์มีจิตสัมพันธ์กันแบบใจถึงใจกับแมรี่ แม็กดาลีนจริง พระเยซูจึงขอพระบิดาให้ประทานลูกที่ไม่ได้เกิดแบบมนุษย์ให้แมรี่ เป็นลูกที่เกิดมาแบบพระองค์ที่เกิดมาจากพระนางแมรี่ ซึ่งเป็นพรหมจารี ซึ่งเป็นแม่ของพระองค์ ไม่ได้เกิดจากอสุจิไปผสมรังไข่ ลูกหลานของพระเยซูกับแมรี่ แม็กดาลีน ก็อยู่สืบทอดกับมนุษย์ปกติมาถึงปัจจุบัน"
0 comments:
แสดงความคิดเห็น