A A

15 เมษายน 2558

จิตที่ละความพอใจได้นั้น เพียงแต่รู้ถึงความพอใจนั้นเฉยๆ ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในความพอใจนั้น ย่อมเป็นมูลเหตุแห่งความไม่ทุกข์ + สวรรค์ชั้นดุสิต แตกต่างจากพุทธเกษตรชั้นดุสิตอย่างไร?

พุทธวจน...ความพอใจ เป็นเหตุแห่งทุกข์

ความพอใจ เป็นเหตุแห่งทุกข์

ทุกข์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
ทุกข์ทั้งหมดนั้น มีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ
เพราะว่า ฉันทะ (ความพอใจ) เป็นมูลเหตุแห่งทุกข์

ทุกข์ใด ๆ อันจะเกิดขึ้นในอนาคต
ทุกข์ทั้งหมดนั้น ก็มีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ
เพราะว่า ฉันทะ (ความพอใจ) เป็นมูลเหตุแห่งทุกข์

และทุกข์ใด ๆ ที่เกิดขึ้น
ทุกข์ทั้งหมดนั้น ก็มีฉันทะเป็นมูล มีฉันทะเป็นเหตุ
เพราะว่า ฉันทะ (ความพอใจ) เป็นมูลเหตุแห่งทุกข์”.
สฬา. สํ. ๑๘/๔๐๓/๖๒๗.

ความคิดเห็นของPhonsak

จิตที่มีฉันทะ (ความพอใจ) เป็นมูลเหตุแห่งทุกข์

จิตที่ละฉันทะ (ละความพอใจ)ได้นั้น  เพียงแต่รู้ถึงความพอใจนั้นเฉยๆ ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในความพอใจนั้น  ย่อมเป็นมูลเหตุแห่งความไม่ทุกข์ = จิตที่ว่างจากการคิดนึกอันเกิดจากกิเลสตัณหา เมื่อกิเลสตัณหาไม่มี  จึงรู้ถึงความพอใจนั้นเฉยๆ  ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในความพอใจนั้น เป็นมูลเหตุแห่งความดับทุกข์ทางใจ

แต่ร่างกายมนุษย์ยังต้องการปัจจัย 4 ในการยังชีวิตอยู่  ดังนั้นแม้จิตไม่มีกิเลสตัณหาแล้ว แต่ร่างกายก็บีบให้เป็นทุกข์ทางกายอยู่ดี  มนุษย์ที่เป็นพระอรหันต์ จึงต้องทิ้งจิตมนุษย์ และทิ้งกายมนุษย์  เข้าไปเป็นจิตพระเจ้า(พระอรหันต์) และกายพระเจ้า(พระอรหันต์)  ที่เรียกว่า ธรรมกาย และกายทิพย์สัมโภคกาย แล้วย้ายที่อยู่ไปอยู่ในเมืองนิพพาน  ซึ่งทุกอย่างเป็นทิพย์  จึงจะพ้นจากความต้องการปัจจัย 4 ที่เกิดจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟเพื่อการยังชีพ

สวรรค์ชั้นดุสิต แตกต่างจากพุทธเกษตรชั้นดุสิตอย่างไร?

มีความเชื่อผิดๆในหมู่ชาวพุทธเถรวาทแม้แต่มหายานว่า สวรรค์ชั้นดุสิตเป็นที่เดียวกับพุทธเกษตรดุสิต และเป็นที่สถิตของเทพพรหมบรมครู และพระโพธิสัตว์ผู้ที่จะมาประสูติตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

แต่ความจริงนั้นไม่ใช่เลย สวรรค์ชั้นดุสิต ผู้ที่ไม่ได้เป็นเทพพรหมบรมครู และไม่ได้เป็นพระโพธิสัตว์ผู้ที่จะมาประสูติตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตก็อาศัยอยู่ได้ เช่น ผู้เป็นมารดาของพระพุทธเจ้าก็อยู่ได้ ผู้เป็นเทพบริวารของพระโพธิสัตว์ก็อยู่ได้ แต่พุทธเกษตรดุสิตนั้นมีแต่ผู้ที่ได้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์จึงจะอยู่ได้

0 comments:

แสดงความคิดเห็น