A A

4 มีนาคม 2558

พวกเราไปอยู่แดนสุขาวดีกันดีกว่า จะได้ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด

นรกสวรรค์ชั้นกามหรือโลกียะ และ 31 ภพภูมิรวมทั้งโลกมนุษย์ด้วย  เป็นแค่ ภาพฝันเฟื่องที่เสมือนจริงที่สุด” ของจิตสังขารเท่านั้น  พระพุทธเจ้าฝ่ายดำหรือฝ่ายมารมีอำนาจมากที่สุดใน 31 ภพภูมิ  กำหนดให้มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด  จนกว่าจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์  จึงจะออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

แต่มีดินแดนหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าฝ่ายขาว(พระอมิตาภะพุทธเจ้า)มีอำนาจเหนือฝ่ายดำ  พระอมิตาพุทธ ท่านกำหนดให้ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บ ไม่มีการตาย ในดินแดนของท่าน ซึ่งมี 9 ชั้น เรียกว่าบัว 9 ชั้น

มนุษย์ในโลกมนุษย์ของเรา ที่พ่ายแพ้อำนาจมาร  ถ้าหลงทำดีทางโลกียะ ยังถือว่าโชคดีหน่อย  ได้ขึ้นสวรรค์ชั้นกามภูมิ  เสพสุขสัก 1,000-100,000 ปี หรือล้านปี  หรือ 10 ล้านปี  ค่อยกลับมาเกิดใหม่  แต่ถ้าหลงไปทำชั่วเข้า และไม่ยอมสำนึกบาปนั้นก่อนตายล่ะก็  คราวนี้ฉิบหายเลย  ต้องไปทนทุกข์ทรมานในอบายภูมิและในนรกเป็นเวลา 1,000-100,000 ปี หรือล้านปี หรือ 10 ล้านปี แทน  ก่อนจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่

ถ้าผลของความชั่วมีน้ำหนักมากกว่าผลของความดี  วิญญาณดวงนั้นก็จะโดนตัดสินให้ตกลงไปในอบายภูมิ และนรก  ซึ่งจะโดนชำระบาปด้วยความทรมานจากการหิวอาหาร การโดนทุบตี และการถูกไฟนรกเผา ฯลฯ  

แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นแค่มายาเสมือนจริงเท่านั้น  แต่สำหรับผู้ที่ไม่สามารถบรรลุธรรมอย่างน้อยโสดาบัน  เขาย่อมหลีกหนีไม่พ้นความยึดมั่นถือมั่นว่าไฟนรกมีจริง กระบอง เหล็กแหลม และหอก ที่ทุบตีทิ่มแทงเขามีจริง  และเลือดเนื้อของเขาก็มีจริง  ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในอบายภูมินั้น...จนกว่าบาปกรรมที่เขาเคยก่อไว้ จะโดนชำระออกไปหมด  จึงจะได้เปลี่ยนภพภูมิมาเกิดในโลกมนุษย์ต่อไป

พระพุทธเจ้าของเราได้ตรัสสอนให้ออกจากสังสารวัฏ ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดนี้ไปอยู่ในแดนสุขาวดี  ซึ่งเป็นสุคติภพ  ไม่มีการลงโทษที่รุนแรงหฤโหดแบบในสังสารวัฏ  พูดง่ายๆ  นรกไม่มีในแดนสุขาวดี  มีแต่การลงโทษด้วยน้ำมนต์

วิธีการลงโทษด้วยน้ำมนต์ในแดนสุขาวดี

คือ ให้วิญญาณดวงนั้นลงไปแช่น้ำมนต์ในสระคุณธรรม  แทนที่จะลงโทษบาปด้วยไฟนรก  ครั้งแรกๆ หรือเดือนแรกๆ หรือปีแรกๆ  ทุกครั้งที่วิญญาณ(กายทิพย์)ลงไปแช่ตัวในสระคุณธรรม จะเจ็บปวดทรมานมาก
(ถ้าทำบาปหนักๆมา  ร่างกายและกระดูกจะเหมือนถูกน้ำกรดละลายกัดไปหมด)  แต่พอแช่ตัวไปนานๆ  ร่างกายและกระดูก จะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่  ตอนนี้แหละ วิญญาณ(ร่างกายและกระดูกทิพย์)ของเขา ก็จะรู้สึกสบายสดชื่น  เพราะพิษจากบาปในกายบาปชั้นนอกโดนขจัดออกไปแล้ว  วิญญาณดวงนั้นเลยติดใจ  และยอมลงสระคุณธรรม อาบน้ำมนต์ล้างพิษบาปไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดบาป

พูดง่ายๆ  การลงไปแช่น้ำมนต์ในสระคุณธรรม = การยอมรับความเจ็บปวดในช่วงแรกที่ลงสระ  แล้วก็สดชื่นแจ่มใสในตอนหลัง ดีกว่าต้องตกนรกในสังสารวัฏซึ่งมีแต่ความทุกข์ทรมานอย่างเดียว  ความสุขไม่มีให้เห็นเลย  ถ้าไม่มีใครทำบุญส่งมาให้

ความจริงเกี่ยวกับสรรพสัตว์ในแดนสุขาวดี


สารีบุตร  พุทธเกษตรแห่งนี้  แม้นามแห่งอบายสัตว์  ก็มิอาจมี  จักกล่าวไปใยถึงความมีอยู่  วิหค(นก)   ทั้งนี้เกิดจากความปรารถนาประกาศธรรม  แห่งพระอมิตาภะ  ยังให้บังเกิดขึ้น = พระอมิตาภะพุทธเจ้าเนรมิตของเทียม หรือหุ่นยนต์ที่ไม่มีจิตวิญญาณขึ้นมาเป็นสรรพสัตว์ และทุกอย่างในแดนสุขาวดี  

พระอมิตาเนรมิตของเทียมเหล่านี้มา  ทั้งนี้เพื่ออะไร?....เพื่อให้มีวิว มีเสียงไพเราะ นำจิตของวิญญาณต่างๆ รำลึกถึงพระพุทธ  พระธรรม  และพระสงฆ์  หรือรำลึกถึง พระเจ้าที่เป็นพระบิดา พระจิต และพระบุตร ยังไงล่ะ

สารีบุตร  พุทธเกษตรแห่งนี้  ยามลมมาต้องรัตนพฤกษชาติ  ข่ายรัตนะ  ทำให้เกิดสำเนียงอันวิเศษ  ยังให้เกิดความสุขร้อยพันประการ  ขณะเดียวกันนั้น  ชนผู้ได้ยินย่อมจักมีจิต  รำลึกถึงพระพุทธ  พระธรรม  และพระสงฆ์” 

พระพุทธเจ้าบอกวิธีเข้าไปอยู่ในแดนสุขาวดีไว้ด้วย... ง่ายนิดเดียว  ไม่มีการเจ็บด้วย

มาตรว่ากุลบุตรกุลธิดา  ได้สดับพระอมิตาภะ  รำลึกถึงพระนาม  ๑ วันก็ดี,  ๒ วันก็ดี, ๓ วันก็ดี,  ๔ วันก็ดี, ๕ วันก็ดี, ๖ วันก็ดี  และ ๗ วันก็ดี  มีจิตไม่ซัดส่าย  เมื่อถึงกาลกิริยา  พระอมิตาภตถาคตพุทธเจ้า  พร้อมด้วยปวงมหาบุรุษ  จักปรากฏแต่เบื้องหน้า  ผู้นั้นจิตจะไม่ลงสู่เบื้องต่ำ  ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรแห่งพระอมิตาภตถาคตพุทธเจ้า

สารีบุตร  ตถาคตเห็นประโยชน์ (แห่งสรรพชีวิต) จึงได้แสดงดังนี้  ชนใดได้สดับ  พึงตั้งปณิธาน  อุบัติ ณ. พุทธเกษตรแห่งนี้

สรุป

นรกสวรรค์ชั้นกามหรือโลกียะ  เป็นแค่
ภาพฝันเฟื่องที่เสมือนจริงที่สุด” ของจิตสังขารหรือวิญญาณธาตุอันไม่บริสุทธิ์เท่านั้นเอง  นรกและอบายภูมิต่างๆล้วนเป็นสิ่งมายาเสมือนจริงเท่านั้น  นรกและอบายภูมิมีอยู่  เพราะวิญญาณบาปเหล่านั้นไปเชื่อว่ามันมีอยู่  นรกและอบายภูมิต่างๆจึงมีอยู่กับวิญญาณบาปเหล่านั้น  การจะไปคิดว่ามันไม่มีอยู่ เป็นแค่ความว่างเปล่า ทำไม่ได้สำหรับจิตวิญญาณที่ยังมีกิเลสตัณหา และความยึดมั่นถือมั่นอยู่

วิญญาณบาปต่างๆ  จึงต้องโดนขจัดบาปกรรมจากกิเลสตัณหา และความยึดมั่นถือมั่นของเขาออกไป  ไฟนรกและไฟชำระเป็นวิธีการขจัดพิษของบาปกรรมได้อย่างรวดเร็ว  ในขณะที่การล้างพิษจากบาปกรรมด้วยน้ำมนต์เป็นวิธีที่ช้ามากๆๆๆๆๆ  แต่เมื่อพระพุทธเจ้านาม 
"พระอมิตา" เสนอทางให้เราเลือกทางของท่าน  ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย  เหมือนกับการทำประกันชั้น 1 ฟรีๆ  โดยเงื่อนไขของประกันมีว่า  เอ็งไม่มีทางตกนรกโดนไฟนรกเผาแน่ๆ  

ด้วยเหตุที่ พวกเราล้วนเคยเป็นจิตอรหันต์ที่มหาบริสุทธิ์ทั้งสิ้น  จุดมุ่งหมายของทุกศาสนาก็คือ  ทำให้ทุกจิตสังขาร(วิญญาณหรือกายทิพย์)ของมนุษย์กลับไปเป็นจิตอรหันต์เหมือนเดิม  ในศาสนาคริสต์สอนให้ไปอยู่ในสวรรค์ของพระคริสต์ก่อน  แล้วค่อยไปพัฒนาจิตให้บริสุทธิ์ที่นั่น  ศาสนาพุทธเถรวาทสอนให้พัฒนาจิตในโลกมนุษย์เลย  ถ้าพัฒนาไม่สำเร็จ ก็ไปสวรรค์ขั้นกามภูมิ  หรือลงอบายภูมิไป  แล้วค่อยมาเกิดใหม่  ส่วนศาสนาพุทธมหายาน นิกายสุขาวดี  แนะนำให้ไปฝึกพัฒนาจิตในพุทธเกษตรสุขาวดี  ซึ่งไม่มีนรกอยู่

แล้วแต่ท่านจะเลือกนะครับว่าจะไปทางไหน  

สารีบุตร  ตถาคตเห็นประโยชน์ (แห่งสรรพชีวิต) จึงได้แสดงดังนี้ 
(แสดงธรรมเรื่องพุทธเกษตรสุขาวดี) ชนใดได้สดับ  พึงตั้งปณิธาน  อุบัติ ณ. พุทธเกษตรแห่งนี้

ในพระสูตรใหญ่(มหาสุขาวดีวยูหสูตร) ชี้ว่า  บุคคลสามารถไปอุบัติในแดนสุขาวดีได้  ถ้ามีศรัทธา  แต่การมีศรัทธาในพระอมิตาภะกับดินแดนสุขาวดีอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เราไปถึงที่นั่นได้  จะต้องกระทำความดีอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปด้วย  การสั่งสมความดีประกอบกับการท่องพระนามของพระอมิตาภะไปเรื่อยๆ  จึงจะทำให้ความปรารถนาขอไปเกิดที่นั่นบรรลุผล

อย่างไรก็ดี  
พระสูตรเล็ก (จุลสุขาวดีวยูหสูตร)  กลับชี้ว่า  บุคคลสามารถไปเกิดในดินแดนสุขาวดีได้  ถ้าเพียงแต่จดจำและท่องบ่นพระนามของพระอมิตาภะในช่วงเวลาหนึ่งก่อนสิ้นใจ  (สองคืนขึ้นไป)  โดยไม่จำเป็นต้องทำกุศลกรรมใดๆ ในชีวิตมาก่อนก็สามารถสมหวังได้ 

โดยสรุปเนื้อหาในพระสูตร
ทั้งสอง  ก็คือ  พระสูตรเล็กให้ความสำคัญกับศรัทธาเพียงอย่างเดียว  ไม่เน้นเรื่องการบำเพ็ญกุศลกรรม  ส่วนพระสูตรใหญ่ให้ความสำคัญทั้งศรัทธาและกุศลกรรม

ชาวญี่ปุ่นผู้นับถือพุทธศาสนาแบบสุขาวดีเชื่อว่า สุขาวดีวยูหสูตรทั้งสองฉบับ  เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆในช่วงท้ายแห่งพระชนม์ชีพ  ทรงสั่งสอนพระสูตรนี้ภายหลังกลับจากการเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์  ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนปรินิพพานไม่นานนัก

มหาสุขาวดีวยูหสูตร นี้ ท่านชี-เกา  และท่านโลกักเษมะ  เป็นผู้นำเข้ามาสู่ประเทศจีนในราวพุทธศตวรรษที่เจ็ด
ย่อๆคือ แม้ว่าคนผู้นั้นจะอธิษฐานจิตขอเข้าไปเกิดในแดนสุขาวดีแล้วก็ตาม  แต่ถ้าเขาเป็นคนทำบาปมามาก  ถ้าก่อนตายช่วงที่จิตใต้สำนึกของเขานำบาปใหญ่ๆมาให้เขาเห็น  แล้วเขาก็ไม่ยอมสำนึกในบาปนั้น  เขาก็ไม่ได้เข้าไปอยู่ในแดนสุขาวดี  ต้องรับกรรมในสังสารวัฏต่อไป

0 comments:

แสดงความคิดเห็น