ครั้งหนึ่ง
พระสารีบุตร ได้แสดงธรรมไว้ว่า "เพราะนิพพานไม่มีเวทนา
จึงเป็นความสุข"
พระอุทายีจึงได้กล่าวกะพระสารีบุตรว่า
"ดูกรอาวุโสสารีบุตร นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็นสุขได้อย่างไร"
คำตอบของพระสารีบุตร ที่ตอบต่อคำถามของพระอุทายี ต้องไปอ่านเอาเองนะครับ ผมจะสรุปให้ฟังเท่านั้น
สรุป รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส ทาง ตา หู ตา จมูก ลิ้น กาย ที่เรียกว่า กามคุณ 5 เป็นตัวชักนำอารมณ์(ความรู้สึก) หรือ "กามารมณ์" มาให้เรา
อารมณ์คือกามคุณ อารมณ์ = กามคุณ = กามารมณ์ สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงอารมณ์(ความรู้สึก)ทางเพศเพียงอย่างเดียวนะครับ หมายถึงทุกอารมณ์หรือทุก Emotion เลย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่พึงปรารถนา เช่น อารมณ์รื่นเริง เบิกบาน ฯลฯ และอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อิจฉาริษยา อาฆาต โกรธ ฯลฯ ก็ตาม
พระสารีบุตรจึงสรุปว่า:
"ดูกรอาวุโส... สุขโสมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยกามคุณ ๕ ประการนี้ นี้เรียกว่ากามสุข"
ด้วยเหตุที่ ความรู้สึก(เวทนา)มีการแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เราจึงเป็นสุข เป็นทุกข์ อยู่ทุกเวลานาที ไม่มีความแน่นอน ความไม่คงที่ หรือ ความไม่แน่นอน นั่นเอง เป็นเหตุให้เราเป็นสุขตลอดเวลาไม่ได้ แล้วความไม่คงที่ของความสุขทางโลก ก็เนื่องจากไปอาศัยการเสพกามคุณ = ไปอาศัยการเสพความต้องการ (กิเลสตัณหา) กับสิ่งที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้นและกาย
บางคนก็บอกว่า การฝึกจิตแบบไม่ส่งออกอารมณ์ใดๆออกไป ดีที่สุด เช่น หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วิธีการของหลวงปู่ดูลย์ สรุปได้ง่ายที่สุด คือ:
"อย่าส่งจิตออกนอกไปเสวยอารมณ์ (เสวยอารมณ์ = เสวยความรู้สึก ซึ่งหมายถึง เสวยเวทนา)"
มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม?"
หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี แต่ไม่เอา" (น.๔๖๑)
อีกครั้งหนึ่ง มีผู้เรียนถามหลวงปู่เรื่องการละกิเลส "หลวงปู่ครับทำอย่างไรจึงจะตัดความโกรธให้ขาดได้"
หลวงปู่ตอบว่า "ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน... เมื่อรู้ทัน(กิเลส)มันก็ดับไปเอง."
สภาวะที่สงบปราศจากความรู้สึก(เวทนา)ที่แปรปรวน เรียกว่า "สันติสุข" แล้วนิพพานก็เป็น สันติสุขที่แท้จริง Nirvana The True Peace
พระพุทธเจ้าตรัสว่า:
" ถูกต้องแล้วนันทะ... ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบที่หาได้ในตัวเรานี้เอง... ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่นเขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย...เมื่อเธอปล่อยวาง...มองดูโลกเป็นของว่างเปล่าเสียแล้ว...จิตก็ว่าง ปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู่ดังนี้ "
พระอุทายีจึงได้กล่าวกะพระสารีบุตรว่า
"ดูกรอาวุโสสารีบุตร นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็นสุขได้อย่างไร"
คำตอบของพระสารีบุตร ที่ตอบต่อคำถามของพระอุทายี ต้องไปอ่านเอาเองนะครับ ผมจะสรุปให้ฟังเท่านั้น
สรุป รูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัส ทาง ตา หู ตา จมูก ลิ้น กาย ที่เรียกว่า กามคุณ 5 เป็นตัวชักนำอารมณ์(ความรู้สึก) หรือ "กามารมณ์" มาให้เรา
อารมณ์คือกามคุณ อารมณ์ = กามคุณ = กามารมณ์ สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงอารมณ์(ความรู้สึก)ทางเพศเพียงอย่างเดียวนะครับ หมายถึงทุกอารมณ์หรือทุก Emotion เลย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่พึงปรารถนา เช่น อารมณ์รื่นเริง เบิกบาน ฯลฯ และอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อิจฉาริษยา อาฆาต โกรธ ฯลฯ ก็ตาม
พระสารีบุตรจึงสรุปว่า:
"ดูกรอาวุโส... สุขโสมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยกามคุณ ๕ ประการนี้ นี้เรียกว่ากามสุข"
ด้วยเหตุที่ ความรู้สึก(เวทนา)มีการแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เราจึงเป็นสุข เป็นทุกข์ อยู่ทุกเวลานาที ไม่มีความแน่นอน ความไม่คงที่ หรือ ความไม่แน่นอน นั่นเอง เป็นเหตุให้เราเป็นสุขตลอดเวลาไม่ได้ แล้วความไม่คงที่ของความสุขทางโลก ก็เนื่องจากไปอาศัยการเสพกามคุณ = ไปอาศัยการเสพความต้องการ (กิเลสตัณหา) กับสิ่งที่เข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้นและกาย
บางคนก็บอกว่า การฝึกจิตแบบไม่ส่งออกอารมณ์ใดๆออกไป ดีที่สุด เช่น หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วิธีการของหลวงปู่ดูลย์ สรุปได้ง่ายที่สุด คือ:
"อย่าส่งจิตออกนอกไปเสวยอารมณ์ (เสวยอารมณ์ = เสวยความรู้สึก ซึ่งหมายถึง เสวยเวทนา)"
มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม?"
หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี แต่ไม่เอา" (น.๔๖๑)
อีกครั้งหนึ่ง มีผู้เรียนถามหลวงปู่เรื่องการละกิเลส "หลวงปู่ครับทำอย่างไรจึงจะตัดความโกรธให้ขาดได้"
หลวงปู่ตอบว่า "ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน... เมื่อรู้ทัน(กิเลส)มันก็ดับไปเอง."
สภาวะที่สงบปราศจากความรู้สึก(เวทนา)ที่แปรปรวน เรียกว่า "สันติสุข" แล้วนิพพานก็เป็น สันติสุขที่แท้จริง Nirvana The True Peace
พระพุทธเจ้าตรัสว่า:
" ถูกต้องแล้วนันทะ... ไม่มีความสุขใดเสมอด้วยความสงบที่หาได้ในตัวเรานี้เอง... ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่นเขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย...เมื่อเธอปล่อยวาง...มองดูโลกเป็นของว่างเปล่าเสียแล้ว...จิตก็ว่าง ปลอดโปร่งแจ่มใสเบิกบานอยู่ดังนี้ "
0 comments:
แสดงความคิดเห็น