อ้างถึง
พระผู้มีพระภาคตรัสพยากรณ์ว่า
ดูกรโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลกโดย
ความเป็นของว่างเปล่าเถิด จงถอนความตามเห็นว่าเป็นตัวตน
เสียแล้ว พึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุราชได้ด้วยอาการอย่างนี้
บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอยู่อย่างนี้ มัจจุราชจึงจะไม่เห็น ฯ
ดูกรโมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลกโดย
ความเป็นของว่างเปล่าเถิด จงถอนความตามเห็นว่าเป็นตัวตน
เสียแล้ว พึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุราชได้ด้วยอาการอย่างนี้
บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอยู่อย่างนี้ มัจจุราชจึงจะไม่เห็น ฯ
dhammajak โพสต์
ตอบ
พุทธพยากรณ์บทนี้ลึกซึ้งมาก ผู้ที่ยังไม่เห็นธรรม ผู้นั้นย่อมไม่เห็นตถาคต และไม่สามารถตีความพุทธพจน์ได้
1. ผู้มีสติคือพระอรหันต์ ผู้ขาดสติคือปุถุชนที่นำเรื่องราวภายนอกซึ่งเป็นเรื่องมายา กฎแห่งกรรมเป็นผู้บันดาลให้เกิดขึ้น ปุถุชนผู้ขาดสติจึงเกิดอารมณ์ต่างๆขึ้น เช่น โมโห หลงในกิเลสตัณหาต่างๆ ทำให้เห็นความว่างเปล่าต่างๆในโลกและสวรรค์นรกเป็นของจริง ทั้งๆที่สิ่งนั้นเป็นแค่มายาไม่มีจริง
- ความยึดถือในบุญบาปฯลฯ ทำให้เราต้องรับผลแห่งบุญบาป และสิ่งที่เรายึดถือ
2. พระอรหันต์ผู้มีสติ จะไม่นำเรื่องราวภายนอกซึ่งเป็นเรื่องมายา ซึ่งกฎแห่งกรรมเป็นผู้บันดาลให้เกิดขึ้น มายึดถือ และนึกคิดปรุงแต่ง อารมณ์ต่างๆ เช่น โมโห อารมณ์รักใคร่ เกลียดชัง ฯลฯ จึงไม่เกิดขึ้น พระอรหันต์ที่มีสติ จะรู้และเห็นทุกอย่างตามความจริงว่าทุกสรรพสิ่งเป็นมายาและความว่างเปล่า ท่านจึงไม่หลงกลของอวิชชา คือ ไม่มีโลภโกรธหลง= ได้ปัญญาทางพุทธศาสนา
- แต่ถ้าพระอรหันต์ขาดสติ ไปยึดถือและนึกคิดปรุงแต่ง อารมณ์ต่างๆ เช่น โมโห อารมณ์รักใคร่ เกลียดชัง ฯลฯ จึงเกิดขึ้น ตามมา
3. มัจจุราชเป็นผู้คุมกฎแห่งกรรม มองเห็นแต่ผู้ทำกรรมและรับผลแห่งกรรมในชาตินั้น แต่พระอรหันต์ไม่มีกรรมที่ต้องได้รับผลในชาตินั้นอีกแล้ว กรรมในอดีตชาติก็ตามพระอรหันต์ไปในเมืองนิพพานไม่ได้ เนื่องจากเป็นกฎกติกาการเล่นเกมส์ของพวกเราเหล่าพระเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์นั้น กรรมทั้งปวงที่เคยทำใน 3 ภพภูมิ ถือว่าเป็นอโหสิกรรมหมด มัจจุราชซึ่งเป็นผู้คุมกฎแห่งกรรม จึงลงโทษท่านไม่ได้ และหาตัวพระอรหันต์ไม่เจอด้วย เพราะกายและจิตของพระอรหันต์เข้าไปอยู่ในภพภูมิที่เล็กสุด เล็กกว่าควอนตัม คือ ภพภูมิของความว่างที่มีอยู่ ไม่ใช่สูญ คือ ไม่ใช่ไม่มี ในขณะที่ 3 ภพภูมิ เป็นภพภูมิที่หยาบกว่ามาก มัจจุราชจึงหาตัววิญญาณของปุถุชนได้
ภพภูมิที่เล็กสุด เล็กกว่าควอนตัม แต่มีอยู่ เรียกว่า "อายตนะนิพพาน หรือธรรมกาย" เป็นภพภูมิและเมืองของพวกที่ผู้อาศัยอยู่เป็นแสงภายในใจ แต่สามารถแสดงออกเป็นแสงภายนอก(แสงทิพย์) และเป็นกายทิพย์ให้พวกที่อยู่ในภพภูมิอื่นเห็นได้ถ้าพวกท่านต้องการ
ด้วยเหตุนี้ ภพภูมิใน 3 โลกเป็นภพภูมิของผู้ยังมีอารมณ์และความหลงอยู่ อารมณ์และความหลงยิ่งลดลงเท่าไร กายและจิตของผู้นั้นก็จะเลื่อนไปอยู่ในภูมิที่สูงขึ้น จนถึงขั้นพรหมอนาคามี ชั้นที่ 16 คือ อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ แล้วก็ไปสู่ขั้นกายและจิตในพระนิพพาน
สรุป
มีสติตลอดเวลาไม่มีอารมณ์ปรุงแต่งแทรก จะทำให้เกิดกายแท้จริง คือ ธรรมกาย
จิตของปุถุชน แม้แต่จิตวิญญาณของมัจจุราช ก็หาผู้ที่มีกายจิตแท้จริงไม่ได้ หาได้แต่ผู้ที่มีกายจิตเก๊ หรือกายจิตอนัตตา ที่เป็นกายจิตมายา เป็นกายจิตที่เรียกว่า อัตตาอุปาทาน หรืออัตตาทิฎฐิ ซึ่งเป็นความว่างเปล่าที่จิตของผู้ที่ไปยึดถือสร้างมันขึ้นมา
เมื่อถอนความเห็นว่าจิตและกายของปุถุชนเป็นตัวตนเสียแล้ว จะได้จิตและกายของพระอรหันต์ในนิพพานที่เรียกว่า ธรรมกาย อันเป็นจิตและกายที่เป็นตัวตนแท้จริง(อัตตา-อมตะนิรันดร)
0 comments:
แสดงความคิดเห็น