ทุกข์
คือ ความคิดนี่แหละ...! ความคิดที่ส่งออกไปนอกสมองหรือนอกจิตของเรา
แล้วเราไปปรารถนาจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ หรืออยากเป็นโน่นเป็นนี่
พอเราไม่ได้ดังที่ใจเราปรารถนา หรือไม่ได้เป็นไปตามที่เราต้องการ คือ
ไม่ได้สมดังใจหวัง เราก็จะเป็นทุกข์ทางใจ และจะเกิดความทรมานจิตใจ
เนื่องจากไม่สามารถได้สิ่งนั้นมาดับทุกข์ใจ หรือสนองความต้องการของเราได้
ทุกข์ทางความคิดที่สำคัญที่สุด คือ ทุกข์ที่ไม่ได้ปัจจัย 4 นั่นเอง ไม่มีอาหารกิน ไม่มีเครื่องนุ่มห่มให้กันหนาวกันร้อน ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มียามารักษาโรค ก็อยู่ไม่ได้ ถ้ามีน้อย ก็ขาดแคลนปัจจัย 4 เป็นคนจนไป
อย่างไรก็ตาม สมัยนี้อาจจะเพิ่มเป็นปัจจัย 5 ปัจจัย 6 หรือปัจจัย 7 หรือ 8 เข้าไปด้วยก็ได้ ตามความเจริญของโลกมนุษย์
ด้วยเหตุนี้ ทุกข์ คือ ความคิดทุกข์ จึงแบ่งเป็น ๒ ทาง คือ
1. ทุกข์กาย เพราะขาดแคลนปัจจัย อย่างน้อยก็ปัจจัย 4 เมื่อไม่มีหรือมีน้อย ใจมันก็เป็นทุกข์ กับ
2. ทุกข์ใจ เพราะเอาเรื่องราวภายนอก หรือเรื่องราวทางโลกมานึกคิด แล้วไม่สมดังใจหวัง เช่น อยากได้คนนี้เป็นแฟน แต่ไม่ได้, อยากเป็นรัฐบาล แต่ประชาชนไม่เลือก, อยากเลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่ได้เลื่อน, อยากสอบได้ แต่ดันสอบตก เป็นต้น
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ให้ความกระจ่างชัดเจนว่า บุญกรรม และ บาปกรรม เป็นสิ่งกำหนดให้มนุษย์แต่ละคนได้รับปัจจัยทางกายและทางใจมาครอบครอง ใครจะได้มากหรือได้น้อย ก็เป็นผลมาจากบุญกรรม และ บาปกรรมที่เขาทำมาในอดีตชาติและชาติปัจจุบัน เขาทำบุญทำบาปกรรมอย่างใดมา สิ่งเหล่านั้นก็จะกลับมาตามสนองเขาเองในชาติปัจจุบัน และชาติอนาคต เพราะไม่เคยมีใครตายจริงๆเลย แม้แต่รายเดียว
การคิดมาก การคิดไม่หยุด การไม่ปล่อยวางความคิด ไม่ยอมเห็นความจริงว่า ทุกอย่างที่เราประสพเจอมาในชีวิต เป็นผลงานของกฎแห่งกรรม ทำให้เราต้องประสพเรื่องราวร้ายดีไม่เหมือนกัน การที่เรามีอคติลำเอียง ไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม เป็นตัวนำพาเรื่องราวต่างๆมาให้เราประสพเจอ เราก็จะไม่มีทางมีความสุขใจได้ เนื่องจากเราพอใจแต่เรื่องที่ต้องการให้เป็น และไม่พอใจกับเรื่องที่เราไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าเราหัดให้อภัยและอโหสิกรรมเสมอ เมื่อเราประสพเจอเรื่องราวที่ทำให้เราไม่พอใจ เราก็คิดว่า เป็นกรรมที่เราเคยทำกับคนอื่นมาก่อน ความโกรธและความไม่พอใจในใจเราก็จะลดลง.... ช่างแม่งมันตลอด อภัยให้มัน ถือว่าเรากำลังใช้บาปกรรมเก่าของเรา ถ้าเราฝึกทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ความทุกข์ในใจเราจะค่อยๆสลายไป ยิ่งถ้าเราหัดทำบุญทำทานบ่อยๆ แล้วอุทิศผลบุญนั้นในใจให้เจ้ากรรมนายเวรของเรา ที่ทำให้เราเจอเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยแล้ว ความทุกข์ในใจเราก็ยิ่งลดลง เนื่องจากได้ใช้หนี้กรรมให้เจ้าหนี้เวรกรรมของเราแล้วนั่นเอง
ทุกข์ทางความคิดที่สำคัญที่สุด คือ ทุกข์ที่ไม่ได้ปัจจัย 4 นั่นเอง ไม่มีอาหารกิน ไม่มีเครื่องนุ่มห่มให้กันหนาวกันร้อน ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มียามารักษาโรค ก็อยู่ไม่ได้ ถ้ามีน้อย ก็ขาดแคลนปัจจัย 4 เป็นคนจนไป
อย่างไรก็ตาม สมัยนี้อาจจะเพิ่มเป็นปัจจัย 5 ปัจจัย 6 หรือปัจจัย 7 หรือ 8 เข้าไปด้วยก็ได้ ตามความเจริญของโลกมนุษย์
ด้วยเหตุนี้ ทุกข์ คือ ความคิดทุกข์ จึงแบ่งเป็น ๒ ทาง คือ
1. ทุกข์กาย เพราะขาดแคลนปัจจัย อย่างน้อยก็ปัจจัย 4 เมื่อไม่มีหรือมีน้อย ใจมันก็เป็นทุกข์ กับ
2. ทุกข์ใจ เพราะเอาเรื่องราวภายนอก หรือเรื่องราวทางโลกมานึกคิด แล้วไม่สมดังใจหวัง เช่น อยากได้คนนี้เป็นแฟน แต่ไม่ได้, อยากเป็นรัฐบาล แต่ประชาชนไม่เลือก, อยากเลื่อนตำแหน่ง แต่ไม่ได้เลื่อน, อยากสอบได้ แต่ดันสอบตก เป็นต้น
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ให้ความกระจ่างชัดเจนว่า บุญกรรม และ บาปกรรม เป็นสิ่งกำหนดให้มนุษย์แต่ละคนได้รับปัจจัยทางกายและทางใจมาครอบครอง ใครจะได้มากหรือได้น้อย ก็เป็นผลมาจากบุญกรรม และ บาปกรรมที่เขาทำมาในอดีตชาติและชาติปัจจุบัน เขาทำบุญทำบาปกรรมอย่างใดมา สิ่งเหล่านั้นก็จะกลับมาตามสนองเขาเองในชาติปัจจุบัน และชาติอนาคต เพราะไม่เคยมีใครตายจริงๆเลย แม้แต่รายเดียว
การคิดมาก การคิดไม่หยุด การไม่ปล่อยวางความคิด ไม่ยอมเห็นความจริงว่า ทุกอย่างที่เราประสพเจอมาในชีวิต เป็นผลงานของกฎแห่งกรรม ทำให้เราต้องประสพเรื่องราวร้ายดีไม่เหมือนกัน การที่เรามีอคติลำเอียง ไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม เป็นตัวนำพาเรื่องราวต่างๆมาให้เราประสพเจอ เราก็จะไม่มีทางมีความสุขใจได้ เนื่องจากเราพอใจแต่เรื่องที่ต้องการให้เป็น และไม่พอใจกับเรื่องที่เราไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าเราหัดให้อภัยและอโหสิกรรมเสมอ เมื่อเราประสพเจอเรื่องราวที่ทำให้เราไม่พอใจ เราก็คิดว่า เป็นกรรมที่เราเคยทำกับคนอื่นมาก่อน ความโกรธและความไม่พอใจในใจเราก็จะลดลง.... ช่างแม่งมันตลอด อภัยให้มัน ถือว่าเรากำลังใช้บาปกรรมเก่าของเรา ถ้าเราฝึกทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ความทุกข์ในใจเราจะค่อยๆสลายไป ยิ่งถ้าเราหัดทำบุญทำทานบ่อยๆ แล้วอุทิศผลบุญนั้นในใจให้เจ้ากรรมนายเวรของเรา ที่ทำให้เราเจอเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยแล้ว ความทุกข์ในใจเราก็ยิ่งลดลง เนื่องจากได้ใช้หนี้กรรมให้เจ้าหนี้เวรกรรมของเราแล้วนั่นเอง
0 comments:
แสดงความคิดเห็น