A A

5 กรกฎาคม 2558

เมื่อกายจิตของมนุษย์มาจากจิตปภัสสร นิพพานก็คือการกลับไปเป็นจิตปภัสสรใหม่‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏‏

เมื่อพวกเราเป็น และมาจากกาย(จิต)แสงสว่างที่เรียกว่า “นิพพานเป้าหมายสุดท้ายของเราก็คือ การกลับไปเป็นกาย(จิต)แสงสว่างใหม่

"จิตประภัสสร" หมายถึงจิตเดิมแท้ที่ยังว่างอยู่ ยังไม่ถูกอะไรปรุงแต่ง ยังไม่ถูกหุ้มห่อด้วยกิเลส ไม่ถูกหุ้มห่อด้วยผลของกิเลส คือความดี ความชั่ว  จิตปภัสสรนั้นมันก็เลยเป็นเหมือนอย่างเพชร คือ มีรัศมีในตัวมันเอง มีแสงในตัวเอง

แต่ทว่าจิตเดิมแท้ประภัสสร เป็นธรรมชาติของเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเท่านั้น  เมื่อจิตปภัสสรนี้ถูกปนเปื้อนด้วยอวิชชา ด้วยกิเลส ตัณหา ราคะ ความยึดมั่นถือมั่น และความหลงใหลในสิ่งภายนอก  ที่เป็นแค่สิ่งลวงตา  จิตปภัสสร ก็เลยกลายเป็นจิตสกปรกไป  ยิ่งไปทำบุญกรรมและบาปกรรมกับจิตอื่นด้วยแล้ว  กฎแห่งกรรมก็บังคับให้มันใช้บุญกรรมและบาปกรรมที่ทำกับคนอื่นให้หมดก่อน  จิตสกปรกนั้นจึงจะกลับมาสะอาดสดใส และบริสุทธิ์เป็นปภัสสรเหมือนเก่า   


พระพุทธเจ้าของเราสอนวิธีการล้างคราบความสกปรกในจิตออกโดยใช้วิธีทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา คือทำสมาธิ  ทาน ศีล ภาวนา เราเรียกวิธีการทั้ง 3 นี้ว่า "บุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ" 

บุคคลที่มีทานอย่างเดียว ไม่มีการรักษาศีลแล้ว  เปรียบเหมือนบุคคลที่มีข้าวของสมบัติหรือมีเสบียงมากมาย แต่ว่าร่างกายไม่สมบูรณ์ มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ไม่มีกำลังวังชา ก็ไม่สามารถที่จะเดินทางไกลๆ ได้ หรือไม่สามารถที่จะไปสู่พระนิพพานได้นั่นเอง

บุคคลที่มี ทาน ศีล แต่ขาดการภาวนานั้น เปรียบเหมือนบุคคลที่มีเสบียงพร้อมแล้ว มีร่างกายที่สมบูรณ์ มีกำลังวังชาที่ดี แต่บุคคลนั้นเป็นบุคคลที่ตาบอด เขาผู้นั้นก็ไม่สามารถที่จะเดินทางไปสู่พระนิพพานได้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ สำหรับบุคคลที่มี ทาน ศีล ภาวนา พร้อมทั้ง ๓ อย่าง เปรียบเหมือนบุคคลที่มีเสบียงที่พร้อมสมบูรณ์ มีร่างกายที่มีสุขภาพที่แข็งแรง มีสายตาที่ดี บุคคลนี้ก็จะสามารถที่จะเดินทางไกลไปสู่พระนิพพานได้

นิพพาน ก็คือ การกลับไปเป็นจิตปภัสสรใหม่ เหมือนแรกเริ่มเดิมที ที่เราเคยเป็นจิตปภัสสรมา  เพียงแต่ว่าครั้งนี้เมื่อเราล้างพิษจากคราบสกปรกของอวิชชา กิเลส ตัณหา ราคะ ความยึดมั่นถือมั่น และความหลงใหลในสิ่งภายนอก ออกจากจิตหมดแล้ว พระพุทธเจ้าสอนเราให้เจริญวิปัสสนาหรือเจริญสติปัฏฐาน 4 ด้วย  เพื่อเราจะได้ไม่เอาเรื่องราวภายนอกจิตปภัสสรของเรา เอามานึกคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหาและความยึดถือต่างๆอีก  

ถ้าเราทำได้ดังนี้ ความทุกข์ใดๆก็จะกลับมาเยือนเราอีกไม่ได้  เพราะความทุกข์ก็คือความคิดของเราเป็นทุกข์ เนื่องจากเราไปนำเข้าเรื่องราวของโลก ซึ่งเป็นเรื่องภายนอก  เอามาใส่ไว้ในจิตปภัสสรของเรานั่นเอง  ทุกข์มันจึงมี  ถ้าเราไม่เอาเรื่องราวภายนอกมานึกคิดปรุงแต่ง เอามาใส่ไว้ในจิตปภัสสรของเรา  ทุกข์มันก็ไม่มี  ทฤษฎีมันง่ายๆอย่างนั้นแหละ

คำว่าจิตนั้นมันรวมตัวกายหรือรูปด้วยนะ  

"จิตประภัสสร” มันมีสภาวะที่บริสุทธิ์ มันเปรียบเหมือนเพชร มันก็มีกายด้วย เรียกว่า "ธรรมกาย"

ธรรมกาย ก็คือ นิพพานธาตุ หรือ อายตนะนิพพาน  ศาสนาอื่นเรียกว่า "พระเจ้า"  สิ่งที่ทำให้กายเปล่งแสงสว่างออกมา ก็คือ ตัว "ธรรม" หรือ ตัว "จิตมหาบริสุทธิ์"  "ธรรม" หรือ "จิตมหาบริสุทธิ์" นี้ก็คือ "ปัญญา" หรือ "วิชชา" ในทางพุทธศาสนานั่นเอง ส่วนกายก็เป็นธาตุหรือรูปอย่างหนึ่งเท่านั้น

ในภาวะเริ่มต้น  พวกเราโคลนนิ่งจิตปภัสสรของเรา แล้วปล่อยให้จิตปภัสสร ที่เราโคลนนิ่งออกมาท่องเที่ยวใน 31 ภพภูมิ  โดยทิ้งจิตประภัสสรตัวแม่หรือตัวต้นแบบของเราอยู่ในเมืองนิพพาน จิตปภัสสรโคลนนิ่งยังอ่อนต่อโลก  ไม่มีภูมคุ้มกันไวรัสที่พวกเราเหล่าพระเจ้าในเมืองนิพพานปล่อยออกมา  ซึ่งคือ อวิชชา พญามาร หรือซาตาน  ทำให้มนุษย์เรา โดนไวรัสร้ายเหล่านี้หลอกลวง จนต้องพากันเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ  และติดอยู่ใน 31 ภพภูมิ  หาทางกลับไปเป็นจิตปภัสสรเหมือนเก่าไม่ได้ จนกว่าจะหาโปรแกรมกำจัดไวรัสอวิชชาได้

พระเจ้าเป็นธรรมกาย หรือนิพพานธาตุ ธาตุนี้เปรียบเทียบเป็นสมมุติ  ก็มีรูปหรือกายคล้ายเพชรที่มีแสงสว่างในตัวเอง  ด้วยเหตุนี้ กายแสงสว่าง นั่นแหละคือ กายและจิตพระเจ้า  โดยแสงสว่างนั้นคือจิตของพระเจ้า

โชคดีที่พระพุทธเจ้าของเรา  ค้นพบโปรแกรมกำจัดไวรัสอวิชชาง่ายๆ ที่จะทำให้จิตของเรากลับไปเป็นจิตปภัสสรใหม่  โปรแกรมหรือวิธีกำจัดไวรัสอวิชชานั้นก็คือ เจริญวิปัสสนาหรือเจริญสติปัฏฐาน 4  ซึ่งผมไม่อยากกล่าวถึงในที่นี้

(
นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี ปัญญา = ความรู้  พระพุทธเจ้า เป็นสัพพัญญู  รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง  ดังนั้นอย่าไปสงสัยเลยว่า พระพุทธเจ้า ไม่ใช่ GOD)

0 comments:

แสดงความคิดเห็น