A A

18 กรกฎาคม 2558

จิตสุดท้ายกำหนดการไปอยู่ในสวรรค์หรือนรกได้ชั่วคราว หรือได้นานกันแน่? จะอยู่ในสวรรค์ได้นานมากๆๆๆๆทำอย่างไร

ยามตายหากจิตใจเรายึดโยงแต่สำนึกที่ไม่ดี  เราก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี
ยามตายหากจิตใจเรายึดโยงอยู่กับในกรรมที่ดี เราก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี

ตอบ

ผมไม่ได้ค้านว่า คำตอบของคุณผิดนะครับ  เพียงแต่คำตอบของคุณยังกำกวมเท่านั้น

- จิตสุดท้ายไปยึดติดกับกรรมชั่ว จะไปเกิดในอบายภูมิเพียงชั่วคราว ระยะสั้นเท่านั้น เหมือนพระนางมัลลิกา พระอัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระนางนั้นทำบุญไว้มาก แต่ยังตกนรก 7 วันของโลก (ไม่กี่วินาทีในนรก) พอผ่านไป ๗ วัน  กรรมมวลรวมที่มีแต่ความดี  ก็นำไปสู่สวรรค์ขั้นดาวดึงส์

- จิตสุดท้ายไปยึดติดกับกรรมดี จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีในระยะสั้นเท่านั้น ถ้ากรรมมวลรวมของเขาเป็นกรรมชั่ว  เขาจะเสวยสุขในภพที่ดีชั่วคราวเท่านั้น  แล้วกรรมมวลรวมที่ชั่วก็จะดึงเขาลงอบายภูมิ  แต่กรณีของแคล้ว ธนิกุล และมัฎฐกุณฑลีเทพบุตร  รวมทั้งประชาชนที่นับถือพุทธมหายาน นิกายสุขาวดี  จิตของพวกเขาระลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระอมิตาภะพุทธเจ้า พวกเขาจึงไม่ตกนรก แต่ได้ไปเกิดบนสวรรค์

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเคยอธิบายว่า  "... ก็ เป็นอันว่าการนึกถึงพระพุทธเจ้า มีความเคารพพระพุทธเจ้านั้น....แม้แต่เล็กน้อยอย่างมัฎฐกุณฑลีเทพบุตร เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์ก็พ้นจากการเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาได้ "


พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

"ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

"ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"

คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ


มีพุทธพจน์รองรับเต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าจากพุทธดำรัส ใช้คำว่า ผู้ถึงพระรัตนตรัย ได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว ผู้ถือเอาพระรัตนตรัย

ไม่ใช่เป็นการนึกถึงเล่นๆแต่อย่างใด ต้องมีการใส่ใจ เอาใจลงไปใส่ลงในพระพุทธเจ้าและพระรัตนตรัย หรือศรัทธาเลื่อมใส เช่น นายแคล้ว ธนิกุล เขาทำอย่างนั้นอยู่เสมอมา วาระสุดท้ายก็อมพระสมเด็จไว้ เขาจึงไม่ตกนรก

..................................................................................................

ถามว่า: ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ทำจิตให้ผ่องใสได้ก็ไปสุคติ โดยเฉพาะมีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า เขาจะได้ไปเกิดในสวรรค์ จริงหรือ?

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า

"ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้

ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย"

พระนาคเสนทูลตอบว่า

"ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่"

" ไม่ได้ "

" ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่ "

" ก็ได้สิเธอ "


" ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย

มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง

เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ

ประหนึ่ง ศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็เป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน "

" สมเหตุสมผลละ "

สรุป


จิต ก่อนตายระลึกถึงพระพุทธเจ้า ตายแล้วไปสวรรค์  ระลึกถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้าย่อมไปเกิดในสวรรค์แดนสุขาวดี  แล้วในศาสนาอื่นระลึกถึงพระเจ้า จะขึ้นสวรรค์เหมือนกันไหม

การรำลึกถึงอัลเลาะฮ์ และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระองค์ตลอดเวลานั้นคือ พลังแห่งความสุข ดังที่ อัลกุรอาน กล่าวความว่า
"พึงสังวร ! ดวงจิตทั้งหลายจักสงบ เพราะการรำลึกถึงอัลเลาะฮฺอย่างแน่นอน"

พระเยซูพูดถูกแล้วว่า  จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก

ประตูใหญ่ = ประตูที่ต้องพึ่งตัวเอง  ปฏิบัติเอาเอง ปฏิบัติสำเร็จก็เป็นพระอรหันต์  เข้านิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ไป  แล้วในแต่ละยุค ใน 50 ล้านคน  มันมีอรหันต์ไม่ถึง100 คน =0.000002% นอกนั้นลงอบาย อยู่ในสวรรค์และพรหมโลกชั้นโลกียะอีกนิดหน่อย แล้วกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ก็คือประตูใหญ่ พึ่งห่าอะไรไม่ค่อยได้

ประตูแคบ = พึ่งบารมีพระพุทธเจ้าและพระมหาโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป  (พระเยซูเป็นจิตหนึ่งของพระมหาโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป นามว่า พระศรีอริยะเมตตรัยพุทธเจ้า) พิธีรับศีลมหาสนิท เป็นพิธีที่แสดงว่า เคารพนับถือพระเจ้าที่เป็นพระบุตร = อยู่ในเรือของท่านไปสวรรค์อย่างเดียว ถ้าทำบาปใหญ่ๆแล้วสารภาพบาปนะ

0 comments:

แสดงความคิดเห็น