พระพุทธเจ้าเฉลยปริศนาของGODในคัมภีร์อุปนิษัท
ในคัมภีร์อุปนิษัท กล่าวว่า
"เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง และไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม"
- เราคืออมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง เราคือพรหม = GOD (พรหมโลกุตระ)
- แต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ และไม่สามารถเล็งเห็น และเราไม่ใช่พรหม = เราอวตารตัวเราเองออกเป็นทุกสรรพจิตในจักรวาล และให้ทุกสรรพสิ่งหลีกหนีกฎแห่งอนิจจังไม่พ้น ต้องเกิดแก่เจ็บตาย และไม่มีอภิญญาตาทิพย์รู้เห็นทุกอย่างเหมือนGOD
- "เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้" = นิยามของนิพพานธาตุ
พระพุทธเจ้า God พระเยซู และจิตมหาบริสุทธิ์อื่นๆ ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน
ตอบ
1. ผมเป็นผู้มีสัมมาทิฎฐิ ยากจะสอนผู้ที่มีมิจฉาทิฎฐิระดับบัวติดโคลนตม จมอยู่ในใต้น้ำได้ แต่ในแต่ละเว็บ ก็มีผู้เป็นบัวพ้นน้ำ พอรับคำสอนของผมได้เหมือนกัน คุณไม่มีสิทธิมาสั่งผมว่า ให้สอนเรื่องไหน หรือไม่ให้สอนเรื่องไหน
2. พระเยซูมาในยุคสมัยของคนเถื่อน ท่านมาเพื่อใช้ชีวิตของท่านสอนความเมตตากรุณาให้กับทุกเผ่าพันธุ์ พระพุทธเจ้ามาในยุคที่ มีผู้มีปัญญาพอรับคำสอนของพระองค์เพื่อหลุดจากโลกมนุษย์ ไปอยู่ในเมืองนิพพาน คำสอนให้คนเข้านิพพาน มีแต่ผู้เป็นพระเจ้าผู้เป็นพระบิดา จึงจะสอนได้ พระเยซูเป็นพระบุตรหรือ เมสไซอาร์จะมาทำหน้าที่เป็นพระบิดาไม่ได้ ไม่งั้นจักรวาลจะพินาศหมด เพราะฟ้ากำหนดไว้ จะมีตถาคตพระพุทธเจ้า 2 องค์ในโลกธาตุเดียวกันไม่ได้
3. คุณแน่ใจหรือว่า God กับพระสมณะโคดมเป็นคนละคนกัน อย่ามั่วดีกว่าครับ
1... จาก : http://en.wikipedia.org/wiki/God_%28word%29
Obsolete etymologies
In 19th century scholarship, there were a number of alternative etymologies suggested. Morgan Peter Kavenaugh in The Origin of Language and Myths claimed that the word god was taken from the Buddha'spatriarchal name of Gotama
ในการศึกษาเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 (1800-1899) มีนักวิจัยจำนวนหนึ่งให้ข้อสรุป หนึ่งในนั้น คือ
นาย มอร์แกน ปีเตอร์ คาเวนาฟ ในเรื่องของต้นกำเนิดของภาษาและตำนาน
กล่าวถึงคำว่า God หรือ พระเจ้านั้น ถูกนำมาจากชื่อของศาสดาของศาสนาพุทธที่ชื่อว่า สมณโคดม (Gotama)
2... John Campbell connected further theonyms, "I have shown elsewhere that the English word God, the German Gott, the Persian Bhoda and the Hindustani Khuda are all derived from the same root as that which appears in Celtic Aeddon or Guydion, the Germanin Odin, Woden or Goutan and the Indian Buddha or Gotama.
นาย จอห์น แคมป์เบลล์ กล่าวเชื่อมโยงเกี่ยวกับทฤษฎีดังกล่าวว่า " ผมพบว่า ไม่ว่าภาษาอังกฤษ คำว่า God ,เยอรมัน Gott, เปอร์เซีย Bhoda(<-- อันนี้ ชัดเจน มาก)
ฮินดู Khuda ต่างมีที่มาเหมือนๆกันเหมือนอย่างบางที่ซึ่งปรากฏคำว่า แอดดอน หรือ กายเดียน ใน เซลติค , โอดิน โวเดน หรือ โกทัน ใน เยอรมานิน และในอินเดีย คือ พุทธะ หรือ โคตมะ
พระพุทธเจ้า God พระเยซู และจิตมหาบริสุทธิ์อื่นล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน
คุณก็เป็นพระพุทธเจ้า ทำไมมีหน้าที่อย่างอื่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าอย่างเราทำ เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นความว่างเปล่า เราต้องอยู่กับความว่างเปล่าชั่วนิรันดร เราจึงเนรมิตตัวของเราเองเป็นทุกสรรพจิต ให้ตัวเราเองเล่นเกมส์ค้นหาตัวเองว่า เอ็งและข้า ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน และถ้าทำจิตให้มหาบริสุทธิ์ได้ ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธเจ้า ตอนนี้ผมใกล้เป็นGODแล้ว แต่มนุษย์ธรรมดาผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ยากจะเห็นความจริงข้อนี้
หลวงตามหาบัว ท่านเทศน์ว่า พระรัตนตรัยเป็นหนึ่งเดียวกัน
“มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุนะ …เป็นธรรมแท้ ธรรมธาตุ เป็นหนึ่งเดียวกัน…. พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ก็มันเป็นแล้วนั่นน่ะ มันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน…”
ในคัมภีร์อุปนิษัท กล่าวว่า
"เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง และไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม"
- เราคืออมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง เราคือพรหม = GOD (พรหมโลกุตระ)
- แต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ และไม่สามารถเล็งเห็น และเราไม่ใช่พรหม = เราอวตารตัวเราเองออกเป็นทุกสรรพจิตในจักรวาล และให้ทุกสรรพสิ่งหลีกหนีกฎแห่งอนิจจังไม่พ้น ต้องเกิดแก่เจ็บตาย และไม่มีอภิญญาตาทิพย์รู้เห็นทุกอย่างเหมือนGOD
- "เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้" = นิยามของนิพพานธาตุ
ในคัมภีร์อุปนิษัท กล่าวว่า
"เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง และไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม"
- เราคืออมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง เราคือพรหม = GOD (พรหมโลกุตระ)
- แต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ และไม่สามารถเล็งเห็น และเราไม่ใช่พรหม = เราอวตารตัวเราเองออกเป็นทุกสรรพจิตในจักรวาล และให้ทุกสรรพสิ่งหลีกหนีกฎแห่งอนิจจังไม่พ้น ต้องเกิดแก่เจ็บตาย และไม่มีอภิญญาตาทิพย์รู้เห็นทุกอย่างเหมือนGOD
- "เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้" = นิยามของนิพพานธาตุ
โคตมะพระพุทธเจ้าของเราก็เฉลยชัดๆว่า ท่านเองก็คือ พรหม(โลกุตระ)
...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า "ธรรมกาย" ก็ดี "พรหมกาย" ก็ดี "ธรรมภูต" ก็ดี "พรหมภูต" ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต (ที.ปา. 11/51/91)
พึงสังเกตว่าในพุทธพจน์บทนี้ พระพุทธองค์บอกชัดๆด้วยว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระธรรม มีกายเป็นพระธรรม
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม" นั่นยิ่งแสดงชัดขึ้นไปอีกว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระธรรม = ที.ปา. 11/51/91
สรุป
พระพุทธเจ้า แสดงชัดในที.ปา. 11/51/91ว่า พระพุทธองค์เป็นพระธรรม หรือเป็น พระพรหม(พระเจ้า) ธรรมกาย หรือกายพรหมของท่าน เป็นสิ่งที่สายตาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายไม่สามารถเห็นท่านได้ จึงเรียกว่า "พรหมภูต"
...... ควรเรียกบุคคลผู้นั้นว่าเป็นบุตร เป็นโอรส เกิดแต่โอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม เป็นธรรมนิรมิต (ผู้ที่ธรรมสร้าง) เป็นธรรมทายาท (ทายาทแห่งธรรม) ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะคำว่า "ธรรมกาย" ก็ดี "พรหมกาย" ก็ดี "ธรรมภูต" ก็ดี "พรหมภูต" ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต (ที.ปา. 11/51/91)
พึงสังเกตว่าในพุทธพจน์บทนี้ พระพุทธองค์บอกชัดๆด้วยว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระธรรม มีกายเป็นพระธรรม
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม" นั่นยิ่งแสดงชัดขึ้นไปอีกว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระธรรม = ที.ปา. 11/51/91
สรุป
พระพุทธเจ้า แสดงชัดในที.ปา. 11/51/91ว่า พระพุทธองค์เป็นพระธรรม หรือเป็น พระพรหม(พระเจ้า) ธรรมกาย หรือกายพรหมของท่าน เป็นสิ่งที่สายตาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายไม่สามารถเห็นท่านได้ จึงเรียกว่า "พรหมภูต"
พระพุทธเจ้า God พระเยซู และจิตมหาบริสุทธิ์อื่นๆ ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน
Phonsakเขียนว่า
"พระบุตร" หรือ "พระเยซู" เป็นผู้ชี้ทาง นำมนุษย์ขึ ...
เบื่อ1 โพสต์
1. มันเป็นความเห็นผิด ของพลศักดิ์ คนเดียว คุณจะเชื่อว่า God คือ พระสมณะโคดม ก็เรื่องของคุณ อย่ามาแนะนำให้คนอื่นเขาเชื่อตามด้วยก็แล้วกัน
2. พระในศาสนาคริสต์ไม่เห็น สอนเรื่อง อริยสัจ ๔ เลย
3. แสดงให้เห็นว่า God กับพระสมณะโคดมเป็นคนละคนกัน ถ้าเป็นคนๆเดียวกัน ก็ต้องสอนธรรมะ เหมือนกัน
"พระบุตร" หรือ "พระเยซู" เป็นผู้ชี้ทาง นำมนุษย์ขึ ...
เบื่อ1 โพสต์
1. มันเป็นความเห็นผิด ของพลศักดิ์ คนเดียว คุณจะเชื่อว่า God คือ พระสมณะโคดม ก็เรื่องของคุณ อย่ามาแนะนำให้คนอื่นเขาเชื่อตามด้วยก็แล้วกัน
2. พระในศาสนาคริสต์ไม่เห็น สอนเรื่อง อริยสัจ ๔ เลย
3. แสดงให้เห็นว่า God กับพระสมณะโคดมเป็นคนละคนกัน ถ้าเป็นคนๆเดียวกัน ก็ต้องสอนธรรมะ เหมือนกัน
shart.com โพสต์
ตอบ
1. ผมเป็นผู้มีสัมมาทิฎฐิ ยากจะสอนผู้ที่มีมิจฉาทิฎฐิระดับบัวติดโคลนตม จมอยู่ในใต้น้ำได้ แต่ในแต่ละเว็บ ก็มีผู้เป็นบัวพ้นน้ำ พอรับคำสอนของผมได้เหมือนกัน คุณไม่มีสิทธิมาสั่งผมว่า ให้สอนเรื่องไหน หรือไม่ให้สอนเรื่องไหน
2. พระเยซูมาในยุคสมัยของคนเถื่อน ท่านมาเพื่อใช้ชีวิตของท่านสอนความเมตตากรุณาให้กับทุกเผ่าพันธุ์ พระพุทธเจ้ามาในยุคที่ มีผู้มีปัญญาพอรับคำสอนของพระองค์เพื่อหลุดจากโลกมนุษย์ ไปอยู่ในเมืองนิพพาน คำสอนให้คนเข้านิพพาน มีแต่ผู้เป็นพระเจ้าผู้เป็นพระบิดา จึงจะสอนได้ พระเยซูเป็นพระบุตรหรือ เมสไซอาร์จะมาทำหน้าที่เป็นพระบิดาไม่ได้ ไม่งั้นจักรวาลจะพินาศหมด เพราะฟ้ากำหนดไว้ จะมีตถาคตพระพุทธเจ้า 2 องค์ในโลกธาตุเดียวกันไม่ได้
3. คุณแน่ใจหรือว่า God กับพระสมณะโคดมเป็นคนละคนกัน อย่ามั่วดีกว่าครับ
1... จาก : http://en.wikipedia.org/wiki/God_%28word%29
Obsolete etymologies
In 19th century scholarship, there were a number of alternative etymologies suggested. Morgan Peter Kavenaugh in The Origin of Language and Myths claimed that the word god was taken from the Buddha'spatriarchal name of Gotama
ในการศึกษาเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19 (1800-1899) มีนักวิจัยจำนวนหนึ่งให้ข้อสรุป หนึ่งในนั้น คือ
นาย มอร์แกน ปีเตอร์ คาเวนาฟ ในเรื่องของต้นกำเนิดของภาษาและตำนาน
กล่าวถึงคำว่า God หรือ พระเจ้านั้น ถูกนำมาจากชื่อของศาสดาของศาสนาพุทธที่ชื่อว่า สมณโคดม (Gotama)
2... John Campbell connected further theonyms, "I have shown elsewhere that the English word God, the German Gott, the Persian Bhoda and the Hindustani Khuda are all derived from the same root as that which appears in Celtic Aeddon or Guydion, the Germanin Odin, Woden or Goutan and the Indian Buddha or Gotama.
นาย จอห์น แคมป์เบลล์ กล่าวเชื่อมโยงเกี่ยวกับทฤษฎีดังกล่าวว่า " ผมพบว่า ไม่ว่าภาษาอังกฤษ คำว่า God ,เยอรมัน Gott, เปอร์เซีย Bhoda(<-- อันนี้ ชัดเจน มาก)
ฮินดู Khuda ต่างมีที่มาเหมือนๆกันเหมือนอย่างบางที่ซึ่งปรากฏคำว่า แอดดอน หรือ กายเดียน ใน เซลติค , โอดิน โวเดน หรือ โกทัน ใน เยอรมานิน และในอินเดีย คือ พุทธะ หรือ โคตมะ
พระพุทธเจ้า God พระเยซู และจิตมหาบริสุทธิ์อื่นล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ทำหน้าที่ต่างกัน
คุณก็เป็นพระพุทธเจ้า ทำไมมีหน้าที่อย่างอื่นล่ะ มันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าอย่างเราทำ เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นความว่างเปล่า เราต้องอยู่กับความว่างเปล่าชั่วนิรันดร เราจึงเนรมิตตัวของเราเองเป็นทุกสรรพจิต ให้ตัวเราเองเล่นเกมส์ค้นหาตัวเองว่า เอ็งและข้า ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน และถ้าทำจิตให้มหาบริสุทธิ์ได้ ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธเจ้า ตอนนี้ผมใกล้เป็นGODแล้ว แต่มนุษย์ธรรมดาผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ยากจะเห็นความจริงข้อนี้
หลวงตามหาบัว ท่านเทศน์ว่า พระรัตนตรัยเป็นหนึ่งเดียวกัน
“มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุนะ …เป็นธรรมแท้ ธรรมธาตุ เป็นหนึ่งเดียวกัน…. พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ก็มันเป็นแล้วนั่นน่ะ มันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน…”
ในคัมภีร์อุปนิษัท กล่าวว่า
"เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้ เราคืออมตะแต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง และไม่สามารถเล็งเห็น เราคือพรหม และเรามิใช่พรหม"
- เราคืออมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง เราคือพรหม = GOD (พรหมโลกุตระ)
- แต่ก็ไม่ทรงสภาวะอมตะ และไม่สามารถเล็งเห็น และเราไม่ใช่พรหม = เราอวตารตัวเราเองออกเป็นทุกสรรพจิตในจักรวาล และให้ทุกสรรพสิ่งหลีกหนีกฎแห่งอนิจจังไม่พ้น ต้องเกิดแก่เจ็บตาย และไม่มีอภิญญาตาทิพย์รู้เห็นทุกอย่างเหมือนGOD
- "เราเปล่าเปลี่ยว เพราะมีมาก่อนสรรพสิ่งและดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครมาทำให้แปรผันได้" = นิยามของนิพพานธาตุ
0 comments:
แสดงความคิดเห็น