A A

7 มิถุนายน 2558

กลัวตกนรกทำอย่างไร

จาก: untitled

สวัสดีครับคุณพลศักดิ์ ผมเพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกในเว็บบอร์ดนี้ไม่นาน อีกไม่นานนี้ผมกำลังจะไปถือศีล 8 เพื่อให้พระท่านทดสอบว่าผมจะบวชได้หรือเปล่าที่สถานปฏิบัติธรรม อุทยานธรรมธรรมทินโน อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม สนใจบทความเกี่ยวกับข้อธรรมที่คุณพลศักดิ์ได้เผยแพร่ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ มาก เพราะ แหวกแนวดี บางครั้ง ข้อธรรมที่อ่านแหวกแนวเกินไปจน

1. ผมนึกหวั่นว่าตอนตายผมจะได้ลงอบายภูมิกับเขาเหมือนกัน แต่ผมก็สนใจจะติดตามข้อธรรมและธรรมะที่คุณพลศักดิ์เขียนเผยแพร่อย่างมาก ๆ

2. ไม่ทราบว่าคุณพลศักดิ์ ได้เผยแพร่ธรรมที่เว็บไหนบ้างครับ และมีเว็บไซต์หรือบล็อก ของคุณพลศักดิ์ที่เป็นเจ้าของเองอยู่บ้างหรือเปล่า เพราะจะเป็นประโยชน์กับผมอย่างยิ่งในการได้ศึกษาข้อธรรมของคุณพลศักดิ์ในภายหลัง(เกรงว่าตอนบวชจะมาขอที่อยู่เว็บไซต์กับคุณพลศักดิ์ไม่ได้) เนื่องจากข้อธรรมบางข้อ มันสูงล้ำกว่าภูมิธรรมของผมในขณะนี้ จึงต้องไปบวชเรียนพระธรรมสะสมภูมิธรรมเสียก่อน ถ้าอย่างไร ขอลิงค์เว็บไซต์ที่สามารถติดตามข้อธรรมของคุณพลศักดิ์ได้เรื่อย ๆ ด้วยนะครับ

ตอบ

1. ผมนึกหวั่นว่าตอนตายผมจะได้ลงอบายภูมิกับเขาเหมือนกัน
คุณก็ขอพระอมิตาภะพุทธเจ้าเข้าไปอยู่ในแดนสุขาวดีซิ ที่นั่นไม่มีนรก ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด คือ ไม่ต้องเกิด ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ และไม่ต้องตายอีก  วิธีการก็ง่ายนิดเดียว  ระลึกถึงพระอมิตาภะ สวด “อามีทอฝอ” (ออนีทอฮุก) หรือท่องอมิตาพุทธอย่างตั้งใจมั่น 5-10 ครั้ง  แล้วชาตินี้ก็สำนึกบาปใหญ่ๆที่คุณเคยทำมา  ตั้งสัจจะว่า คุณจะไม่ทำบาปเช่นนั้นอีก  ถ้าคุณขาดสติทำบาปนั้นอีก ก็ทำการสำนึกบาป และตั้งสัจจะอย่างแน่วแน่ใหม่ว่า คุณจะไม่ทำบาปเช่นนั้นอีก  ถ้าคุณยังเผลอใจ  ทำบาปแบบนั้นอีก ก็สำนึกบาปใหม่และตั้งสัจจะอีกครั้งว่า  คุณจะไม่ทำบาปเช่นนั้นอีก

ตอนคุณใกล้ตาย พระอมิตา ก็ยังให้โอกาสมนุษย์ครั้งสุดท้าย  ถ้ามีนิมิตความชั่วใหญ่ๆมาหาคุณอีก  คุณต้องสำนึกในบาปนั้น  ตั้งสัจจะอย่างแน่วแน่ว่า  ถ้าเจอเหตุการณ์เช่นนั้นอีกในชาติไหนก็ตาม  คุณจะไม่ทำบาปนั้นอย่างเด็ดขาด  แล้วท่องอมิตาพุทธ 3-5 ครั้ง หรือท่องไปเรื่อยๆ  จนวิญญาณคุณออกจากร่าง

หลักของพุทธศาสนามหายานและเถรวาท  รวมทั้งหลักของศาสนาทั่วโลกและทั่วจักรวาล  จิตช่วงสุดท้าย  ถ้าระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าองค์ใดก็แล้วแต่  ไม่มีวันตกนรก  เจ้าพ่อแคล้ว ธนิกุลชั่วมาทั้งชีวิต  ก่อนตายอมสมเด็จวัดระฆังไว้ในปาก  ระลึกถึงพระพุทธเจ้า  พอตายไปแล้วแค่ 1 วัน หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงข่าวว่า มีผู้เห็นคุณแคล้วแต่งชุดสากลเดินเข้าไปในสมาคมมวยแห่งประเทศไทย 

แล้วถัดมาอีกหลายปี 
หลวงปู่โง่น โสรโย ผู้เขียนหนังสือเรื่องพระพี่นางสุพรรณกัลยา ท่านเล่าว่า คุณแคล้วเอารถลิมูซีนมารับท่านไปส่งที่วัด ....ผีนายแคล้ว เอารถลิมูซีนผี มารับท่านไปส่งถึงวัด เป็นการยืนยันว่า คุณแคล้วไม่ตกนรก แต่เป็นเทวดาระดับสูง เพราะว่ามีแต่เทวดาระดับสูงเท่านั้นจึงจะแสดงฤทธิ์ และสร้างกุศลเช่นนั้นได้

คราวนี้ลองฟังคำสอนของหลวงตาม้าบ้าง
คัดจาก หลวงตาม้าสอนศิษย์ > หลวงตา....ที่ผมรู้จัก
www.watthummuangna.com/board/archive/index.php/t-3145.html


ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยถามหลวงตาท่านว่า...

หลวงตาค่ะ...ถ้าเรายังไม่ถึงระดับพระอริยบุคคล อย่างเช่นพระโสดาบัน เรายังตัดสังโยชน์ไม่ได้ ก็มีสิทธิ์ไปอบายภูมิได้ใช่ไหมค่ะ..


.....ไม่ได้...ถ้าเรายึดไตรสรณคมน์ได้นะ...อบายภูมิไม่ใช่ที่ไป

อ้าววว..งั้นถ้าคนเกิดมาแล้วทำเลวทั้งชาติ ตอนตายจับพระได้ก็ไม่ลงนรกซิค่ะ...หลวงตา

.....ใช่...ก็อย่างแคล้ว ธนิกุล ไง ตอนตายจับพระได้ ตอนนี้ยังเป็นเทวดาอยู่เลย

งั้นก็เป็นได้ไม่นานซิค่ะ..หลวงตา เพราะทำไม่ดีไว้มาก


.....นานนะ...ขึ้นอยู่กับบารมีของพระที่จับด้วย

ยังงั้นถ้าคนทำไม่ดีไว้ ตอนตายจับพระได้ จะไปใช้กรรมตอนไหนล่ะค่ะ


....ยังไงก็ต้องชดใช้........

อย่างไรก็ตาม หลวงตาม้า ยังรู้ไม่ลึก  ถ้าเป็นบุญบาปธรรมดา ยังไงก็ต้องชดใช้  แต่ถ้าเป็นบุญที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้าอาจจะไม่ต้องลงมาใช้บาปกรรม... ถ้าไม่ลงมาเกิดอีก  แล้วไปอยู่ในแดนสุขาวดี ที่พระพุทธเจ้าของเราจะนำนายแคล้วไปอยู่ที่นั่น  เพราะพระพุทธเจ้าของเราเป็นอวตารของพระอมิตาภะพุทธเจ้า

สรุป

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

  "ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

  "ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

  "ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"

  “คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ 
นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ

มีพุทธพจน์รองรับเต็มไปหมด ถ้าคุณยังตกนรกอีก  คุณก็ไปเฉ่งพระพุทธเจ้าในนรกเอาเอง  เพราะมีกายทิพย์ของพระพุทธเจ้าหลายพระองค์  คอยให้ความกรุณาและให้ความเป็นธรรมในนรกภูมิด้วย



รวมเรื่องการสำนึกบาปในพุทธ คริสต์ อิสลาม เพื่อไม่ให้ตกนรก ตอนแรก

"มีใครไม่เคยก่อกรรมทำชั่วในโลกนี้ มีใครบ้าง ได้โปรดแสดงตัวออกมา"

เมื่อเราเป็นมนุษย์ เราย่อมต้องเคยทำผิดหรือทำบาปอะไรมาบ้างล่ะ..ไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้ ศาสนาทุกศาสนาจึงมีการสารภาพบาป หรือสำนึกบาปอย่างจริงใจ และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปเช่นนั้นอีก ทั้งนั้น การสารภาพบาปไม่ใช่เพื่อล้างบาป แล้วไม่ต้องรับผลกรรมนะครับ การล้างบาปแบบนั้นไม่มี เป็นการเขียนบิดเบือนคำสอนของศาสดาของศาสนานั้นกันเอาเองในภายหลัง ศาสดาเขาสอนมาดี แต่หลังๆ มีการเพิ่มเติมกัน ทำให้ผิดเพี้ยนจากความจริงไปเยอะ

จริงอยู่ บาป ล้างกันไม่ได้ แต่...สำนึกบาปและสารภาพ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปเช่นนั้นอีก สิ่งนี้ทำได้ เมื่อเราสำนึก สารภาพ และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำผิดบาปเช่นนั้นอีก วิบากกรรมหรือผลกรรมของบาปที่จะนำเราไปสู่นรกย่อมไม่มี แต่ วิบากกรรมหรือผลกรรมทางโลกยังต้องมีอยู่ตามกฎแห่งกรรม เพียงแต่ผลกรรมบนโลกนั้นจะเบาบางลงเท่านั้น นี่แหละคือคำตอบของการแก้กรรมหนีนรกในทุกศาสนา

ตัวอย่าง

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ในวัยเด็กท่านเคยฆ่าไก่ตายเป็นจำนวนมากด้วยการหักคอไก่ ต่อมาหลังจากท่านมาบวชเป็นพระแล้ว ท่านก็สำนึกในบาปกรรมที่เคยได้ทำในวัยเด็ก

ที่สำคัญ ท่านก็รู้ในจิตของท่านจากการปฏิบัติกรรมฐานด้วยว่า เหล่าวิญญาณไก่ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านตามมาทวงหนี้กรรมแล้ว และท่านก็ต้องรับผลกรรมนั้น โดยหลวงพ่อจรัญ ต้องคอหักตายในวันที่ 14 ตุลาคม 2521

และแล้ว.....เหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ ท่านรถคว่ำ คอของหลวงพ่อหัก แต่ทว่า หลวงพ่อจรัญ ท่านไม่ตายครับ อยู่ต่อมาถึงทุกวันนี้ให้เราได้กราบไหว้ เป็นผลมาจากการสำนึกบาปหรือการก้าวล่วงกรรมของท่าน ทำให้วิบากกรรมของท่านนั้นเบาบางลงนั่นเอง

ถามว่า.....แล้วหลวงพ่อจรัญต้องไปรับกรรมต่อในนรกไหมครับต้องดูที่พระพุทธเจ้าบอกกับพระองคุลิมาล เมื่อพระองคุลิมาล (แม้ว่าจะสำนึกผิดแบบเด็ดขาด และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ฆ่าคนอีก) แต่ท่านก็ยังต้องได้รับผลกรรมทางโลกอยู่บ้างแต่น้อยมาก คือ เมื่อท่านไปบิณฑบาต ท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น

= ต้องรับเศษกรรมด้วย เพราะเราไปทำกับขันธ์ 5 (กาย) คนอื่น จึงต้องรับผลกรรมในขันธ์ 5(กาย)ของเราตามกฎแห่งกรรม แต่ทว่ากรรมนั้นเบาบางลงมาก เป็นเศษกรรม

พอมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า

"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" (รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก)

ในพระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์ ข้อ 413 พิธีอุทยคามินีของพราหมณ์

ปัญหา นายคามณี อสิพันธกบุตรกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า นิครนถ์นาฏบุตรสอนว่า ใครก็ตามที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม และพูดเท็จ จะต้องเข้าถึงอบายและนรกอย่างแน่นอน กรรมใดที่คนทำเป็นส่วนมากจนเป็นนิสัย จะนำเขาเข้าสู่นรก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นอย่างไร ?

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า:

"ดูก่อนนายคามณี ท่านจะเห็นความข้อนั้นเป็นอย่างไร บุรุษผู้ฆ่าสัตว์ ถือเอาของที่เขามิได้ให้ ประพฤติผิดในกาม เป็นผู้กล่าวเท็จ ในกลางคืนก็ดี ในกลางวันก็ดี รวมทั้งสมัยและมิใช่สมัยก็ดี เวลาไหนมากกว่า ? เวลาฆ่าสัตว์ หรือเวลาไม่ฆ่าสัตว์?"

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลาที่เขาฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จน้อยกว่า เวลาที่เขาไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดเท็จมากกว่าโดยแท้”

ดูก่อนนายคามณี เมื่อเป็นเช่นนี้จักไม่มีใครไปสู่อบาย ตกนรกตามคำของนิครนถ์นาฏบุตรที่ว่ากรรมใด ๆ มีมาก เขาจักถูกกรรมนั้นนำไป....(เพราะเวลาที่เราทำดีมีมากว่าเวลาที่เราทำชั่ว)

ดูก่อนนายคามณี ส่วนพระตถาคตอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงตำหนิการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม และพูดเท็จ และตรัสว่า จงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ โดยอเนกปริยายสาวกผู้เลื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิปาณาติบาต และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อนั้นไม่ดีไม่งาม เราพึงเดือดร้อนเพราะข้อนั้นเป็นปัจจัย บาปกรรมนั้นจักเป็นอันยกเลิกไม่ได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรมก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้"

สรุป

นายคามณีเข้าใจผิดว่า การผิดศีล 5 ต้องเข้าถึงอบายภูมิและนรก อย่างแน่นอน หลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่พระพุทธเจ้ากลับตอบว่า คนที่ผิดศีล 5 ไปแล้ว ถ้าเขาทำการก้าวล่วงกรรม หรือการสำนึกบาปโดยเด็ดขาดแล้ว จะทำให้เขาไม่ต้องลงอบายภูมิและนรก จะรับเพียงเศษกรรมเก่าเท่านั้น

ในสุตตันต มัชฌิมนิกาย สัจจวิภังคสูตร 22/542-546 พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า:

" กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด " 

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า: (บันทึกอยู่ในอสังขาสูตร)

"เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่สละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้ ฉะนั้น"
 

ให้ละวาจานั้น ให้ละความคิดนั้น ให้ละความเห็นนั้น คือ ให้ละสิ่งนี้ออกจากจิตไปเลย
 "เราต้องไปอบาย ต้องตกนรก" เพราะเราได้ทำการสำนึกผิด สารภาพบาป และตั้งใจแน่วแน่แล้วว่า เราจะไม่ทำบาปเช่นนั้นอีก เราจึงตกนรกไม่ได้

2. ไม่ทราบว่าคุณพลศักดิ์ ได้เผยแพร่ธรรมที่เว็บไหนบ้างครับ และมีเว็บไซต์หรือบล็อก ของคุณพลศักดิ์ที่เป็นเจ้าของเองอยู่บ้างหรือเปล่า

* Blog แห่งนี้เป็นที่รวบรวมสิ่งที่คุณพลศักดิ์เคยโพสต์ไว้ในที่ต่างๆ
(*โดยผู้จัดทำ)

0 comments:

แสดงความคิดเห็น