A A

17 พฤษภาคม 2558

เจาะลึกแก่นของสติปัฏฐาน 4

สติปัฏฐาน4 มีอะไรบ้าง พิจารณาอะไรบ้างครับ
...อยากฟังธรรมจากคุณพลศักดิ์


Next โพสต์

ตอบ

ผมจะตอบเรื่องสติปัฏฐาน 4 ของพระพุทธเจ้าแบบเจาะลึกถึงแก่นเลย แต่ผมจะไม่ตอบสติปัฏฐาน 4 มีอะไรบ้างนะครับ เรื่องนั้นต้องไปอ่านตำราเอาเอง หรือไม่ก็ให้ท่านผู้รู้ท่านอื่นตอบ

พระสมณะโคดมถูกพญามารลวงหลอก เสียเวลาถึง 6 ปี ก็ไม่สามารถเข้าใจถึงแก่นของการดับทุกข์แบบถาวร หรือแก่นของนิพพานได้ แม้ว่าพระพุทธองค์ได้ฝึกสมถะกรรมฐาน หรือฝึกสมาธิได้อภิญญา 5 และได้ทุกฌานแล้ว ทั้งรูปฌาน 1-4 และอรูปฌาน 5-8 ท่านเจนจัดหมด แต่พอออกจากฌาน พระพุทธองค์ก็กลับมาทุกข์อีก


พระพุทธองค์กลับมาทุกข์อีกหลังจากออกจากฌานเพราะอะไร?

พระพุทธองค์กลับมาทุกข์อีกหลังจากออกจากฌาน เพราะท่านนำเอาเรื่องราวภายนอก หรือเรื่องทางโลก เข้ามาคิดนึกปรุงแต่งนั่นเอง ถ้าพระพุทธองค์ไม่นำเข้าเรื่องราวภายนอก หรือนำเข้าเรื่องทางโลกเข้ามานึกคิดปรุงแต่ง ความทุกข์มันก็ไม่มี
 

เรื่องราวภายนอก หรือเรื่องทางโลก ล้วนเกิดจากกรรม หรือกฎแห่งกรรมจัดสรรมาให้พบเจอ

- คนที่ผลบาปตามสนอง กฎแห่งกรรมก็จะจัดสรรให้พบเจอแต่สิ่งที่เลวร้ายในชีวิต เช่น จน อดมื้อกินมื้อ เป็นขอทาน เจ็บไข้ได้ป่วยตลอด ทะเลาะกับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูงประจำ มีการศึกษาต่ำ เป็นต้น

- คนที่ผลบุญตามสนอง กฎแห่งกรรมก็จะจัดสรรให้พบเจอแต่สิ่งที่ดีในชีวิต เช่น ร่ำรวย มีเงินมีทรัพย์สินมากมาย ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ค่อยทะเลาะกับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง มีการศึกษาสูง เป็นต้น

รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ทุกอย่างก็สักแต่ เป็นหลักการพ้นทุกข์อย่างถาวร

พระพุทธองค์ตรัสว่า เมื่อ
" รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ฯลฯ " เมื่อรู้สักแต่ว่ารู้ เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน เมื่อทุกอย่างเป็นแค่สักแต่ ความทุกข์จะเข้ามาได้อย่างไร หลักการนี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ และตรงกับหลักการ ทุกอย่างช่างหัวแม่งมันที่ผมเคยพูดถึงว่า หลักการ "ทุกอย่างช่างหัวแม่งมัน" เป็นหลักการพ้นทุกข์ถาวร

รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ฯลฯ = ไม่นำเข้าเรื่องราวภายนอกที่เกิดจากกฎแห่งกรรม เข้ามาในจิตว่าง ถ้านำเข้ามาแล้ว จะทำให้เกิดอารมณ์โกรธ หดหู่ เศร้าหมอง ฯลฯ เป็นเหตุให้มองไม่เห็นจิตว่างอันเป็นจิตแท้ดั้งเดิมของเรา
 

อนึ่ง เวทนานั้นคือตัวรู้ทางโลก รู้เป็นสุข รู้เป็นทุกข์ คือรู้อารมณ์ หรือรู้สึกทางโลกนั่นเอง จึงกล่าวได้ว่า เวทนา หรือ ความรู้สึก หรืออารมณ์ นั่นแหละเป็นตัวทุกข์

ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตร ได้แสดงธรรมไว้ว่า
 
"เพราะนิพพานไม่มีเวทนา จึงเป็นความสุข"

พระอุทายีจึงได้กล่าวกะพระสารีบุตรว่า
 

"ดูกรอาวุโสสารีบุตร นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็นสุขได้อย่างไร"

พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า:

"ดูกรอาวุโส... สุขโสมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยกามคุณ ๕ ประการนี้ นี้เรียกว่ากามสุข"

รูป รส กลิ่นเสียง และสัมผัส ทาง ตา หู ตา จมูก ลิ้น กาย นี้เรียกว่า กามคุณ 5 เป็นตัวชักนำอารมณ์(ความรู้สึก) หรือ"กามารมณ์" มาให้เรา ความทุกข์จึงตามมา แต่เมื่อไม่มีเวทนาแล้ว จิตจะว่าง เราจึงพบความสุขที่แท้จริง

"ความสุขใดๆจะเสมอด้วยความสงบนั้นไม่มี" ตราบใดที่ มนุษย์ยังวิ่งวุ่นหาความสุขจากที่อื่น ย่อมไม่พบความสุขชนิดนี้ เพราะความสุขจากความสงบหาได้ในตัวของเรานั่นเอง 

จิตมหาบริสุทธิ์ของเราจะปรากฏออกมาเมื่อเรามีสติเต็มที่ การมีสติเต็มที่ ทำให้เราระลึกรู้เท่าทันตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างที่เราประสพพบเจอในชีวิต ล้วนแล้วแต่เป็นภาพมายา ที่กฎแห่งกรรมนำมาให้เราประสพพบเจอเท่านั้น เมื่อเรามีสติเต็มที่ จิตของเราจึงหยุดไขว่คว้า และความสงบก็ตามมา

สติปัฏฐานมี 4 ระดับ


1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ การเห็นกายเห็นกาย

2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ การเห็นเวทนาในเวทนา
,
3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ การเห็นจิตเห็นจิต และ
 
4. ธรรมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือ การเห็นธรรมเห็นธรรม
 

ทั้งหมดหมายถึง การเอาจิตมหาบริสุทธิ์ของเราที่เป็นจิตว่าง และจะออกมาตอนเรามีสติเต็มที่ เข้าไปพิจารณารู้เห็นกาย รู้เห็นเวทนา(รู้เห็นอารมณ์ความรู้สึก) รู้เห็นจิต(สังขารที่ไปคิดนึกปรุงแต่งเอง) และ รู้เห็นธรรมของโลกที่เป็นอนัตตา = รู้เห็นกายจิตของโลกที่ไม่ว่าง เพราะมีการยึดถือ มีการคิดนึกปรุงแต่ง และมีอารมณ์ความรู้สึก
 

เมื่อบรรลุจุดสูงสุดของสติปัฏฐาน 4 จิตที่มีสติของเรา จะว่างและสงบ เราจึงพบความสุขที่แท้จริง ซึ่งมีอยู่แล้ว เป็นความว่างสงบ และไม่จำเป็นต้องไปค้นหาสุขอื่นใดเลย ที่เป็นเพียงเวทนา หรืออารมณ์

สรุป

แก่นของสติปัฏฐาน 4 คือ การฝึกให้จิตมีสติเต็มที่ เมื่อจิตมีสติเต็มที่ จิตมหาบริสุทธิ์ของเราจะปรากฏออกมา ทำให้เรารู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราประสพพบเจอในชีวิตนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นภาพมายา ที่กฎแห่งกรรมนำมาให้เราประสพพบเจอเท่านั้น กฎแห่งกรรม คือ ตัวนำทุกข์มากและทุกข์น้อยมาให้เรา
 

จิตเดิมแท้ของเราเป็นปภัสสร เป็นจิตที่ไม่มีทุกข์ สิ่งนี้ดีที่สุดอยู่แล้ว เราทุกจิตแต่เดิมเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว พวกเราดันแส่หาเรื่องออกจากเมืองนิพพานบ้านเดิมของเรา มาอาศัยอยู่ใน 31 ภพภูมิเอาเอง แต่สุดท้ายพวกเราก็ต้องหาทางกลับบ้านเดิม(นิพพาน)

พระสมณะโคดมถูกพญามารลวงหลอก เสียเวลาถึง 6 ปี ก็ไม่สามารถเข้าใจถึงแก่นของการดับทุกข์แบบถาวร หรือแก่นของนิพพานได้ว่า มันอยู่ในใจของเราเอง พระสมณะโคดมพยายามค้นหาหาภพภูมิอื่นๆ ก็ไม่พบพระนิพพาน เพราะพระนิพพาน ผู้จะเข้าถึงได้ต้องปล่อยวาง และปล่อยว่างความปรารถนาออกจากใจเท่านั้น

พระอานนท์ก็พยายามเข้าถึงนิพพานให้ได้ แต่ฝึกเท่าไรก็เข้าถึงไม่ได้ เลยช่างหัวแม่งมัน พอปล่อยวาง และปล่อยว่างความปรารถนาออกจากใจ พอหัวแตะหมอนเท่านั้น ท่านเข้าถึงนิพพานทันที

0 comments:

แสดงความคิดเห็น