1. เถรวาทเอามหายานมาผสม
ก็รอดทุกคน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
อ้างถึง
ก็แนวคิดของมหายานเขา สบายกว่าเราไงท่าน ถ้ามันเป็นจริง เราก็เอามาผสมกัน
เราก็พยามนิพพานในชาตินี้เลย แต่ถ้าไม่ได้ ก็หาทางไปฟังธรรมกับพระอมิตาภพุทธเจ้าเอา
tsukino โพสต์
พระพุทธเจ้าของเราเป็นผู้สอนเรื่องพระอมิตาภะพุทธเจ้า และพุทธเกษตรแดนสุขาวดีเองให้พระนางเวเทหิมเหสีคนแรกของพระเจ้าพิมพิสารฟังเอง มีพระอานนท์ พระสารีบุตร พระมหากัสสปะ และศิษย์ฝ่ายมหาสังฆิกะ ฟังอยู่เต็มไปหมด .....จะไม่จริงได้อย่างไร
ผมสงสัยอย่างหนึ่ง ไว้ต้องถามพระพุทธเจ้าว่า ทำไมท่านไม่ชี้ทางหนีอนันตริยกรรมตัวนี้ให้พระเจ้าอชาติศัตรูรู้ ชี้ให้แต่แม่รู้ แต่ไม่ชี้ให้ลูกรู้ หรืออนันตริยกรรมมันบังตาบังจิตให้พระเจ้าอชาตศัตรูไม่รู้ และให้แม่ตนเองไม่บอกเรื่องแดนสุขาวดีให้ฟัง
เรื่องแดนสุขาวดีนี้ พญามารกลัวว่าจะมีการถูกเปิดเผยอย่างแพร่หลายให้ฝ่ายเถรวาทฟัง และจะเป็นเหตุให้อำนาจการปกครองของพญามารที่รุ่งเรืองทรุดฮวบลงทันที เพราะชาวพุทธเถรวาทที่รู้ตัวว่าปฏิบัติหนีนรกและอบายไม่พ้น จะพากันหนีเข้าไปพึ่งพระอมิตากันหมด
คุณtsukinoฉลาดทางธรรมมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว จึงสามารถเข้าใจประเด็นได้ชัดแจ้ง คุณtsukino จะเล่นผสมผสานเลย แต่ไม่คิดจะกราบขอบคุณผมเลยนะ ที่ชี้ทางสว่างให้ ความรู้ของผมมีค่า 100,000 ล้านบาท...... แหม! ไอ้นี่น่าเตะก้านคอจริงๆ
ก็เมื่อปฏิบัติเข้านิพพานในชาตินี้มันลำบาก เราก็ไปปฏิบัติต่อในแดนสุขาวดีดีกว่ามาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏต่อไป เพราะแม่งโคตรเสี่ยงเลยว่า ชาติใดชาติหนึ่ง กูจะลงนรกอเวจี
พระเยซูพูดถูกแล้วว่า “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศและคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก”
ประตูใหญ่ = ประตูที่ต้องพึ่งตัวเอง ปฏิบัติเอาเอง ปฏิบัติสำเร็จก็เป็นพระอรหันต์ เข้านิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ไป แล้วในแต่ละยุค ใน 10 ล้านคน มันมีอรหันต์ไม่ถึง 100 คน = 0.00001%
ประตูแคบ = พึ่งบารมีพระพุทธเจ้าและพระมหาโพธิสัตว์ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
- พึ่งบารมีพระพุทธเจ้าองค์นั้นในศาสนาพุทธคือ พระอมิตาภะพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าฝ่ายขาว ที่เน้นทางเมตตากรุณาสถานเดียว และ
- พึ่งบารมีอัลเลาะห์(พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า) ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าฝ่ายดำ หรือฝ่ายเที่ยงธรรม รักษากฎแห่งกรรม
- พึ่งบารมีพระมหาโพธิสัตว์ ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป คือ พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นจิตหนึ่งของพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์(พระอชิตะ) ปางสร้างทานบารมีด้วยชีวิตและเลือดเนื้อของตนเอง
2. อนันตริยกรรมมี 2
แบบ ถ้าไม่ได้ฆ่าพ่อแม่ ยังแก้อนันตริยกรรมได้
อ้างอิง
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ จิตเปโม
อธิบายยากจัง
เทวทัต ทำอนันตริยกรรมไปแล้วหลายอย่าง เช่น ยุยงให้สงฆ์แตกกัน กล่าวร้ายพระพุทธเจ้า ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต
มันแก้ไม่ได้แล้ว นอกจากจะไปขอขมาพระพุทธเจ้า แต่ไปไม่ถึงโดนธรณีสูบเสียก่อน
แต่องค์คุลิมาล ยังไม่ได้ฆ่าแม่เพราะพระพุทธเจ้าขัดขวางไว้ แล้วท่านได้บรรลุพระอรหัตผล
ซึ่งปิดการเกิดแล้ว จะไปเกิดที่ไหนได้อีก
ความจริงน่ะปิดอบายภูมิกันตั้งแต่เป็นพระโสดาบันแล้วด้วยซ้ำไปครับ
ตอบ
ขออภัยนะครับ ผมไม่ค่อยเห็นด้วย แม้ว่าเทวทัต ทำอนันตริยกรรมไปแล้วหลายอย่าง เช่น ยุยงให้สงฆ์แตกกัน กล่าวร้ายพระพุทธเจ้า ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต
แต่ว่าเทวทัตสำนึกบาป เพียงแต่ที่เทวทัตทำไม่ทันคือ ไม่ได้ตั้งจิตเจตนาว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป กูจะไม่ทำบาปเช่นนั้นอีก ซึ่งเป็นหลักการก้าวล่วงบาปกรรม และเป็นหลักการไถ่โทษบาปที่ทุกศาสนากล่าวไว้ตรงกัน ต้องทำให้ครบ 2 ข้อนี้ จึงจะไถ่โทษบาปได้
เพราะว่า บาปยุยงให้สงฆ์แตกกันมันก็สลายไปได้ = คืนดีกันเองได้
บาปที่ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิตมันก็สลายไปได้ = แผลของพระพุทธเจ้าหายได้
แต่การฆ่าพ่อของพระเจ้าอชาติศตรู = พ่อคืนมาไม่ได้ จึงไม่มีทางรอดจากอนันตริยกรรม
ถ้าองคุลิมาลฆ่าแม่ = แม่คืนมาไม่ได้ จึงไม่มีทางรอดจากอนันตริยกรรม
อีกอย่าง องคุลิมาลไม่ได้บรรลุพระอรหัตผลตอนเป็นพระบวชใหม่นะครับ ถึงแม้ว่าตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" องคุลิมาลตอนนั้นยังไม่ได้บรรลุธรรมห่าอะไรทั้งสิ้น องคุลิมาลไม่ต้องตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นเพราะเหตุเดียวเท่านั้น คือ ท่านสำนึกบาป และตั้งใจแน่วแน่จริงๆว่าจะไม่ทำบาปนั้นอีก (ทำการก้าวล่วงบาปกรรมอย่างสมบูรณ์)
สรุป
อนันตริยกรรมมี 2 แบบ
1. แบบที่ทำไปแล้ว ทำการก้าวล่วงบาปกรรมไม่ได้ เช่น ฆ่าพ่อฆ่าแม่ด้วยจิตอกุศล
2. แบบที่ทำไปแล้ว ทำการก้าวล่วงบาปกรรมได้ เช่น ยุยงให้สงฆ์แตกกัน หรือทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต
อนึ่ง การกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นบาปขั้นอนันตริยกรรมนะครับ
3. เงื่อนไขในการเข้าสู่แดนสุขาวดี ให้สำหรับมนุษย์ที่ยังไม่ได้ตาย ถ้าม่องเท่งไปแล้ว เกมส์มันoverไปแล้ว เข้าแดนสุขาวดีไมได้จ่ะ
ฉัตรชัย: หากแม้นว่าระลึกถึงพระอมิตาพระพุทธเจ้า
ในสิบขณะจิตด้วยภาวะจิตบริสุทธิ์
และแม้นว่าระลึกได้เพียงหนึ่งขณะจิตเดียวด้วยจิตบริสุทธิ์ก็ย่อมได้เข้าถึงสุขาวดีพุทธเกษตรนั้น
หากแต่ในภาวะของโลหะกุมภี หรืออเวจีมหานรก
สัตว์นั้นก็หาได้มีสติระลึกได้ไม่เพราะในขณะจิตนั้นย่อมเสวยทุกขเวทนาอยู่ทุกขณะจิตด้วยอกุศลกรรมเสวยอยู่แล
( ความเห็นที่ได้อ่านมาจากหลวงพ่อ
)
ตอบ
เงื่อนไขเข้าสู่แดนสุขาวดี เป็นเงื่อนไขให้กับมนุษย์ที่ยังไม่ตาย ยังมีโอกาสอยู่ แต่ถ้าม่องเท่งไปแล้ว เกมส์มันoverไปแล้ว อย่าว่าแต่โลหะกุมภี หรืออเวจีมหานรกเลย แม้แต่เปรตก็หมดโอกาสแล้ว
คุณฉัตรชัยเมาอยู่หรือเปล่าครับ ถ้าผู้ที่อยู่ในนรก สามารถมีสติระลึกได้ คงไม่ลงนรกหรอก แค่มีสติระลึกท่องคำว่า พุทโธ หลายๆครั้ง ก่อนตายได้ ก็ไม่ไปในอบายภูมิแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า
"ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"
"ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"
"ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"
“คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ”
อ้างจาก: ฉัตรชัย พรหมแก
อ่านให้มันละเอียดแล้วค่อย ๆ ตอบก็ได้ครับ ผมเขียนว่า สัตว์นั้นได้รับทุกขเวทนาอยู่ทุกขณะจิต
แล้ว สัตว์นั้น จะเอาขณะจิตใดมาระลึกถึงบุญกุศลได้อ่ะครับท่าน
ผมน่ะอ่านดีแล้ว หลวงพ่อองค์นั้นสอนผิด หรือสอนถูกก็ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือคุณมั่ว คนที่ทำอนันตริยกรรมบนโลก เขายังไม่ได้รับทุกขเวทนาอยู่ทุกขณะจิต จึงมีสิทธิบริกรรมระลึกถึงพระอมิตาภพุทธเจ้า
10 ครั้งได้
คุณโดนมารสิงอยู่ และกำลังเป็นเครื่องมือของมาร มารเขาต้องการให้คนหลงผิด แล้วให้คุณช่วยพาคนอื่นหลงผิดด้วย
0 comments:
แสดงความคิดเห็น