A A

14 เมษายน 2558

โคตมะพระพุทธเจ้า สอนให้พึ่งบารมีตัวเอง หรือไม่ก็พึ่งบารมีพระพุทธเจ้า(พระเจ้า)

สัมมาทิฎฐิมีเฉพาะในพุทธศาสนาเท่านั้น โดยเฉพาะ มรรค 8 มีสัมมาทิฎฐิเป็น ข้อแรก ศาสนาอื่นไม่มีมรรค 8 จะเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างไร มั่วไปเรื่อย ไม่มีประโยชน์ ที่จะเสวนากับ ผู้ที่ยึดมันถือมั่นในแนวทางของตน โดยไม่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ที่แนะนำด้วยความหวังดี ครับ

shart.com โพสต์

ตอบ

มีไอ้พวกรู้พระพุทธศาสนานิดหน่อย  แค่งูๆปลาๆ  แล้วโดนมารสิงใจกระแดะเข้ามาอีกตัวแล้วหรือนี่  พวกนี้แม่งช่วยกันพาชาวพุทธเถรวาทให้ลงนรกชัดๆ  เพื่อเสริมบัลลังก์พ่อของมัน คือ ซาตาน หรือ พญามารฝ่ายชั่ว

โคตมะพระพุทธเจ้าของเรา สอนให้พึ่งบารมี 2 อย่าง

1. พึ่งบารมี หรือพึ่งการกระทำของตัวเอง ปฏิบัติเอง สะสมบุญบารมีเอง เพื่อนำไปสู่นิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ในที่สุด เช่น ศาสนาพุทธเถรวาท ซึ่งต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ เสี่ยงลงอบายภูมิจริงๆ ขนาดพระพุทธเจ้าของเราก็ยังเคยเผลอลงนรกมาแล้ว

2. พึ่งบารมีพระพุทธเจ้า หรือพึ่งบารมีพระโพธิสัตว์ ที่ศาสนาอื่นเขาเรียกว่าพระเจ้าหรือเทพเจ้า เช่น ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ส่วนศาสนาพุทธนิกายสุขาวดีเรียกว่า "พระอมิตาภะพุทธเจ้า" ให้เข้าไปอยู่ในเมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ชั้นล่างๆที่ไม่ใช่อรหันต์ไปก่อน แล้วค่อยๆไต่ระดับไปเรื่อยๆจนถึงขั้นอรหันต์ ซึ่งอาจจะต้องกินเวลาเป็น 10 ล้านปี หรือจะกว่านั้นเท่าไรก็ตามใจ

แต่ที่สำคัญที่สด คือ ไม่ต้องไปตกนรก ไม่ต้องไปการเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะเมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ในศาสนาอิสลามและพุทธสุขาวดีมี 100 ชั้น คริสต์มี 16 ชั้น เต๋ามี 36 ชั้น 3 ชั้นสุดท้ายคือพวกอรูป มีแต่จิต ไม่มีกาย ปรินิพพานก็อยู่ 3 ชั้นสุดท้ายนี่แหละ

ส่วนนิโรธ(การดับทุกข์)และมรรค(สาเหตุของการดับทุกข์)ค่อยไปหากันที่สุขาวดีก็ได้ เพราะมีพระโพธิสัตว์อรหันต์และมีพระพุทธเจ้าต่างๆอยู่เต็มเพียบที่นั่น พระโคตมพุทธเจ้าของเราก็อยู่ด้วย

รายละเอียดเพิ่มเกี่ยวกับการพึ่งบารมีพระพุทธเจ้า หรือพึ่งบารมีพระโพธิสัตว์ ที่ศาสนาอื่นเขาเรียกว่าพระเจ้าหรือเทพเจ้า

1. ศาสนาที่พึ่งตนเอง หรือ พึ่งการกระทำของตัวเอง คือศาสนาพุทธเถรวาทนั้น ถ้าฝ่ายมารเล่นเกมส์กันอย่างแฟร์ๆ อันนี้พอรับได้ แต่มารนั้นเป็นพวกเจ้าเล่ห์ เพทุบาย และฉ้อฉล หลอกลวงชาวพุทธเถรวาทไม่ให้รู้เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม หรือ การสำนึกบาป และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่บาปแบบนั้นอีก จะทำให้ไม่ต้องตกนรก

แล้วพวกมารก็ยังสิงใจพวกพระปริยัติ และผู้สอนธรรมะในศาสนาพุทธเถรวาทให้หาพุทธพจน์หนีนรก ขึ้นสวรรค์เหล่านี้ไม่ค่อยเจออีก พุทธพจน์เหล่านี้ เช่น

1. "ผู้ถือเอาพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยอุดมคุณอย่างนี้นั้น ชื่อว่าพ้นจากอบาย ทั้งยังจะได้เกิดในเทวโลก"

2. "ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งได้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะแล้ว จักไม่เข้าสู่อบายภูมิ ครั้นละจากอัตภาพของมนุษย์แล้ว ย่อมยังกายของเทพให้บริบูรณ์"

3. "ผู้ถึงพระรัตนตรัยอันประกอบด้วยคุณอันอุดมอย่างนี้ ชื่อว่าจะเป็นผู้บังเกิดในนรกเป็นต้นย่อมไม่มี อนึ่งพ้นจากการบังเกิดในอบายแล้ว ยังจะเกิดขึ้นในเทวโลกได้เสวยมหาสมบัติ"

4.
คนที่ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ ไม่เคยยกมือไหว้ นึกถึงชื่อตถาคตอย่างเดียว ตายแล้วไปสวรรค์ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ

ในมิลินทปัญหา วรรคที่ ๗ ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ถ้าจิตผ่องใสได้ เช่น ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ไปสุคติภูมิ จริงหรือ
?

วรรคที่ ๗ ปัญหาที่ ๒

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า

"ดูก่อนพระนาคเสน คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นด้วย"

พระนาคเสนทูลตอบว่า

"ขอถวายพระพร ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่"

" ไม่ได้ "

" ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่ "

" ก็ได้สิเธอ "

" ขอถวายพระพร เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อาจทำใจให้แน่วอยู่เฉพาะแต่ในพระคุณของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าตายลงในขณะแห่งจิตดวงนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น

ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้เท่านั้น จิตดวงนั้นก็หนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก ซึ่งเหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็คงจมเช่นเดียวกัน "

" สมเหตุสมผลละ "


2. ศาสนาที่พึ่งบารมีพระพุทธเจ้า หรือพึ่งบารมีพระโพธิสัตว์ = ศาสนาที่พึ่งความเชื่อ/ศรัทธา ในพระเจ้า เช่น

ศาสนาพุทธมหายานนิกายสุขาวดี มีพระสูตรคำตรัสสอนของพระพุทธเจ้าอยู่มากมายเรื่องแดนสุขาวดี เช่น ในมหาสุขาวดีวยุหสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

.....หากสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ยินพระนามแห่งพระอมิตตาพุทธเจ้า และเกิดจิตศรัทธาอย่างแรงกล้า และมีใจที่อิ่มเอิบ ระลึกถึงพระนามของพระองค์ แม้ 1 ครั้ง...ถึง 10 ครั้ง...ถ้าบุคคลนั้นมีใจอยากไปอุบัติในสุขาวดีพุทธเกษตร เขาจักได้ไปอุบัติที่นั่นตามความประสงค์ และไม่ต้องกลับมาเกิดในภพภูมิที่ตกต่ำอีก

แต่ในส่วนของศาสนาพุทธเถรวาท ที่พบมากที่สุด คือ ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนถึงมเหสี 2 คนของพระเจ้าพิมพิสาร คนหนึ่งชื่อ พระนางเขมา พระนางเขมาไปบวชและเป็นสำเร็จเป็นพระอรหันต์

ส่วนพระมเหสีของพระเจ้าพิมพิสาร อีกคนหนึ่งชื่อ พระนางเวเทหิ ซึ่งเป็นแม่ของพระเจ้าอชาติศตรูที่ฆ่าพ่อตัวเอง คือฆ่าพระเจ้าพิมพิสารตาย พระพุทธเจ้าได้เล่าเรื่องแดนสุขาวดี พระอมิตตา และพุทธเกษตรต่างๆให้ พระนางเวเทหิ พระมเหสีที่เป็นแม่ของพระเจ้าอชาติศตรู ที่กำลังโทมนัสและต๊อแต๊ฟัง เพราะพระนางไม่อยากลงมาเวียนว่ายในสังสารวัฏอีกต่อไป แต่พระนางก็จนใจ เนื่องจากไม่ได้บรรลุธรรมใดๆ พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำวิธีให้พระนาง ให้พระนางเลือกว่าจะไปเกิดในพุทธเกษตรแห่งใดดี

พระนางเวเทหิก็เลือกจะไปเกิดในแดนพุทธเกษตรสุขาวดี

สรุป

โคตมะพระพุทธเจ้า สอนให้พึ่งบารมีตัวเอง หรือไม่ก็พึ่งบารมีพระพุทธเจ้า(พระเจ้า) เข้าไปเกิดในพุทธเกษตรต่างๆ เช่นสุขาวดี(เมืองนิพพาน)ซึ่งมีชั้นทั้งหมด 100 ชั้น คุณ
tsukino อย่าไปหลงกลเชื่อมารที่สิงใจคุณชาตินะครับ เขาจะพาคุณลงนรก แต่ถ้าเลือกเชื่อคุณชาติ คุณก็ต้องรู้พุทธพจน์เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม(การสำนึกบาป และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่บาปแบบนั้นอีก จะทำให้ไม่ต้องตกนรก) และควรรู้เรื่องพุทธพจน์ต่างๆที่ให้พึ่งบารมีพระรัตนตรัย และพระพุทธเจ้าไว้ด้วย

ส่วนคุณ
dhammajak และท่านอื่นๆ ผมขี้เกียจแนะนำแล้ว.... ช่างหัวแม่งมัน อยากอยู่ด้านชั่ว ทำตัวเป็นมารศาสนาไม่ยอมเลิกก็ตามใจ ไม่รู้ติดใจอะไรนักหนากับการเป็นสมุนของ
ซาตาน

0 comments:

แสดงความคิดเห็น