A A

12 เมษายน 2558

'นามและรูปนั้นย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้' อธิบายให้ชัด

 “ธรรมชาติที่พึงรู้แจ้ง มองด้วยตาไม่เห็น ไม่มีที่สุด สว่างแจ้งทั่วทั้งหมด อาโป(น้ำ)ธาตุ ปฐวี(ดิน)ธาตุ เตโช(ไฟ)ธาตุ และวาโย(ลม)ธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้, อุปาทายรูป(คือรูปที่อิงอาศัยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟอยู่) ที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมชาตินี้, นามและรูปดับไปหมดไม่เหลือในธรรมชาตินี้, เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้. ม.มู.๑๒/๕๕๔/๕๙๖

พระสูตรที่อธิบายเรื่อง "นามและรูปนั้นย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้"ทั้งหลายแหล่ อ่านแล้วก็เข้าใจยาก เพราะทุกพระสูตรล้วนมีมนตราของฝ่ายมารปิดบังอยู่ ผมจึงขออธิบายเรื่องนี้ด้วยภาษาของผมเอง

ก่อนอื่นพึงรู้ว่า จิต ที่พระพุทธเจ้ากล่าวถึงในพระไตรปิฎกนั้น หมายถึง จิตสังขาร หรือ จิตติดอวิชชา เป็นจิตคิดนึก หรือคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหาและอุปาทาน ซึ่งคือ จิตในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง

จิตสังขาร(จิตในปฏิจจสมุปบาท
, จิตติดอวิชชา)ของเราทุกคน ไม่ใช่จิตเดิมแท้ของเรานะครับ เพราะ จิตเดิมแท้ของเราเป็น จิตประภัสสร ดังคำตรัสที่ว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองแล้ว ด้วยอุปกิเลสที่จรมา"

คราวนี้พอจิตเดิมแท้ของพวกเราเสียความบริสุทธิ์ให้อวิชชา หรือเสียความปภัสสรให้(อุป)กิเลสไปแล้ว กลไกปฏิจจสมุปบาทจึงเริ่มทำงาน จิตประภัสสร หรือจิตเดิมแท้ จึงกลายสภาพมาเป็นจิต(สังขาร) หรือจิตติดอวิชชาไป

ตอนนี้ดูกลไกของปฏิจจสมุปบาทประกอบนะครับ

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี..


คราวนี้พอมรณะ หรือตายห่าตายโหงไปแล้ว.... มันตายจริงๆ แต่กายมนุษย์(นามรูป)ที่ตายไป มันได้ส่งตัววิญญาณของมนุษย์ที่ตายไปของมันออกมาด้วย เพื่อไปใช้บุญบาปในสวรรค์นรก เป็นเทวดา นางฟ้า พรหม เปรต ยักษ์ สัตว์นรก ฯลฯ

พระพุทธองค์ยืนยันว่า กายมนุษย์(นามรูป)ที่ตายไป ได้ปล่อยตัววิญญาณในชาตินี้ออกมาด้วย ดังพุทธดำรัสว่า:

ภิกษุ ท.! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป(กายมนุษย์) : ย่อมไม่เลยไปอื่น

พอวิญญาณดวงนั้นไปใช้บุญบาปในสวรรค์นรกสักพัก วิญญาณดวงนั้นก็มาสร้างกายมนุษย์คนใหม่ขึ้น ตามกลไกในปฏิจจสมุปบาทต่อไปอีก ที่บอกว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป(กายมนุษย์)จึงมี

เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป = พวกเอ็งต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปเรื่อยๆในสังสารวัฏ จนกว่าเอ็งจะดับนามรูป(กายมนุษย์)ของเอ็งได้สนิทจริงๆ ไม่ให้มันปล่อยตัววิญญาณที่มีกิเลส ตัณหา อุปาทาน หรืออวิชชาออกมาอีก ดังพุทธพจน์ที่ว่า

"นามรูปย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ นามรูปดับสนิท ใน
สิ่งนี้ เพราะการดับสนิทของ วิญญาณ, ดังนี้

สรุป

จิต ในพระไตรปิฎกคือ จิต(สังขาร)หรือ จิตติดอวิชชา จิต(สังขาร)ตัวนี้เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ แล้ววิญญาณก็เป็นเหตุให้เกิดนามรูปหรือกายมนุษย์ พอกายมนุษย์ม่องเท่่ง ก็ปล่อยตัววิญญาณในชาตินั้นออกไปใช้บุญกรรมในสวรรค์นรก ใช้กรรมหมดแล้ววิญญาณดวงนั้นก็ไปเป็นปัจจัยสร้างนามรูปหรือกายมนุษย์คนใหม่ วนเวียนไปมาระหว่างเป็นมนุษย์ในโลก และวิญญาณในปรโลกไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด จนกว่าจะดับกายมนุษย์(นามรูป) ไม่ให้มันไปสร้างวิญญาณออกมาอีกในปรโลก จึงจะเข้าไปในธรรมชาติที่รู้แจ้ง - นิพพานได้

คำถามที่มีผู้สงสัยกันมาก: เมื่อวิญญาณดับ แลนามรูปดับไปหมดแล้ว เราก็ต้องสูญไปด้วยซิ

ตอบ ที่สูญไปนั้นคือ นามรูปและวิญญาณมนุษย์ ซึ่งเป็นจิตติดอวิชชา หรือจิตสังขาร(ปรุงแต่ง) เท่านั้น แต่ตัวจิตเดิมแท้ที่เป็น จิตปภัสสรของเรา ไม่ได้สูญไปแต่อย่างใด เพราะจิตปภัสสรของเรา คือ "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ" ตอนที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ ก็ยังมีธาตุดินน้ำลมไฟประกอบเป็นร่างกาย พอผู้เป็นพระอรหันต์องค์นั้นตายไป จิตปภัสสร ก็ถูกละลายไป ไม่ต้องไปเล่นเกมส์ในสังสารวัฏอีกต่อไปแล้ว จิตปภัสสร(สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ)ก็จะเปลี่ยนไปเป็นจิตว่างสงบ ที่เรียกว่า "ธรรม" แทน แล้วจิตว่าง(ธรรม) ก็จะไปสร้างร่างทิพย์ หรือร่างของธรรม(จิตว่างสงบ)ขึ้นมา เรียกร่างนั้นว่า "อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"

"อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ" = อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย สิ่งนี้ไม่มีธาตุในจักรวาลประกอบเป็นร่าง ย้ำ! จิตว่างที่เรียกว่า "ธรรม" จะสร้างร่างทิพย์(ร่างธรรม)ขึ้นมา เรียกร่างนั้นว่า ธรรมกาย หรือกายธรรม

พระอรหันต์ต้องละลายอทิสมานกาย หรือร่างกายของมนุษย์ก่อน "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ(จิตปภัสสร)" จึงจะเปลี่ยนเป็น "อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ" หรือ ธรรมกาย ได้ แล้วธรรมกายก็จะไปสร้างร่างทิพย์ขึ้นมาอีกร่างเรียกว่า "พระวิญญาณบริสุทธิ์(สัมโภคกาย)" ผมก็ไม่แน่ใจว่า ธรรมกาย หรือกายทิพย์บริสุทธิ์(สัมโภคกาย)นี้ ตัวไหนกันแน่ทีเรียกว่า "กายแก้ว หรือ กายนิพพาน" แต่จริงๆ ทั้งกายทิพย์(สัมโภคกาย)และกายธรรม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกายนิพพานทั้งนั้น

อนึ่ง หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตเล่าไว้ในเรื่อง "นิพพานไม่สูญ" ว่า

...ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญาณ ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบเพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์

0 comments:

แสดงความคิดเห็น