A A

15 เมษายน 2558

ปัญหา...นายขมังธนู(จิตว่าง)ยิงบุรุษ(จิตไม่ว่าง ) = นายขมังธนู(จิตว่าง)แม่งก็คือบุรุษ

กรัชกาย ยกพุทธพจน์(สํ.สฬ. 18/369) มา

 ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว ก็ย่อมเสวยสุขเวทนาบ้าง ทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ อะไรเป็นความพิเศษ เป็นความแปลก เป็นข้อแตกต่างระหว่างอริยสาวกผู้ได้เรียนรู้กับปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้?” 

 “ภิกษุ ทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ ถูกทุกขเวทนากระทบเข้าแล้ว ย่อมเศร้าโศกคร่ำครวญ ร่ำไห้ รำพัน ตีอกร้องไห้ หลงใหลฟั่นเฟือนไป เขาย่อมเสวยเวทนาทั้ง 2 อย่างคือ เวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ
       
เปรียบ เหมือนนายขมังธนู ยิงบุรุษด้วยลูกศรดอกหนึ่ง แล้วยิงซ้ำด้วยลูกศรดอกที่ 2 อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ บุรุษนั้นย่อมเสวยเวทนาเพราะลูกศรทั้ง 2 ดอก คือ ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ ฉันใด 
บุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ก็ฉันนั้น ....ย่อมเสวยเวทนาทั้ง 2 อย่าง คือ ทั้งทางกาย และทางใจ


Phonsak ตอบ

นายขมังธนู ผู้ไร้กิเลส ไร้ตัณหา ไร้ความยึดมั่นถือมั่น เป็นผู้ยิงบุรุษนั้นด้วยลูกศร แล้วนายขมังธนู จะไปหาเป้าที่ไหนยิงล่ะ 
              
เพราะ เขาต้องอยู่ตามลำพังในจักรวาล มันโดดเดี่ยวมาก นายขมังธนูเลยสร้างตัวเอง ซึ่งมีกิเลสตัณหา และความยึดมั่นถือมั่น มาเป็นเป้าให้นายขมังธนู ยิงเล่น

 เป้า... ก็คือตัวเขาเอง ที่มีกิเลสตัณหา และมีความยึดมั่นถือมั่น

 นายขมังธนู จะยิงเป้านั้นๆไปเรื่อยๆ จนกว่าบุรุษนั้น จะตื่นขึ้นมา แล้วร้องว่า 
"มึง..เลิกยิงกูได้แล้ว เพราะกูก็คือตัวมึง.."
มึง..ก็ คือพระธรรม  มึง..ก็คือพระเจ้า  มึง..ก็คือพระพุทธเจ้า  มึง..ก็คือพระอรหันต์  กูผู้เป้าให้มึง..ยิงเล่นก็คือ สรรพจิตในทุกภพภูมิ ที่ยังมีกิเลสตัณหา ยังมีความยึดมั่นถือมั่น

บัดนี้กู Phonsak เลิกเป็นเป้าให้มึง..ยิงเล่นแล้วโว๊ย  กูตื่นแล้ว กูรู้แล้ว กูเบิกบานแล้ว  กูกำลังจะเลิกฝันเป็นสรรพจิตทั้งดีและชั่วในทุกภพภูมิแล้ว

0 comments:

แสดงความคิดเห็น