อ้างถึง
พระเจ้าอชาติศัตรู ท่านก็ทำอนันตริยกรรม ปลงพระชนม์พระบิดา
สำนึกผิดในบาปใหญ่แล้ว และก็ได้ฟังธรรมจากพุทธองค์ด้วย แต่นัยน์ตาเห็นธรรมไม่เกิดแก่พระเจ้าอชาติศรัตรู
แถมต้องไปลงนรกอีก ถ้ามันคือทางออกของผู้ทำอนันตริยกรรมจริงๆ
ทำไมพระพุทธเจ้าโปรดให้พระเจ้าอชาติศรัตรูไปที่แดนสุขาวดีไม่ได้ล่ะท่าน
tsukino โพสต์
tsukino โพสต์
ตอบ
1. สำนึกผิดในบาปใหญ่นั้น
2. ตั้งใจและจริงใจ กล่าวในใจหรือพูดออกมาว่า "กูจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกแล้ว"
พระเจ้าอชาติศตรูทำในข้อแรกก็จริง แต่ข้อ 2 ไม่ได้ทำ และทำไม่ได้ด้วย เพราะพระเจ้าพิมพิสารไม่สามารถฟื้นขึ้นมาให้พระเจ้าอชาติศตรู ตัดสินใจไม่ฆ่าได้
ส่วนการเข้าพุทธเกษตรสุขาวดีนั้น ต้องทำ 2 อย่างเช่นกัน ยกเว้น 5 นาทีสุดท้าย การสำนึกผิดในบาปใหญ่ก่อนตายเท่านั้นก็พอ ส่วนผู้ที่ทำอนันตริยกรรม แม้จะอยู่ในสุคติภูมิ ก็ต้องไปโดนกักกันอยู่ในดอกบัวในแดนสุขาวดีเป็นเวลานาน
ในกรณีองคุลิมาล ฆ่าผู้อื่นตาย ผู้อื่นมันมีเป็นพันๆล้านคน ที่ฆ่าไป 999 คนไม่ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม แต่ถ้าฆ่าคนสุดท้ายคือมารดาของตนตาย องคุลิมาลก็ทำอนันตริยกรรม ห้ามนิพพาน ต้องลงนรกอเวจี เพราะมารดามีคนเดียว ไม่ได้มีเป็นพันๆล้านคน จะไปทำการก้าวล่วงบาปกรรมไม่ได้
จะเห็นว่าหลังจากที่ องคุลิมาลโดนรุมประชาทัณฑ์นิดหน่อย ท่านก็ไม่ได้ฆ่าชาวบ้านหรือทำร้ายชาวบ้านคนใดเลย = องคุลิมาลนอกจากจะสำนึกผิดในบาปได้จริงแล้ว ท่านยังตั้งใจและจริงใจด้วยว่า "กูจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกแล้ว" คือไม่ฆ่าคนอีกแล้ว
พอองคุลิมาลกลับไปหาพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า:
"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" (รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก)
"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน"องคุลิมาลไม่ต้องตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เพราะว่าท่านสำนึกบาป และตั้งใจแน่วแน่จริงๆว่าจะไม่ทำบาปนั้นอีก (ทำการก้าวล่วงบาปกรรมอย่างสมบูรณ์) ทำให้ท่านรับผลกรรมเพียงในชาติปัจจุบันเท่านั้น และก็เป็นวิบากกรรมที่เบาบางลงมาก แล้ววิบากกรรมก็ไม่ให้ผลอีกต่อไปในปรโลก
ทำไมเทวทัตตกนรกอเวจีล่ะ ทั้งๆที่สำนึกบาปเหมือนองคุลิมาล?
คำถามที่มาหาผมใน 2 เว็บ มีดังนี้:
....ตอนสุดท้ายถูกธรณีสูบลงมหานรกไปเลย
ทั้งๆที่ก่อนท่านจะมรณะท่านได้สำนึกผิดและได้กล่าวขอขมาโทษ และถวายคางเป็นพุทธบูชายังลงนรกเลย(นี้ขนาดสำนึกอย่างจริงใจนะครับ)
....คุณบอกว่าพระองคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะสำนึกบาป ไม่ใช่เพราะเป็นอรหันต์ แต่ผมว่าพระองคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะเป็นอรหันต์ เห็นได้จากพระเทวทัตฆ่าไม่สำเร็จ ไม่ได้เป็นอรหันต์ จึงยังถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีนรกได้ แม้จะสำนึกผิดแบบเด็ดขาด แล้วตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกตลอดไป
“พระเทวทัตก็สำนึกบาปเด็ดขาดเหมือนกัน แต่จีวรคนละสี สองมาตรฐาน”
....คุณบอกว่าพระองคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะสำนึกบาป ไม่ใช่เพราะเป็นอรหันต์ แต่ผมว่าพระองคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะเป็นอรหันต์ เห็นได้จากพระเทวทัตฆ่าไม่สำเร็จ ไม่ได้เป็นอรหันต์ จึงยังถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีนรกได้ แม้จะสำนึกผิดแบบเด็ดขาด แล้วตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกตลอดไป
“พระเทวทัตก็สำนึกบาปเด็ดขาดเหมือนกัน แต่จีวรคนละสี สองมาตรฐาน”
ตอบ
คุณเอาความคิดของตนเองมาพูด และกำลังยัดเยียดเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า ต้องเอาพุทธพจน์มาดูซิ ผมจะอธิบายให้ชัดเลย
คัดจาก :www.bloggang.com/viewblog.php?id=travela...;group=37&page=4
ก่อนเทวทัตถูกธรณีสูบ พระพุทธเจ้าไปหา เทวทัตพูดว่า “ พระผู้มีพระภาค เป็นอัครบุรุษ ยอดแห่งมนุษย์และเทพดาทั้งหลาย พระองค์เป็นสารถีฝึกบุรุษอันประเสริฐ พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญญลักษณ์ถึงร้อย และบริบูรณ์ด้วยสมันตจักษุญาณ หาที่เปรียบมิได้ ข้าพระองค์ขณะนี้ มีเพียงกระดูกคางและศีรษะ กับลมหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะ...” แล้วเทวทัตก็โดนธรณีสูบ
เห็นหรือยังครับ พระเทวทัตเอาแต่อารัมภบท พอจะเข้าตอนขอขมาโทษ พระเทวทัตขอขมาโทษไม่ทัน ได้แค่ข้าพระองค์ขณะนี้ มีเพียงกระดูกคางและศีรษะ กับลมหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะ เท่านั้น พูดง่ายๆ เทวทัตกล่าวคำสำนึกผิดไม่ทัน ช้าเกินไป เทวทัตกล่าวคำขอขมาในบาปหลายเรื่องไม่ทันสักเรื่องเดียว
นอกจากนี้ การสำนึกผิดโดยรวม ก็ใช้ไม่ได้นะครับ ต้องสำนึกผิดเป็นเรื่องๆไป แล้วต้องปฏิญาณว่าจะไม่ทำผิดเช่นนั้นอีก จึงจะเรียกว่า การก้าวล่วงบาปกรรมโดยสมบูรณ์
...................................................................................................
ภิกษุจีนวิศวภัทร (沙門聖傑 )วัดเทพพุทธาราม(仙佛寺) จ.ชลบุรี อธิบายว่า: ผู้ที่โคตรชั่ว และผู้ที่ทำอนันตริยกรรม จะอยู่ในชั้นต่ำสุดของสุขาวดี
ชั้นที่ ๑ (ต่ำสุด)
ผู้กระทำกรรมชั่ว อนันตริยกรรม ๕ อกุศลกรรมบถ ๑๐ มิกระทำกุศลความดีทั้งปวง เป็นโมหบุรุษด้วยอกุศลวิบาก ยังให้ตกสู่อบายภูมิรับโทษทรมานหลายกัลป์มิรู้จบสิ้นหากโมหบุรุษนี้
เมื่อเวลาจวนสิ้นใจ ได้พบกัลยาณมิตรมาปลอบโยน ให้กำลังใจ แล้วแสดงธรรมสอนให้ระลึกนึกถึงพระพุทธนาม แต่ด้วยวิบากกรรมของเขา ยังให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมานมิอาจระลึกถึงได้กัลยาณมิตรนั้นจึงกล่าวว่า “หากเธอไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธองค์ได้ ก็จงภาวนาพระนามของพระอมิตาภะพุทธะเถิด”
โมหบุรุษนั้นจึงตั้งใจภาวนาต่อเนื่องกัน ๑๐ ครั้ง เพราะด้วยเหตุที่ได้ภาวนาพระพุทธนามนี้ โดยขณะที่ภาวนาอยู่นั้นวิบากกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ได้ถูกกำจัดให้สิ้นไป ก็เมื่อคราที่จักสิ้นใจนั้น จักได้แลเห็นสุวรรณปุณฑริกดอกมหึมา ดุจดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นมงคลนิมิตยังเบื้องหน้า และในขณะเดียวก็ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรทันทีผู้นั้นจะต้องอยู่ในดอกปุณฑริก ๑๒ มหากัลป์ เมื่อปุณฑริกมาศนั้นผลิบานออก จะได้พบพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ นี้จะประทานพระธรรมเทศนาด้วยสำเนียงแห่งมหากรุณา เรื่องธรรมสัตยลักษณ์ทั้งปวง กล่าวธรรมที่ยังให้กรรมสิ้นไป
ก็เมื่อได้สดับแล้วจึงบังเกิดความปิติปราโมทย์เป็นยิ่งนัก ในเวลานั้นจึงได้บังเกิดพระอนุตตรสัมโพธิจิต อันประเสริฐ ๑๕ เรื่องของสุขาวดีที่ว่า ผู้ก่ออนันตริยกรรม และกรรมชั่วอื่นๆ โดยที่มิเคยทำกุศลกรรมเลย ก็สามารถไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรได้ นั้นถือเป็นประเด็นข้อโต้เถียงและครุ่นคิดตีความกันในหมู่นักศึกษา โดยกล่าวว่าเป็นการผิดกฎแห่งกรรม ฯลฯ หากศึกษาตามอรรถกถาของนิกายนี้จะกล่าวว่า การภาวนาพระอมิตาภะพุทธนามนั้นมีผลานิสงค์มหาศาล(ด้วยการเจริญพุทธานุสสติ) สามารถชำระบาปกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ได้ ซึ่งในกรณีนี้หมายถึง การได้พบหลักธรรมที่ว่าด้วยแดนสุขาวดี และพระอมิตาภะพุทธะนั้นจะทำให้เราหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้เร็วขึ้น ๘๐ โกฏิกัลป์ โดยไม่ต้องเผชิญกับวิบากกรรมแห่งวัฏสงสารในอนาคต ซึ่งวิบากกรรมนั้นยังไม่ถึงเวลาสนองผลเราก็ได้หลุดพ้นก่อนเสียแล้ว,
และการที่ไม่ต้องไปชดใช้กรรมในอบายภูมิ แต่ได้ไปเกิดในสุขาวดีนั้น ตามอรรถกถาก็กล่าวว่า ผู้ทำกรรมชั่วจะได้รับวิบากชั่วได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีปัจจัยให้วิบากนั้นเกิดขึ้นเพื่อสนองผล แต่ในสุขาวดีปราศจากซึ่งปัจจัยแห่งอบาย ดังนั้นผู้ที่ไปเกิดจึงไม่ต้องรับทุกข์ทรมาน แต่ต้องบำเพ็ญเพียรในดอกบัวของตนเอง เป็นเวลาแสนนานแทน
0 comments:
แสดงความคิดเห็น