A A

14 เมษายน 2558

อนันตริยกรรม เทวทัต องคุลิมาล การก้าวล่วงบาปกรรม ต้องตั้งใจเลิกบาปนั้นด้วย‏

อ้างถึง

พระเจ้าอชาติศัตรู ท่านก็ทำอนันตริยกรรม ปลงพระชนม์พระบิดา สำนึกผิดในบาปใหญ่แล้ว และก็ได้ฟังธรรมจากพุทธองค์ด้วย แต่นัยน์ตาเห็นธรรมไม่เกิดแก่พระเจ้าอชาติศรัตรู แถมต้องไปลงนรกอีก  ถ้ามันคือทางออกของผู้ทำอนันตริยกรรมจริงๆ ทำไมพระพุทธเจ้าโปรดให้พระเจ้าอชาติศรัตรูไปที่แดนสุขาวดีไม่ได้ล่ะท่าน

tsukino โพสต์

ตอบ

ตอบง่ายที่สุด  การก้าวล้วงบาปกรรม  ให้บาปนั้นไม่มีผลตามไปในปรโลก และมีผลบาปเบาบางลงในโลกต้องทำ 2 อย่าง
1. สำนึกผิดในบาปใหญ่นั้น
2. ตั้งใจและจริงใจ  กล่าวในใจหรือพูดออกมาว่า
"กูจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกแล้ว"

พระเจ้าอชาติศตรูทำในข้อแรกก็จริง  แต่ข้อ 2 ไม่ได้ทำ และทำไม่ได้ด้วย เพราะพระเจ้าพิมพิสารไม่สามารถฟื้นขึ้นมาให้พระเจ้าอชาติศตรู ตัดสินใจไม่ฆ่าได้

ส่วนการเข้าพุทธเกษตรสุขาวดีนั้น  ต้องทำ 2 อย่างเช่นกัน  ยกเว้น 5 นาทีสุดท้าย การสำนึกผิดในบาปใหญ่ก่อนตายเท่านั้นก็พอ  ส่วนผู้ที่ทำอนันตริยกรรม แม้จะอยู่ในสุคติภูมิ  ก็ต้องไปโดนกักกันอยู่ในดอกบัวในแดนสุขาวดีเป็นเวลานาน

ในกรณีองคุลิมาล  ฆ่าผู้อื่นตาย  ผู้อื่นมันมีเป็นพันๆล้านคน  ที่ฆ่าไป 999 คนไม่ถือว่าเป็นอนันตริยกรรม  แต่ถ้าฆ่าคนสุดท้ายคือมารดาของตนตาย  องคุลิมาลก็ทำอนันตริยกรรม  ห้ามนิพพาน  ต้องลงนรกอเวจี   เพราะมารดามีคนเดียว  ไม่ได้มีเป็นพันๆล้านคน  จะไปทำการก้าวล่วงบาปกรรมไม่ได้

จะเห็นว่าหลังจากที่ องคุลิมาลโดนรุมประชาทัณฑ์นิดหน่อย ท่านก็ไม่ได้ฆ่าชาวบ้านหรือทำร้ายชาวบ้านคนใดเลย = องคุลิมาลนอกจากจะสำนึกผิดในบาปได้จริงแล้ว  ท่านยังตั้งใจและจริงใจด้วยว่า 
"กูจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกแล้ว" คือไม่ฆ่าคนอีกแล้ว

พอองคุลิมาลกลับไปหาพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า:

"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" (รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก)

"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน"องคุลิมาลไม่ต้องตกนรกหมกไหม้เป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เพราะว่าท่านสำนึกบาป และตั้งใจแน่วแน่จริงๆว่าจะไม่ทำบาปนั้นอีก  
(ทำการก้าวล่วงบาปกรรมอย่างสมบูรณ์) ทำให้ท่านรับผลกรรมเพียงในชาติปัจจุบันเท่านั้น และก็เป็นวิบากกรรมที่เบาบางลงมาก แล้ววิบากกรรมก็ไม่ให้ผลอีกต่อไปในปรโลก

ทำไมเทวทัตตกนรกอเวจีล่ะ  ทั้งๆที่สำนึกบาปเหมือนองคุลิมาล?

คำถามที่มาหาผมใน 2 เว็บ มีดังนี้:

....ตอนสุดท้ายถูกธรณีสูบลงมหานรกไปเลย  ทั้งๆที่ก่อนท่านจะมรณะท่านได้สำนึกผิดและได้กล่าวขอขมาโทษ  และถวายคางเป็นพุทธบูชายังลงนรกเลย(นี้ขนาดสำนึกอย่างจริงใจนะครับ)

....คุณบอกว่าพระองคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะสำนึกบาป ไม่ใช่เพราะเป็นอรหันต์  แต่ผมว่าพระองคุลิมาลไม่ตกนรกเพราะเป็นอรหันต์  เห็นได้จากพระเทวทัตฆ่าไม่สำเร็จ ไม่ได้เป็นอรหันต์ จึงยังถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีนรกได้ แม้จะสำนึกผิดแบบเด็ดขาด แล้วตั้งใจอย่างจริงจังว่าจะไม่ทำบาปแบบนั้นอีกตลอดไป
  
   “พระเทวทัตก็สำนึกบาปเด็ดขาดเหมือนกัน  แต่จีวรคนละสี สองมาตรฐาน”

ตอบ

คุณเอาความคิดของตนเองมาพูด และกำลังยัดเยียดเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า  ต้องเอาพุทธพจน์มาดูซิ  ผมจะอธิบายให้ชัดเลย

คัดจาก :www.bloggang.com/viewblog.php?id=travela...;group=37&page=4

ก่อนเทวทัตถูกธรณีสูบ พระพุทธเจ้าไปหา  เทวทัตพูดว่า  
พระผู้มีพระภาค เป็นอัครบุรุษ ยอดแห่งมนุษย์และเทพดาทั้งหลาย พระองค์เป็นสารถีฝึกบุรุษอันประเสริฐ พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยบุญญลักษณ์ถึงร้อย และบริบูรณ์ด้วยสมันตจักษุญาณ หาที่เปรียบมิได้ ข้าพระองค์ขณะนี้ มีเพียงกระดูกคางและศีรษะ กับลมหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะ...” แล้วเทวทัตก็โดนธรณีสูบ

เห็นหรือยังครับ พระเทวทัตเอาแต่อารัมภบท  พอจะเข้าตอนขอขมาโทษ พระเทวทัตขอขมาโทษไม่ทัน ได้แค่ข้าพระองค์ขณะนี้ มีเพียงกระดูกคางและศีรษะ กับลมหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ขอถึงพระพุทธเจ้า เป็นสรณะ เท่านั้น  พูดง่ายๆ เทวทัตกล่าวคำสำนึกผิดไม่ทัน ช้าเกินไป  เทวทัตกล่าวคำขอขมาในบาปหลายเรื่องไม่ทันสักเรื่องเดียว

นอกจากนี้  การสำนึกผิดโดยรวม ก็ใช้ไม่ได้นะครับ  ต้องสำนึกผิดเป็นเรื่องๆไป  
แล้วต้องปฏิญาณว่าจะไม่ทำผิดเช่นนั้นอีก  จึงจะเรียกว่า  การก้าวล่วงบาปกรรมโดยสมบูรณ์

...................................................................................................

ภิกษุจีนวิศวภัทร (
沙門聖傑 )วัดเทพพุทธาราม(仙佛寺) จ.ชลบุรี อธิบายว่า:  ผู้ที่โคตรชั่ว และผู้ที่ทำอนันตริยกรรม จะอยู่ในชั้นต่ำสุดของสุขาวดี

ชั้นที่ ๑ (ต่ำสุด)
ผู้กระทำกรรมชั่ว
อนันตริยกรรม ๕ อกุศลกรรมบถ ๑๐ มิกระทำกุศลความดีทั้งปวง เป็นโมหบุรุษด้วยอกุศลวิบาก ยังให้ตกสู่อบายภูมิรับโทษทรมานหลายกัลป์มิรู้จบสิ้นหากโมหบุรุษนี้

เมื่อเวลาจวนสิ้นใจ ได้พบกัลยาณมิตรมาปลอบโยน ให้กำลังใจ แล้วแสดงธรรมสอนให้ระลึกนึกถึงพระพุทธนาม แต่ด้วยวิบากกรรมของเขา ยังให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมานมิอาจระลึกถึงได้กัลยาณมิตรนั้นจึงกล่าวว่า
หากเธอไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธองค์ได้ ก็จงภาวนาพระนามของพระอมิตาภะพุทธะเถิด

โมหบุรุษนั้นจึงตั้งใจภาวนาต่อเนื่องกัน ๑๐ ครั้ง เพราะด้วยเหตุที่ได้ภาวนาพระพุทธนามนี้
โดยขณะที่ภาวนาอยู่นั้นวิบากกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ได้ถูกกำจัดให้สิ้นไป  ก็เมื่อคราที่จักสิ้นใจนั้น จักได้แลเห็นสุวรรณปุณฑริกดอกมหึมา ดุจดวงอาทิตย์ปรากฏเป็นมงคลนิมิตยังเบื้องหน้า และในขณะเดียวก็ได้ไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรทันทีผู้นั้นจะต้องอยู่ในดอกปุณฑริก ๑๒ มหากัลป์ เมื่อปุณฑริกมาศนั้นผลิบานออก จะได้พบพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ นี้จะประทานพระธรรมเทศนาด้วยสำเนียงแห่งมหากรุณา เรื่องธรรมสัตยลักษณ์ทั้งปวง กล่าวธรรมที่ยังให้กรรมสิ้นไป

ก็เมื่อได้สดับแล้วจึงบังเกิดความปิติปราโมทย์เป็นยิ่งนัก ในเวลานั้นจึงได้บังเกิดพระอนุตตรสัมโพธิจิต อันประเสริฐ ๑๕ เรื่องของสุขาวดีที่ว่า
ผู้ก่ออนันตริยกรรม และกรรมชั่วอื่นๆ โดยที่มิเคยทำกุศลกรรมเลย ก็สามารถไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรได้  นั้นถือเป็นประเด็นข้อโต้เถียงและครุ่นคิดตีความกันในหมู่นักศึกษา โดยกล่าวว่าเป็นการผิดกฎแห่งกรรม ฯลฯ หากศึกษาตามอรรถกถาของนิกายนี้จะกล่าวว่า การภาวนาพระอมิตาภะพุทธนามนั้นมีผลานิสงค์มหาศาล(ด้วยการเจริญพุทธานุสสติ) สามารถชำระบาปกรรมจำนวน ๘๐ โกฏิกัลป์ได้ ซึ่งในกรณีนี้หมายถึง การได้พบหลักธรรมที่ว่าด้วยแดนสุขาวดี และพระอมิตาภะพุทธะนั้นจะทำให้เราหลุดพ้นจากวัฏสงสารได้เร็วขึ้น ๘๐ โกฏิกัลป์ โดยไม่ต้องเผชิญกับวิบากกรรมแห่งวัฏสงสารในอนาคต ซึ่งวิบากกรรมนั้นยังไม่ถึงเวลาสนองผลเราก็ได้หลุดพ้นก่อนเสียแล้ว,

และการที่ไม่ต้องไปชดใช้กรรมในอบายภูมิ แต่ได้ไปเกิดในสุขาวดีนั้น ตามอรรถกถาก็กล่าวว่า ผู้ทำกรรมชั่วจะได้รับวิบากชั่วได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีปัจจัยให้วิบากนั้นเกิดขึ้นเพื่อสนองผล แต่ในสุขาวดีปราศจากซึ่งปัจจัยแห่งอบาย ดังนั้นผู้ที่ไปเกิดจึงไม่ต้องรับทุกข์ทรมาน แต่ต้องบำเพ็ญเพียรในดอกบัวของตนเอง เป็นเวลาแสนนานแทน

0 comments:

แสดงความคิดเห็น