A A

29 มีนาคม 2558

สรุปคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ผมจะนำมาอธิบายเรื่องของจักรวาล

1..พุทธะ = ผู้ตื่นแล้วจากโลก ซึ่งผู้คนในโลกเป็นแค่ตัวแสดงในความฝัน

พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านเป็น
พุทธะ คือ เป็นผู้รู้แล้ว  ผู้ตื่นแล้ว  ผู้เบิกบานแล้ว  ท่านตื่นจากอะไร? รู้อะไร?  ทำไมท่านจึงเรียกตัวเองว่าเป็นผู้เบิกบานแล้ว?  และเรียกสาวกอรหันต์ทั้งหมดของท่านว่าเป็นอนุพุทธะคือ เป็นผู้รู้แล้ว  ผู้ตื่นแล้ว  ผู้เบิกบานแล้ว  ที่ปฏิบัติสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดา

ตอบว่า ก็เนื่องจากพระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์ทั้งหมดของท่าน ล้วนเป็นผู้ตื่นจากความฝันที่กิเลสตัณหาและกฎแห่งกรรมนำพาพวกท่านเข้าไปท่องเที่ยวในโลกต่างๆ  รวมทั้งท่องเที่ยวในสวรรค์ นรก และทุกภพภูมิ   เมื่อพวกท่านตื่นแล้ว... พวกท่านจึงรู้ความจริงแล้วว่า ตัวหรือจิตเดิมแท้ของพวกท่านทั้งหมด แต่เดิมเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว  แต่พวกท่านดันแส่หาเรื่องออกจากเมืองพระนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)อันไม่มีทุกข์เอาเอง  

จิตเดิมแท้ของพวกท่านเหล่าอรหันต์  และจิตเดิมแท้ของพวกเราทุกจิต  เดิมเป็นจิตที่ว่างเปล่าจากกิเลสตัณหาและว่างเปล่าจากกรรม  กฎแห่งกรรมจึงนำความทุกข์มากและทุกข์น้อย(สุขที่ไม่เที่ยง  ประเดี๋ยวมา ประเดี๋ยวไป) มาให้ทุกจิตมหาบริสุทธิ์ในนิพพานไม่ได้  เนื่องจากกฎแห่งกรรมเป็นกฎในความฝัน  เมื่อตื่นแล้ว ไม่ฝันต่อแล้ว กฎแห่งกรรมย่อมทำอะไรจิตอรหันต์ไม่ได้

ด้วยเหตุที่  พวกเราเหล่าอรหันต์อยู่ในนิพพานมานานเกินไป  และต้องอยู่ในจักรวาลอันว่างเปล่าชั่วนิจนิรันดร  หัวหน้าใหญ่สุดของพวกเราคือ ต้นธาตุ(อาทิพุทธ)จึงคิดว่าท่านหรือพวกเราซึ่งเป็นจิตว่างหนึ่งเดียวกัน และเป็นอณูแต่ละอณูของท่านนั้นเปล่าเปลี่ยว.... เพราะอะไร?

เพราะว่า เมื่อต้องอยู่ในจักรวาลที่ว่างเปล่า พร้อมด้วยฤทธานุภาพมหาศาล จะสั่งหรือกำหนดให้จักรวาลอันว่างเปล่าเป็นอะไรก็ได้  แต่ไม่เคยใช้อำนาจมหาศาลนี้เลย  แล้วจะมีอำนาจมหาศาลนี้ไว้ทำไม  ถือว่าเสียของ... ถ้าไม่นำอำนาจนี้ออกมาใช้งานบ้าง  อาทิพุทธเลยคิดจะให้ อณูแต่ละอณูของท่านพ้นจากความเปล่าเปลี่ยวสักหน่อย  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจักรวาลนั้นว่างเปล่าเหลือเกิน  ไม่มีใครหรืออะไรอยู่เลยนอกจากอาทิพุทธ(ซึ่งเป็นจิตมหาบริสุทธิ์หนึ่งเดียว แต่มีอณูจิตมหาบริสุทธิ์รวมกันเป็นอนันต์)

ทันทีที่ท่านคิดอย่างนั้น  ต้นธาตุ(อาทิพุทธ)เลยให้อณูหรือจิตอรหันต์ทั้งหมดของท่านเล่นเกมส์แก้เซ็งสักหน่อย  ดีกว่าอยู่เป็นจิตว่างเฉยๆในจักรวาลอันว่างเปล่าชั่วนิรันดร โดยไม่ทำอะไรทั้งสิ้น  เกมส์ที่ต้นธาตุ(อาทิพุทธ)คิดจะให้ทุกจิตเล่น  คือ เกมส์ค้นหาตัวเองว่า พวกเอ็งทั้งหมดคือพระเจ้า(พระอรหันต์)  ค้นหาตัวเองเจอเมื่อไร  ค่อยกลับมาเป็นพระเจ้า(พระอรหันต์)ต่อก็แล้วกัน


-  ขั้นแรกต้นธาตุ(อาทิพุทธ)แยกตัวเองออกไปอีกเป็นอีก 2 ส่วนก่อน คือ

1. ต้นธาตุฝ่ายขาว
(อาทิพุทธฝ่ายขาว หรือพระพุทธเจ้าฝ่ายขาว) เป็นฝ่ายทรงความเมตตากรุณาเหนือสิ่งอื่น และ
2. ต้นธาตุฝ่ายดำ
(อาทิพุทธฝ่ายดำ หรือพระพุทธเจ้าฝ่ายดำ) เป็นฝ่ายทรงความยุติธรรมสูงสุดเหนือสิ่งอื่น

แล้วต้นธาตุฝ่ายขาว และฝ่ายดำ ก็อวตารจิตของพวกท่าน ออกไปเป็นพระพุทธเจ้าฝ่ายขาวและฝ่ายดำอีกมากมาย  แล้วให้พระพุทธเจ้าฝ่ายขาวและฝ่ายดำทั้งหมด อวตารจิตของพวกท่าน ออกไปอีกเป็นอนันต์พระอรหันต์

หลังจากนั้น ต้นธาตุ(อาทิพุทธ) ก็ให้ทุกสรรพจิตมหาบริสุทธิ์(อนันต์พระอรหันต์) โคลนนิ่งจิตของตนเองออกไปเป็นเหล่าจิตปภัสสรเปล่าๆ ที่ลืมความจำทั้งหมดว่าตนเองเป็นอรหันต์อยู่แล้ว  เสร็จแล้วก็ให้จิตปภัสสรเหล่านั้น  ทั้งหมดลงไปเล่นเกมส์ค้นหาตัวเองใน 13 มิติ 120 กว่าโลกมนุษย์(ยังไม่นับโลกของมนุษย์ต่างดาว)  

เมื่อเหล่าจิตปภัสสรลืมความจำทั้งหมดว่า ตนเองเป็นอรหันต์อยู่แล้ว  ต้นธาตุ(อาทิพุทธ)ทั้ง 3 ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็ให้อวิชชา(กิเลสตัณหา)มาลวงหลอกจิตปภัสสรเหล่านั้นได้  ถ้าจิตปภัสสรดวงใดหลงเชื่อ  แล้วทำบุญกุศล  หรือ ทำบาปอกุศล  ไม่ยอมทำจิตให้ว่างบริสุทธิ์เหมือนเดิม  จิตปภัสสรเหล่านั้นก็จะตกภูมิต่ำลงมาเรื่อยๆ  และต้องวนเวียนอยู่ใน 31 ภพภูมิไปไม่มีวันสิ้นสุด  จนกว่าจิตปภัสสรเหล่านั้นจะใช้บุญกรรมและบาปกรรมหมด  หรือจนกว่าจะปฏิบัติจนพบว่า แท้จริงแต่เดิม กูและพวกเราทั้งหมดเป็นจิตปภัสสรที่ออกมาจากอรหันต์ในเมืองนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ที่ไม่มีทุกข์ = จิตนั้นค้นพบตัวตนแท้จริงแล้วว่าตนเองเป็นใคร  จิตนั้นจึงจะสามารถกลับเข้าไปในเมืองนิพพาน บ้านเดิมของตนได้

สรุป ด้วยคำสอนของพุทธศาสนามหายาน นิกายเซน

....."สรรพสิ่งในโลกล้วนมี
อมตจิต เป็นมูลการณะ สิ่งทั้งหลายล้วนเป็นปรากฏการณ์ของอมตภาวะนี้เท่านั้น อมตภาวะนี้แผ่ครอบคลุมไปทุกหนทุกแห่ง ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่เกิด ไม่ดับ ที่เห็นเกิด-ดับนั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์ ซึ่งเป็นภาพมายา มิใช่ภาวะที่แท้จริงของจิต"

หมายความว่า:  จิตของพระพุทธเจ้าและสรรพสัตว์มาจากอมตจิตดวงเดียวกัน = มาจาก ต้นธาตุ(อาทิพุทธ) นั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตของพระพุทธเจ้าและสรรพสัตว์จึงเหมือนกัน แตกต่างกันก็เพียง จิตของสรรพสัตว์มีอวิชชาปิดบัง ไปยึดมั่นถือมั่นในกายเก๊และจิตเก๊ คือ ขันธ์ 5 ว่าเป็นของจริง เป็นตัวกู ของกู  ในขณะที่จิตของพระพุทธองค์อวิชชาปิดบังไม่ได้ เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ซึ่งเป็น กายเก๊และจิตเก๊  อันเป็นมายาเสมือนจริง ว่าเป็นของจริง เป็นตัวกู ของกู อีกแล้ว

เมื่อทำลายมายาเสมือนจริง  หรือทำลายขันธ์ 5(กายเก๊และจิตเก๊)ได้แล้ว  ก็ไม่มีเชื้อใดๆจะให้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีก  จึงกลับเข้าไปสู่ความเป็นอมตะธาตุหรืออรหันต์อีกครั้งหนึ่ง

2..พระพุทธเจ้าเรียกโลกแห่งความฝันเสมือนจริง(แต่ไม่จริง)ว่า อนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน) หรือ อุปาทาน หรือ อัตตาจากความเห็นผิด

เมื่ออยู่ในภาวะที่พวกเราทั้งหมดเสียความเป็นจิตปภัสสรไปแล้ว  ทำให้ต้องมาวนเวียนอยู่ใน 9 โลก x 31 ภพภูมิ x 13 มิติ ของความฝันของเหล่าพระอรหันต์ (ไม่นับความฝันของเหล่าพระอรหันต์ที่ส่งจิตปภัสสร ลงไปเกิดเป็นมนุษย์ต่างดาวนะครับ)  นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าก็ยืนยันเสมอในคำบริกรรมพุทโธ(ให้รู้ ให้ตื่น ให้เบิกบานได้แล้ว)ว่า  ทั้ง 31 ภพภูมิ รวมทั้งโลกมนุษย์เป็นแค่ความฝันเท่านั้น  

มนุษย์ที่ไม่ได้ทำสมาธิให้ถึงขั้นโสดาบัน  พวกเขาจะเชื่อในสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน และสิ่งที่สัมผัสได้ทางหูตาจมูกลิ้นกายใจเท่านั้น  เลยหลงผิดคิดว่า ทุกอย่างที่เขาพบเห็นจากอายตนะหรือผัสสะเหล่านั้น  ล้วนเป็นของจริงของแท้ทั้งนั้น  มีแค่คนที่ทำสมาธิ(สมถะ)และวิปัสสนาสูงขึ้นไปเรื่อยๆถึงขั้นโสดาบันหรือสูงกว่า  จึงจะรู้ว่า  ทุกสรรพสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสได้ด้วยผัสสะทั้ง 6 (หูตาจมูกลิ้นกายใจ) ล้วนเป็นของปลอม  พวกมันเป็นแค่มายา  พวกมันเป็นแค่ความฝันเฟื่องเท่านั้น  

ด้วยเหตุนี้  ผมจึงขอเรียก โลกและจักรวาลทั้งหมดว่า โลกแห่งความฝันเสมือนจริง (แต่ไม่จริง) โดยกรรมดีกรรมชั่วที่เราทำไว้  มันนำฝันดีและฝันร้ายมาให้เราต้องพบต้องเจอ  

- พระพุทธเจ้าเรียกโลกแห่งความฝันเสมือนจริง (แต่ไม่จริง)ว่า อนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน) หรือ อุปาทาน(อัตตวาทุปาทาน) หรือ "อัตตานุทิฎฐิ" = ความเห็นผิดว่าสิ่งนี้มีตัวตนจริงๆ

ฝันดี - เช่น ร่ำรวย มีการศึกษาดี  ฉลาด อาชีพมั่นคง ทำมาค้าขึ้น  จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง สุขภาพก็ดี ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย  มีลูกมีหลานก็ล้วนแต่รักใคร่กัน เป็นต้น

ฝันร้าย - เช่น ยากจน ไม่ค่อยได้รับการศึกษา โง่ อาชีพไม่มั่นคง  ทำไม่มา ค้าไม่ขึ้น  จับอะไรก็ฉิบหายไปหมด สุขภาพก็ไม่ค่อยดี เจ็บไข้ได้ป่วยเสมอ  มีลูกมีหลานก็ล้วนแต่เสพยาบ้า ทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นต้น

นอกจากนี้  พวกที่ฝันดียังรวมถึง พวกที่ได้ขึ้นสวรรค์ชั้นต่างๆ ไปจนถึงพรหมโลกชั้นต่างๆ  พวกที่ฝันร้าย ก็เป็นพวกที่ลงอบายภูมิและลงนรกชั้นต่างๆ


3..โลกและจักรวาลคือ ความคิดปรุงแต่ง หรือความคิดนึก ด้วยกิเลสตัณหา

ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า การที่เราเป็นมนุษย์ หรือเป็นมนุษย์ต่างดาว  รวมทั้งเป็นสรรพสัตว์ในทุกภพภูมิ ทุกมิติ  เป็นเพราะจิต(สังขาร)ของพวกเราคิดปรุงแต่ง หรือไปคิดนึก ด้วยกิเลสตัณหา  แล้วไปทำกรรมดีกรรมชั่วกับกายของจิต(สังขาร)อื่น  ทำให้ต้องใช้หนี้บุญกรรมและหนี้บาปกรรมเหล่านั้น  

- ถ้าจิตเราคิดนึกและปรุงแต่ง แต่ไม่ได้คิดนึกและไม่ได้คิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา  แต่คิดนึกและปรุงแต่งด้วยจิตที่ว่างจากกิเลสตัณหา  เราก็จะเข้าสู่เมืองนิพพาน หรือเข้าสู่นิพพานที่เป็นภาพมายาเสมือนจริงที่ถาวร  หรือสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ ตามความนึกคิดที่ว่างมหาบริสุทธิ์ของเรา

- ถ้าจิตเราไม่คิดนึกและไม่คิดปรุงแต่งแล้ว(ไม่ว่าด้วยจิตว่างหรือด้วยกิเลสก็ตาม)  เราก็จะเข้าสู่ปรินิพพาน หรือเข้าสู่นิพพานแท้ กลับเข้าไปสู่จักรวาลแท้จริงที่เป็นความว่างอย่างยิ่ง


4..แรงในพุทธศาสนาว่ามี 3 แรง

จากที่กล่าวมาทั้งหมด  ผมจะขอสรุปแรงในพุทธศาสนาว่ามี 3 แรง

- แรงผลักออก หรือแรงส่งออก อันเป็นผลมาจากความคิดนึกหรือคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา ทำให้จิตว่างของเรากลายเป็นจิตไม่ว่างไป คือ ความคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา  ทำให้จิตของเราหนีห่างออกจากความเป็นจิตว่าง

- แรงดูดเข้า หรือแรงจิตไม่ส่งออก หรือแรงที่จิตนำความคิดนึกหรือคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหากลับเข้ามาเป็นจิตว่างเหมือนเดิม

- แรงผลักออก หรือแรงส่งออก อันเป็นผลมาจากความคิดนึกหรือคิดปรุงแต่งที่ว่างจากกิเลสตัณหา ผลักจิตว่างออกจากนิพพานแท้หรือปรินิพพาน ไปอยู่เป็นจิตว่างในเมืองพระนิพพาน หรือเป็นจิตว่างในสวรรค์นิรันดร

1 ความคิดเห็น: