A A

8 มีนาคม 2558

แท้จริงศาสนามีเพียงศาสนาเดียว คือ หาทางพ้นทุกข์ถาวร ออกจากการเวียนว่ายตายเกิด

จริงๆศาสนามีเพียงศาสนาเดียว  คือ ศาสนาที่สอนและนำจิตวิญญาณให้พ้นทุกข์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

สัจธรรมสูงสุดก็มีเพียง 1 เดียว คือ สัจธรรมสูงสุดที่ว่า  พวกเราทั้งหมดเคยเป็นพระเจ้ามาก่อน หรือพวกเราทั้งหมดเคยเป็นจิตมหาบริสุทธิ์มาแล้วทั้งนั้น  แต่เดิมพวกเราไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง  ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น  จิตของพวกเราเป็นจิตประภัสสร  เป็นนิพพานจิต ที่มหาบริสุทธิ์

"จิตประภัสสร" หรือ "จิตเดิมแท้"  หรือจิตมหาบริสุทธิ์ของเรา เป็น "แก่นแท้แห่งจิต" ของเรา  มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว  ก่อนที่จะเกิดโลกใบนี้ และก่อนที่จะเกิดจักรวาลด้วย

เหตุที่จิตมหาบริสุทธิ์ของพวกเราไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป

เพราะว่า  
พวกเราเหล่าพระเจ้าดันเสือกอยากออกจากภาวะจิตว่าง = อยากออกจากภาวะความเป็นอมตะของตัวเอง  เพื่อมาลองอยู่ในภพภูมิอื่นๆที่ไม่ใช่แดนนิพพานอมตะ  ที่เป็นสวรรค์นิรันดร ไม่มีทุกข์

พูดง่ายๆ  พวกเราอยากลองเสพความสุขอย่างอื่น  และอยากลองเสพความไม่เป็นอมตะดูบ้าง  ไม่ใช่เอาแต่เสพแต่ความสุขอันประเสริฐจากจิตว่างจากการคิดปรุงแต่งอย่างเดียวชั่วนิรันดร  เราอยากรู้และต้องการรู้ว่า  การเสพสุขจากกิเลส ตัณหา อวิชชา  มันมีรสชาติดีกว่า หรือ รสชาติเลวกว่า การเสพสุขจากความว่างเพียงใด

พวกเราอยากหาเรื่องเอง  พวกเราเหล่าพระเจ้าจึงอนุญาตให้กิเลส ตัณหา อวิชชา และความยึดมั่นถือมั่นต่างๆเข้ามาหลอกลวงจิตปภัสสรของเราให้เป๋ได้  และยังให้มันอาศัยอยู่ในจิตปภัสสรได้ด้วย  จิตปภัสสรอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของเราจึงต้องแปดเปื้อนสกปรกไป  กลายเป็นจิตสังขาร หรือจิตคิดปรุงแต่ง  หรือจิตติดกรรมเวร

ผลของการที่จิตปภัสสรกลายเป็นจิตไม่ปภัสสร

เมื่อกิเลส ตัณหา อวิชชา และความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ เข้ามาหลอกลวงจิตปภัสสรของเราได้แล้ว  และเรายังให้อนุญาตมันสามารถอาศัยอยู่ในจิตปภัสสรของเราได้ด้วย  ถ้าเราให้จิตปภัสสรอยู่ร่วมกับจิตนิพพานมหาบริสุทธิ์ได้อีก  แดนนิพพานอันเป็นแดนอมตะ มหาบริสุทธิ์ ของเหล่าจิตพระเจ้า  ก็จะสลายไป  เหล่าจิตพระเจ้าจึงต้องแยกตัวหรือแยกจิตของตัวเองออกเป็น 2 ส่วน คือ

1. จิตปภัสสรที่ไม่มีกิเลส ตัณหา อวิชชา อยู่ = จิตหลุดพ้น หรือนิพพานจิต
2. จิตปภัสสรที่ยังมีกิเลส ตัณหา อวิชชา อยู่ไม่มากก็น้อย = จิตสังขาร (จิตคิดปรุงแต่ง) หรือจิตในปฏิจจสมุปบาท  หรือจิตต้องชดใช้กรรม หรือ จิตติดหนี้กรรม

จิตมหาบริสุทธิ์ หรือ จิตจิตหลุดพ้น ก็อยู่ในนิพพานบ้านเดิมของเราตามเดิม  
ส่วนจิตอื่น ที่เป็นจิตปภัสสรที่ไม่บริสุทธิ์  ก็ต้องให้เลื่อนชั้นลงมาอาศัยอยู่ในภพภูมิอื่นๆที่ไม่ใช่แดนนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)แทน โดยเราพระเจ้าหรือเหล่าพระเจ้าได้สร้างโลกสารพัดมิติ สร้างสวรรค์ นรก พรหมโลก อบายภูมิ ขึ้นมา 31 ภพภูมิ(เรียกแบบพุทธเถรวาท) หรือ 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน (เรียกแบบเต๋า)  เพื่อให้จิตที่เสียความบริสุทธิ์เหล่านั้น ได้ไปอาศัยอยู่ในภพภูมิที่เหมาะสมกับสภาพจิตของตนเอง

- ที่สำคัญ...ภพภูมิอื่นๆ  ไม่ว่าจะสวรรค์ นรก โลก พรหมโลก ล้วนอยู่ภายใต้กฎแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  และกฎแห่งอนิจจังทั้งนั้น  

- มีที่เดียวที่เป็นนิจจัง เป็นนิรันดร ไม่มีทุกข์อยู่ คือ นิพพาน สวรรค์นิรันดรเท่านั้น  เพราะผู้ที่อยู่ในนิพพานได้  จิตจะต้องว่างเปล่าจากกิเลส ตัณหา อวิชชา และความยึดมั่นถือมั่นต่างๆ  

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า  
"ดูกรภิกษุ คำว่า ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ..... ดูกรภิกษุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตะ"

ย้ำเรื่องภพภูมิต่างๆอีกครั้งหนึ่ง

เราเหล่าจิตพระเจ้า  ได้สร้างภพภูมิใหม่ต่างๆขึ้นมาเต็มไปหมด  เพื่อให้จิตที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านั้นอยู่  ตามสภาพจิตของตน

ภพภูมิใหม่ต่างๆเหล่านั้น คือ  พรหมโลกและภพภูมิ 31 ภพภูมิ
(แบ่งตามแบบพุทธเถรวาท)นั่นเอง   เนื่องจากจิตพระเจ้าส่วนหนึ่งได้ตกภูมิจากนิพพานจิตว่างตลอด  ลงมากลายเป็นพรหมชั้นโลกียะ ซึ่งจิตว่างไม่ตลอด  จิตอีกส่วนหนึ่งได้ตกภูมิตกไปต่ำกว่าชั้นพรหมอีก  ตกลงมาเรื่อยๆ(downgrade)  จนลงมาอยู่ในสวรรค์ชั้นโลกีย์  แล้วในที่สุดทุกจิตก็ตกลงมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นชั้นกลาง ที่ไม่ว่าจิตสกปรกที่สุดหรือจิตสะอาดที่สุด ทุกจิต ทุกระดับจะอาศัยอยู่ปะปนกันไป  

จิตที่สกปรกที่สุด  สิ้นความเป็นจิตปภัสสรไปแล้ว  และกล้ากระทำบาปมหันต์ชนิดที่อภัยไม่ได้  บางส่วนก็ลงลึกต่ำลงไปอยู่ในภพภูมิชั้นต่ำสุด  ซึ่งเป็นชั้นสัตว์นรกอเวจี  และชั้นสัตว์นรกโลกันตร์  

ที่เป็นเช่นนี้  เพราะเราพระเจ้าไปให้อำนาจพญามาร และซาตานสามารถหลอกลวงจิตปภัสสรของเราให้ชั่วและเลวที่สุดได้นั่นเอง

การหลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิด กลับเข้าไปในนิพพาน(สวรรค์นิรันดร)ใหม่ ทำได้หลายทาง

แต่ก่อนอื่น  เราต้องรู้ว่า การที่เราต้องเกิด  ต้องแก่  ต้องเจ็บ และต้องตาย  นั่นก็เป็นเพราะบาปกรรมที่เราก่อไว้นั่นเอง  การจะออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิด(สังสารวัฏ) ซึ่งเป็นเส้นทางหลักหรือทางใหญ่  ออกไปจากทุกข์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อเราตกภูมิลงมาเป็นมนุษย์แล้ว  เนื่องจากพญามาร พวกมาร และซาตานสามารถหลอกลวงจิตของเราได้เสมอ

ด้วยเหตุนี้  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงได้สร้างทางดินแดนที่พวกเราไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกแล้ว  ที่เรียกว่า "พุทธเกษตร" เอาไว้  เพื่อไม่ให้จิตมนุษย์ของพวกเราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย และอยู่ในอำนาจพญามารอีก  ไปบำเพ็ญจิตให้บริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆได้เลยในดินแดน "พุทธเกษตร" ที่อยู่ใหม่ของเรา

แต่เมื่ออำนาจพญามารมีสูงล้ำเรื่องการคดโกงและไม่ซื่อ  พญามารและซาตานจึงไม่ให้ชาวพุทธโดยเฉพาะพุทธเถรวาท  รู้วิธีเข้าไปในแดน "พุทธเกษตร"  โดยเฉพาะแดนสุขาวดีเด็ดขาด  เนื่องจากแดนสุขาวดีนั้นเข้าไปได้ง่ายมาก  เพียงแค่บริกรรมถึงพระอมิตาภะพุทธเจ้า  หรือท่องอมิตาพุทธ 3 ครั้ง  ขอเข้าไปอยู่ในดินแดนสุขาวดีของพระองค์เท่านั้น  แล้วก็พยายามสำนึกบาปใหญ่ๆในชีวิตเท่าที่ได้  โดยเฉพาะสำนึกบาปก่อนตาย  ซึ่งจะมีภาพความชั่วใหญ่ๆของเราเข้ามาให้เห็น  แค่สำนึกในบาปนั้นเท่านั้น  พระอมิตาและพระโพธิสัตว์อรหันต์หลายองค์  ก็จะมารับจิตวิญญาณของเขาไปอยู่ในแดนสุขาวดีแล้ว  พ้นจากอำนาจของพญามาร และอำนาจของซาตาน  ซึ่งจะนำจิตวิญญาณไปสู่อบายภูมิ และต้องเวียนว่ายตายเกิดบนโลกมนุษย์อีก

ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม  เป็นศาสนาที่มานำจิตมนุษย์ไปฝึกจิตในพุทธเกษตรแห่งใหม่ของพระเมสสิยาห์ (Messiah)

เนื่องจากบรรดามารพยายามล่อลวง  แลปิดทางไม่ให้เหล่ามนุษย์รู้ทางเข้าไปในพุทธเกษตรสุขาวดี  ซึ่งเป็นแดนที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก เพื่อไปฝึกจิตให้บริสุทธิ์ที่นั่น  พวกเราเหล่าพระเจ้า หรือพระเจ้าหนึ่งเดียว - จิตมหาบริสุทธิ์  จึงทำให้เกิดศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามขึ้นมา เพื่อจะได้นำจิตมนุษย์อีกส่วนหนึ่ง  เข้าไปอยู่ในพุทธเกษตร(ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก)ของพระเยซูคริสต์(สรวงสวรรค์ของพระคริสต์)และพุทธเกษตรของนบีมูฮัมหมัด  ซึ่งทั้งคู่ล้วนเป็นพระเมสสิยาห์ (Messiah) คือ พระผู้ช่วยให้รอด  ความจริงแล้ว  พระพุทธเจ้าก็เป็นพระเมสสิยาห์ (Messiah) คือ พระผู้ช่วยให้รอดเหมือนกัน  เพราะกฎของพวกเราเหล่าพระเจ้ากำหนดว่า  ตถาคตผู้เป็นสัพพัญญู  ผู้รู้ความจริงทั้งหมดและสอนความจริงทุกเรื่องได้มีเพียงองค์เดียวในโลกใบหนึ่ง

พระพุทธเจ้าจึงมีได้เพียง 1 องค์ ในโลกธาตุเดียวกัน  ไม่สามารถมีได้ถึง 2 องค์  และพระพุทธองค์ผู้เป็นตถาคตก็มาแล้ว  จึงส่งพระพุทธเจ้าที่เป็นตถาคตมาอีกคนมาไม่ได้  พวกเราเหล่าพระเจ้าจึงต้องหาทางออก โดยส่งพระบุตรที่เป็นพระเมสสิยาห์ (Messiah) พระผู้ช่วยให้รอดลงมาแทนตถาคต  ผู้ที่เชื่อและศรัทธาในพระเมสสิยาห์ (Messiah) ก็จะได้ไปอยู่ในพุทธเกษตรของพระองค์ ที่ไม่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย  ไปฝึกจิตที่นั่น  

แต่ตามพันธะสัญญาเดิมที่พระเจ้าหรือเหล่าพระเจ้า(- จิตมหาบริสุทธิ์) ที่สัญญาไว้กับบุตรของอับนราฮัม 2 คน แตกต่างกัน  พระเจ้าจึงจำเป็นต้องส่งเมสสิยาห์ (Messiah)มาให้ทั้งศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม

0 comments:

แสดงความคิดเห็น