อ้างจาก: Absolute
ช่างมัน แปลว่า อุเบกขา
- ช่างมัน ถ้ามีกาย(รูป)อยู่ และไม่ใช่ถาวร แปลว่า อุเบกขา ตายไปเป็นรูปพรหม
- ช่างมัน ถ้าไม่มีกาย(รูป)อยู่ และไม่ใช่ถาวร ตายไปเป็น อรูปพรหม(นิพพานพรหม)
- ช่างมัน ถ้ามีกาย(รูป)อยู่ และ ใช่ถาวร ตายไปเข้าสู่ นิพพาน(ธรรมกายและสัมโภคกาย)
- ช่างมัน ถ้าไม่มีกาย(รูป)อยู่ และ ใช่ถาวร ตายไปเข้าสู่ ปรินิพพาน
อุเบกขาเป็นหนึ่งในพรหมวิหาร 4 หลักธรรมนี้ได้แก่
เมตตา ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข
กรุณา ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มุทิตา ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
อุเบกขา การรู้จักวางเฉย
อุเบกขา - การรู้จักวางเฉย หมายถึง การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณาเห็นว่า ใครทำดีย่อมได้ดี ใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตามกฎแห่งกรรม คือ ใครทำสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระทำ เมื่อเราเห็นใครได้รับผลกรรมในทางที่เป็นโทษเราก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้ำเติมเขาในเรื่องที่เกิดขึ้น เราควรมีความปรารถนาดี คือพยายามช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ดังนั้น ที่ผมเขียนว่า
- ช่างมัน ถ้ามีกาย(รูป)อยู่ และไม่ใช่ถาวร แปลว่า อุเบกขา ตายไปเป็น รูปพรหม
ในที่นี้ ผมไม่ได้หมายถึง อุเบกขาที่เป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน แต่ผมกำลังพูดถึงอุเบกขาของพระพรหม ผู้มีจิตประเสริฐและบริสุทธิ์ ในพรหมวิหาร 4 อยู่นะครับ
พรหมในชั้นโลก หรือพรหมชั้นโลกียะ การเข้าเป็นพรหมได้ เวลาตายต้องทรงอยู่ในฌานใดฌานหนึ่ง ถ้าอยู่ระดับ 4 หรือต่ำกว่าลงมา ก็จะไปเกิดเป็นรูปพรหม
- ช่างมัน ถ้าไม่มีกาย(รูป)อยู่ และไม่ใช่ถาวร ตายไปเป็น อรูปพรหม(นิพพานพรหม)
อย่างไรก็ตาม ถ้าเวลาตายทรงอยู่ในฌาน 5-8 ซึ่งเป็นอรูปฌาน ก็จะไปเกิดเป็นอรูปพรหม ส่วนที่ผมเขียนว่า:
- ช่างมัน ถ้ามีกาย(รูป)อยู่ และ ใช่ถาวร ตายไปเข้าสู่นิพพาน(ธรรมกายและสัมโภคกาย)
นั่นเป็นพรหมโลกุตตระ ชั้นเหนือโลกหรือชั้นอรหันต์ไปแล้วนะครับ กาย(รูป)ของพรหมในชั้นอรหันต์(โลกุตตระ) ทั่วโลกเรียกว่า "พระเจ้า หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้า" ส่วนชาวพุทธเรียกกันโดยทั่วไปว่า "พระวิสุทธิเทพ" ยกเว้นพระอรหันต์ในระดับตถาคต-พระพุทธเจ้าต่างๆเท่านั้นที่เรียกชื่อต่างออกไปหน่อยว่า "พระอดิเทพ" เพราะเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม
"พระอดิเทพ" ในศาสนาอื่นเรียกว่า "พระบิดา" พระอรหันต์ในศาสนาคริสต์เรียกว่า "พระบุตร" (พระเจ้าที่เป็นพระบุตร) พระอรหันต์ในศาสนาอิสลามเรียกว่า "รอซูล" ผู้แทนของพระเจ้า หรือ ผู้แทนของพระอัลเลาะห์
อาดัมตอนแรกที่จิตยังไม่โดนซาตานหลอก ก็คือผู้แทนของพระเจ้าที่เป็นอรหันต์(พระบุตร) เมื่อจิตเสียความบริสุทธิ์ให้ซาตานแล้ว อาดัมก็กลายเป็นแค่ ผู้แทนของพระเจ้า(มนุษย์คนหนึ่ง)บนผืนแผ่นดินโลกเท่านั้น เช่นเดียวกับพวกเราทุกคน พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โขอาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ " แปลว่า "ภิกษุทั้งหลายจิตนี้ปภัสสร ก็จิตนั้นแล ถูกอุปกิเลสทั้งหลายที่จรมาทำให้เศร้าหมองแล้ว"
แสดงว่า จิตเดิมแท้ เริ่มต้นของพวกเราเหล่ามนุษย์ทุกคน เป็นเหมือนเช่น "อดัม" คือ จิตของพวกเราดวงนี้ เริ่มต้นเริ่มแรกเลย เป็นจิตปภัสสร อันขาวบริสุทธิ์ ผุดผ่อง แต่ว่าดวงจิตของเราไปเศร้าหมอง เสียความบริสุทธิ์ด้วยกิเลส(พญามาร)ที่จรมา พญามารมันจะจรมาเฉยๆก็ไม่ได้ มันดันเสือกมาลวงเรา ให้เราไปเป็นพวกมัน เป็นสมุนของมันเสียอีก มันชั่วคนเดียวไม่พอ มาชักนำให้เราชั่วไปด้วย ส่วนข้อสุดท้าย...
- ช่างมัน ถ้าไม่มีกาย(รูป)อยู่ และ ใช่ถาวร ตายไปเข้าสู่ปรินิพพาน
อันนี้เป็นจิตที่ว่างล้วนๆเลย เป็นพุทธภาวะเริ่มแรกก่อนที่จะมีจิตที่อยู่ในกาย(รูป) ด้วยเหตุนี้นิพพานจึงมี 2 แบบ
1. นิพพานแท้(ปรินิพพาน) เป็นจิตที่ไม่มีการสร้างรูปหรือกายใดออกมา
2. นิพพานธรรมกาย และนิพพานสัมโภคกาย ที่ต้องอยู่ด้วยกันเพราะธรรมกายซึ่งเป็นอายตนะนิพพาน เอาแต่นั่งสมาธิชั้นสูงสุด(นิโรธ) ไม่ค่อยสุงสิง พูดคุยอะไรกัน จึงต้องเนรมิตกายออกมาอีกตัว ซึ่งเป็นกายทิพย์บริสุทธิ์(พระวิญญาณบริสุทธิ์) หรือสัมโภคกาย เพื่อออกมาสมาคม สุงสิง พูดคุยกัน
เราจะอยู่เปล่าๆเป็นจิตว่างๆชั่วนิรันดรทำไมล่ะ เล่นเกมส์ค้นหาตัวเองสักชั่วกัลปาวสานก็ไม่เห็นเป็นอะไร มันก็ยังน้อยกว่าชั่วนิรันดร
0 comments:
แสดงความคิดเห็น