A A

1 มีนาคม 2558

พระบิดาซึ่งเป็นจิตหนึ่งเดียว แต่มีอณูเป็นอนันต์ และอยู่เป็นอมตะชั่วนิรันดร

คุณ ofter ถาม : จากที่ได้อ่านมาผมมีข้อสงสัยดังนี้ครับ

1...ในอดีตคงจะนานแสนนาน นานมากๆ คงมีแต่ความว่าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆทั้งสิ้นใช่ไหมครับ
ในความว่างนี้คงมีดวงจิตที่บริสุทธิ์(ด้านดี)ชั้นสูงเพียงดวงจิตเดียว และดวงจิตที่อบริสุทธิ(ด้านชั่ว)อีกหนึ่งดวง  นั้นคือจริงๆแล้วมี 2 ดวง


2...ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาในครั้งแรกไม่ว่ามันจะเป็นอะไร น่าจะเกิดมาจากดวงจิตอบริสุทธิ(ด้านชั่ว)ของอะไรซักอย่างใช่ไหมครับ  

3...ที่คิดแบบนี้เพราะว่าดวงจิตบริสุทธิ์ด้านดี คงไม่สร้างสิ่งมีชีวิตที่ค่อยๆพัฒนามาแล้วทำสิ่งไม่ดี (ตั้งแต่สัตว์ เซลเดียว มาเป็นสัตว์ต่างๆ จนมาเป็นคน แล้วคนก็ทำบาป)  ต้องสร้างสิ่งดีๆที่ควบคุมได้ หรือต้องไม่สร้างอะไรเลย เพราะสร้างแล้วจะกายเป็นไม่ว่างแถมสร้างแล้วเกิดสิ่งไม่ดี (นั้นคือสร้างสิ่งไม่ดี)  แต่ที่ดวงจิตด้านดีต้องสร้างอะไรมาก็เพราะเห็นว่าดวงจิตด้านไม่ดีสร้างสิ่งไม่ดีมา ดวงจิตด้านดีจึงต้องสร้างสิ่งดีๆลงมาช่วย

4...หรือว่าจริงๆในความว่างตอนที่ยังไม่มีอะไร ไม่มีภพ ไม่มีจักรวาล มีแต่ความไม่มีคือความว่าง  มีดวงจิตเดียว แต่ดวงจิตนั้นมีทั้งความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์  แต่จิตที่ไม่บริสุทธิ์เริ่มแบ่งภาคมาเป็นสิ่งมีชีวิตแรกก่อน  ต่อมาจิตบริสุทธิจึงแบ่งภาคลงมาปราบในเวลาต่อมา

ตอบ

ขอแยกคำถามของคุณเป็น 4 ข้อนะครับ

1...
ในอดีตคงจะนานแสนนาน นานมากๆ คงมีแต่ความว่าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆทั้งสิ้นใช่ไหมครับ

คำถามของคุณยังกำกวม  แม้ว่าระบุเวลามาด้วย  แต่ก็ไม่ระบุแน่ชัด  พระพุทธเจ้าตรัสระบุชัดลงไปว่า  เวลาที่คุณกำลังพูดถึง  เริ่มต้นขึ้นตอนที่อวิชชา(พญามาร - กิเลส ตัณหา ความยึดมั่นถือมั่น ในใจของพวกเรา)เริ่มทำหน้าที่ของมัน คือหลอกลวงจิตปภัสสรที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง  ปฏิจจสมุปบาทจึงเริ่มต้นขึ้น  ทำให้จิตของพวกเราไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป  จึงเกิดมีสวรรค์ นรก การเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมา

ดวงจิตที่อบริสุทธิ(ด้านชั่ว) มันเกิดขึ้นในตอนหลัง  เพื่อทำหน้าที่ที่ดวงจิตบริสุทธิ์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวและเป็นอมตะชั่วนิรันดร  ให้มันทำ  ดวงจิตที่อบริสุทธิ(ด้านชั่ว)อยู่เป็นอมตะไม่ได้  เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ ความกำจัดโทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง
นิพพานธาตุ  ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

อมตะ และ นิพพานธาตุ = ไม่มีการเกิด  ไม่มีการแก่  ไม่มีการเจ็บ  ไม่มีการตาย  ผู้เข้าถึงอมตะ และ นิพพานธาตุ  ทั้งหมดในศาสนาพุทธเรียกว่า  พระรัตนตรัย = พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์

ศาสนาคริสต์เรียกพระรัตนตรัยว่า  พระเจ้า = พระบิดา  พระจิต พระบุตร ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน
พระบิดา  ก็คือ อาทิพุทธ(อัลเลาะห์ ศิวะ และชื่ออื่นๆ)  เป็นผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง  และให้กำเนิดพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งปวง

พระจิต  ก็คือ พระพุทธเจ้าต่างๆที่สอนธรรมให้เราในจิต
ซาตานจริงๆก็เป็นพระจิต แต่เป็นด้านชักนำไปสู่ความชั่ว จึงเรียกว่า มาร จิตมาร ซาตาน เป็นต้น

พระบุตร  ไม่ได้หมายถึงพระเยซูองค์เดียวเสียเมื่อไร แต่หมายถึงผู้สำเร็จเป็นอรหันต์ทั้งหมด

ในศาสนาคริสต์ก็พูดไว้ชัดเหมือนกัน  แต่คนส่วนใหญ่ตีความไม่ได้  ซาตานหรือพญามารก็คือพระเจ้าองค์หนึ่ง  ที่ทำหน้าที่หลอกลวงมนุษย์  ศาสนาคริสต์บอกว่า  ซาตานเป็นเทพองค์หนึ่ง ชื่อ ลูซิเฟอร์  เทพหรือเทวดารุ่นแรกๆ  ก็ล้วนเป็นพระเจ้า(พระบุตร)ที่พระบิดากระจายอณูของท่านออกไปทั้งนั้น  

ทั้งหมดไม่ว่าความดีความชั่วตกนรกขึ้นสวรรค์ หรือกลับเข้าสู่นิพพาน(สวรรค์นิรันดร)  พระบิดาซึ่งเป็นจิตหนึ่งเดียว  แต่มีอณูเป็นอนันต์  ดลบันดาลให้มันเป็นไปทั้งนั้น  พวกเราทุกจิตก็คือพระเจ้า(อณู)  เราตกนรกขึ้นสวรรค์ หรือกลับเข้าสู่นิพพาน  ก็เพราะฤทธิ์แห่งพระเจ้าที่อยู่ในตัวเราทุกคน  ซึ่งเราตั้งกฎเกณฑ์ไว้ว่า เช่น ทำชั่วและไม่สำนึกบาปก่อนตาย  ฤทธิ์แห่งพระเจ้าในตัวเรา  จะนำเราลงสู่นรก  และกฎเกณฑ์อย่างอื่นอีกเต็มไปหมด

ที่ผมบอกว่า  พระบิดาซึ่งเป็น
จิตหนึ่งเดียว  แต่มีอณูเป็นอนันต์  และอยู่เป็นอมตะชั่วนิรันดร  คงไม่เชื่อใช่ไหมครับ  ลองฟังที่หลวงตามหาบัวพูดนะครับ

" มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุนะ ...เป็นธรรมแท้ 
ธรรมธาตุ เป็นหนึ่งเดียวกัน.... พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ก็มันเป็นแล้วนั่นน่ะ มันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน..."

คุณลองอยู่คนเดียวในจักรวาลดูซิครับ  แล้วเป็นอมตะไม่มีกายเกิด แก่ เจ็บ ตาย  พร้อมกับมีฤทธานุภาพโคตรของโคตรมหาศาล  คุณจะเปล่าเปลี่ยวไหม  แล้วคุณจะทำอะไร  

ตอนแรกพระบิดาก็แยกตัวเองออกเป็น 2  แต่พระบิดาทั้ง 2 ก็มีฤทธิ์มีความเป็นสัพพัญญูเท่ากัน  แล้วคุยกัน  ก็เหมือนคุยกับกระจก  เลยต้องกระจายตัวเองออกเป็นอนันต์พุทธเจ้า  แต่อนันต์พุทธเจ้าก็มีฤทธิ์มีความเป็นสัพพัญญูเท่ากันอีก  ก็เหมือนมีกระจกเต็มไปหมดเท่านั้นเอง

พระบิดาจึงออกระเบียบการเข้าถึงฤทธิ์อภิญญาในแต่ละระดับ  ผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องมีบุญบารมีเท่านั้นเท่านี้  จึงจะได้ความเป็นสัพพัญญูและฤทธิ์อภิญญาไป  ถ้าไม่เข้าถึงบุญบารมีเท่านั้นเท่านี้  ก็เป็นพระอรหันต์ธรรมดาที่ไม่มีฤทธิ์เดช(อรหันต์สุขวิปัสสโก)  แล้วก็ให้อรหันต์ทั้งหมดนิรมิตจิตบริสุทธิ์(ปภัสสร)ขึ้นมาแทนตัวเอง  ลงมาทดลองใช้ชีวิตอยู่ในภพภูมิอื่นๆดู  การจะออกจากภพภูมินิพพานไปอยู่ภพภูมิอื่นได้  จิตบริสุทธิ์(ปภัสสร)ที่สร้างขึ้นมาใหม่นั้น  ต้องเปิดรับอวิชชา คือ โลภ โกรธ หลง ซึ่งพญามาร(พระอรหันต์องค์หนึ่ง)จะทำหน้าที่หลอกลวงจิตบริสุทธิ์(ปภัสสร)ต่างๆเอง  และก็เปิดรับวิชชา  คือ การทำบุญสะสมบารมี การทำสมาธิและวิปัสสนา

แล้วพระบิดาก็ให้พระอรหันต์ต่างๆ  เข้าไปทำหน้าที่แตกต่างกันในทุกภพภูมิ  พระพุทธเจ้าฝ่ายดำก็เป็นผู้มิอำนาจสูงสุดในการรักษาความยุติธรรม  ท่านทำหน้าที่ลงโทษจิตชั่ว  พระพุทธเจ้าฝ่ายขาวก็ทำหน้าที่ให้คุณกับจิตดี  พระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าฝ่ายขาว ก็มีลูกน้องที่จิตต่ำกว่า ทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายไป

ผมก็ทำหน้าที่เปิดเผยความลับของฟ้า  แค่ความลับในพระรัตนตรัย  โดยเฉพาะพระบิดาห้ามเปิดเผย  ผมไม่เชื่อฟัง  ก็จะถูกลงโทษแบบเจ็บปวดที่สุด คือ ให้ล้มละลายหมดตัวทุกครั้ง  ผมโดนมาแล้ว 6 ครั้งใน 3 ปี  แต่พระบิดาก็จะไปละเมิดกฎแห่งบุญบาป ซึ่งพวกเราจิตบริสุทธิ์ทั้งหมดวางกฎเกณฑ์ไว้ไม่ได้  ผมจึงต้องฟื้นตัวร่ำรวยกลับมาใหม่  อาจจะเร็วๆนี้แหละ

2...ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาในครั้งแรกไม่ว่ามันจะเป็นอะไร น่าจะเกิดมาจากดวงจิตอบริสุทธิ(ด้านชั่ว)ของอะไรซักอย่างใช่ไหมครับ  


ตอบ

ดวงจิตอบริสุทธิ(ด้านชั่ว)เรียกว่าจิตปภัสสร  ที่หลงกลอวิชชา หรือหลงกลมารที่เอากิเลสตัณหามาลวง  ดีกว่าครับ  มันเป็นกฎกติกาที่พวกเราตั้งขึ้น  สำหรับผู้จะออกจากภพภูมิแห่งนิพพานไปอยู่ในภพภูมิอื่นที่ไม่ใช่นิพพาน 

ข้อ 3.  ผมคงไม่ตอบนะครับ

4...หรือว่าจริงๆในความว่างตอนที่ยังไม่มีอะไร ไม่มีภพ ไม่มีจักรวาล มีแต่ความไม่มีคือความว่าง  มีดวงจิตเดียว แต่ดวงจิตนั้นมีทั้งความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์  แต่จิตที่ไม่บริสุทธิ์เริ่มแบ่งภาคมาเป็นสิ่งมีชีวิตแรกก่อน  ต่อมาจิตบริสุทธิจึงแบ่งภาคลงมาปราบในเวลาต่อมา

ตอบ  มันเป็นแค่เกมที่พวกเราเล่นกันน่ะครับ  ฝ่ายชั่วจะกำแหงในช่วงแรก  ฝ่ายดีก็มาปราบความกำแหงนั้นในภายหลัง  พระพุทธเจ้าเรียกว่า "กฎแห่งกรรม"

0 comments:

แสดงความคิดเห็น