A A

7 มีนาคม 2558

อธิบายการสารภาพบาป ที่พระเยซู และ พระพุทธเจ้า ตรัสสอน

ไหนๆ... หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ และผม(Phonsak) ก็มีการอ้างอิงพระเยซูคริสต์แล้ว  ผมก็เลยขออธิบายเรื่องนี้ก่อนอธิบายเรื่องการสารภาพบาป ที่พระเยซู ตรัสสอน และ การสารภาพบาป ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนนะครับ

เมื่อ พระโคดมพุทธเจ้า หรือ พระโคตมพุทธเจ้า คือ God (Godama or Gotama) ซึ่งเป็นพระบิดาในศาสนาต่างๆ  หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ  และพระเยซูต่างก็เป็นพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระเจ้า-อรหันต์  ต่างกันตรงที่พระบิดาได้ประทานพุทธเกษตร ที่เรียกว่าสรวงสวรรค์ของพระคริสต์ให้แก่พระเยซู  เพราะพระเยซูได้เสียสละร่างกายและโลหิตของท่านเพื่อให้เกิดพุทธเกษตรแห่งนี้ขึ้น โดยผู้ที่มีสิทธิเข้าไปในสวรรค์ของพระคริสต์ได้ ต้องได้รับศีลมหาสนิท – ทานปังปอนและเหล้าองุ่นจากมือสาวกของพระเยซูที่สืบต่อกันมา  ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนกายและโลหิตของพระเยซู

มนุษย์ทุกคนล้วนมีบาป และไม่มีใครดีพอที่จะเข้าแผ่นดินสวรรค์(นิรันดร)ด้วยตัวเองได้..... 
ในพระธรรม (โรม 11:6)   เราไม่สามารถจะทำการดีเพื่อจะเป็นทางไปสวรรค์เองได้ ในพระธรรม ทิตัส 3:5  พระองค์(พระเยซู)ได้ทรงช่วยเราให้รอด  มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง  แต่พระองค์ทรงพระกรุณาชำระให้เรามีใจบังเกิดใหม่  และทรงสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

 
หมายความว่า  แผ่นดินสวรรค์นิรันดร(แดนนิพพาน)ของพระเจ้า  วิญญาณที่จะเข้าไปอยู่ได้  ต้องเป็นผู้สิ้นบาป ผู้หมดบาป หรือผู้อยู่เหนือบุญบาป และเป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง  ซึ่งหมายถึง "พระอรหันต์"  มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาจะเข้าไปในสวรรค์นิรันดร(แดนนิพพาน)ของพระเจ้าไม่ได้เด็ดขาด  

ด้วยเหตุนี้  พระอรหันต์(พระเยซู)จึงเป็นทางเดียวของผู้ที่ต้องการออกจากสังสารวัฏ ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด  ไปอยู่ในแดนที่ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก เพื่อไปชำระจิตของเรา  ให้เรามีใจ(วิญญาณบริสุทธิ์)บังเกิดใหม่ที่นั่น  ซึ่งไม่มีขีดจำกัดเรื่องเวลา  เนื่องจากพระพุทธเจ้า(พระบิดา)ได้บอกทางให้พวกเราไปอยู่ในพุทธเกษตรแดนสุขาวดี  ที่ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก ไปชำระจิตของเรา  ให้เรามีใจ(วิญญาณบริสุทธิ์)บังเกิดใหม่ที่แดนสุขาวดีแล้ว  แต่ชาวพุทธเถรวาทที่จิตไม่บริสุทธิ์ ต่างก็โดนมารสิงใจ  นำคำสอนของพระพุทธเจ้าในส่วนนั้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในคัมภีร์มหายาน..ตัดทิ้งไปเกือบหมด  และยังตัดแยกนิกายหินยาน  ขาดจากมหายานด้วย  พระบิดาพุทธเจ้า จึงต้องส่งพระเยซู ซึ่งเป็นอรหันต์ มาสร้างพุทธเกษตรแห่งใหม่ขึ้น-สรวงสวรรค์ของพระคริสต์  เพื่อให้มนุษย์ธรรมดามีทางรอดไปสู่สวรรค์นิรันดร(แดนนิพพาน)ทางอื่นได้ด้วย

ในมัทธิว 7:13-14  พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า
13  "จงเข้าไปทางประตูแคบ  เพราะว่าประตูใหญ่  และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ  และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก"
14  "เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ  ผู้ที่หาพบก็มีน้อย" - 
จะไปหาพบได้อย่างไรล่ะเพราะประตูนั้นอยู่ระหว่างภพภูมิต่างๆในสังสารวัฏ

ประตูแคบ" = สรวงสวรรค์ที่พระบิดาประทานให้พระคริสต์ปกครอง คือ พุทธเกษตรของพระคริสต์
"ประตูใหญ่” = การเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏ

มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาจะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้  ก็เฉพาะในสวรรค์ชั้นกาม(ชั้นกามาวจร)ในสังสารวัฏ  ที่ต้องลงมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกเมื่อหมดบุญที่จะอยู่บนสวรรค์แล้ว

ส่วนสรวงสวรรค์ของพระคริสต์  แม้ว่าจะไม่ใช่สวรรค์นิรันดรของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า) ที่เรียกว่านิพพานก็ตาม  แต่เมื่อสรวงสวรรค์ของพระคริสต์เป็นพุทธเกษตรแล้ว  หมายความว่า...วิญญาณที่เข้าไปอยู่ จะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย  ถ้าไม่ละเมิดกฎใดๆที่พระคริสต์และพระบิดากำหนดไว้

"เรา(พระเยซู)เป็นทางนั้น เป็นความจริง เป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา" (ยอห์น 14:6) 

นี่ชี้ชัด... การไปอยู่พุทธเกษตรของพระเยซู(สรวงสวรรค์ของพระคริสต์) ไปชำระจิตของเราที่นั่น  ให้เรามีใจ(วิญญาณบริสุทธิ์)บังเกิดใหม่  เป็นทางเดียวที่จะพาเราไปสู่สวรรค์นิรันดรของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า) ที่เรียกว่านิพพาน  เพราะทางไปพุทธเกษตรของพระอมิตาภะพุทธเจ้า(แดนสุขาวดี)  ถูกชาวพุทธเถรวาทที่ไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ถึงขึ้น  ปิดและกีดกันทางเข้า  ไม่ให้ใครรู้ทางเข้าไปแล้วตั้งแต่การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2 เมื่อพ.ศ. 100

อนึ่ง  
การเวียนว่ายตายเกิดมีเฉพาะกับศาสนาที่ไม่พึ่งบารมีของพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์อรหันต์เท่านั้น  แต่ศาสนาที่พึ่งบารมีของพระพุทธเจ้า เช่น พุทธมหายานนิกายสุขาวดี  และพึ่งบารมีของพระโพธิสัตว์อรหันต์ เช่น ศาสนาคริสต์ที่พึ่งบารมีพระอรหันต์โพธิสัตว์นาม พระเยซูคริสต์  วิญญาณของพวกเขาจะไม่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป  เพราะว่าพวกเขาอยู่ในเรือ(โลกธาตุ)ของพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์อรหันต์ จึงไม่จมลงไปในภพภูมิต่ำอีก

ก่อนจะอธิบายเรื่องการสารภาพบาป ที่พระเยซู และ พระพุทธเจ้า ตรัสสอน  ผมต้องเตือนให้พวกท่านรู้ก่อนว่า  หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเป็นพระอรหันต์  พระเยซู ก็เป็นพระอรหันต์  ซึ่งทั้ง 2 ท่าน ล้วนเป็นพระเจ้าที่เป็นพระบุตรเพียงองค์เดียว  (ไม่ใช่พระอนาคามี หรือพระโสดาบันที่จิตของพวกท่านบริสุทธิ์ไม่เพียงพอที่จะเข้าไปในแดนนิพพาน-สวรรค์นิรันดร ได้)

คราวนี้มาถึงที่พระเยซูบอกหลวงพ่อฤๅษีลิงดำว่า:

7. ท่านตอบว่า "ความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ที่ผมสอนนั้น ผมสอนให้สารภาพบาปแบบพระแสดงอาบัติ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป" 

ตอบ

แสดงอาบัติ = การยอมรับความผิด สารภาพบาป  แสดงอาบัติแล้ว ก็ต้อง "ปลงอาบัติ" ด้วย  เพื่อเป็นการยับยั้งไม่ให้กระทำความชั่วใหม่ต่อไปเท่านั้น  ส่วนที่ชั่วไปแล้วมันก็ชั่วแล้ว  มันจะกลับคืนดีมาอีกไม่ได้

นั่นเป็นการแสดงอาบัติ หรือการสารภาพบาปของพระ  

อาบัติในสังคมมนุษย์ คือ กฎหมาย-ฝ่าฝืนแล้วมีโทษ ต้องชำระโทษก่อนจึงจะกลับเป็นผู้บริสุทธิ์ดังเดิม  แสดงอาบัติปลงอาบัติของสังคมมนุษย์ คือ ยอมรับสารภาพโทษที่ได้รับถ้าติดคุก อาจจะลดลง 50% หรือโดนโทษปรับ หรือ ใช้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเท่านั้น  

ส่วนอาบัติของมนุษย์ คือ บาป  แสดงอาบัติของมนุษย์  คือ การสารภาพบาปของของมนุษย์ นั่นเอง   บาปเป็นเรื่องของการละเมิดสิทธิของมนุษย์คนอื่น เช่น

ฆ่าคน                - การละเมิดสิทธิไม่ให้เขาเป็นคนอีกต่อไป
ลักทรัพย์ ฉ้อฉล   - การละเมิดสิทธิในทรัพย์คนอื่น
เป็นชู้                 - การละเมิดสิทธิในความเป็นเมีย หรือผัว ของคนอื่น
ดื่มเหล้า/ของเมา  - การละเมิดสิทธิของคนทุกคนในสังคม

การปลงอาบัติของมนุษย์  เช่น ฆ่าคน ในที่สุดเราก็ต้องถูกฆ่า ลักทรัพย์ในที่สุดเราก็ต้องถูกโกงหรือลักทรัพย์ ฯลฯ  เพราะเป็นกฎแห่งกรรม  แต่การรับผลแห่งกรรมจะเบาบางลงอย่างมาก  ถ้าเราทำบุญ หรือทำสมาธิ แผ่เมตตา อุทิศกุศลเหล่านั้นให้เจ้ากรรมนายเวร(จะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป)  เมื่อเรารับกฎแห่งกรรมแล้ว  ผลของบาปที่จะนำเราไปสู่อบายภูมิต่างๆก็จะหมดไป

การสารภาพบาปในศาสนาคริสต์ = การก้าวล่วงบาปกรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน

มีพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าอยู่บทหนึ่งที่อยู่ในสุตตันตมัชฌิชนิกาย สัจจวิภังคสูตร สัจจภังคสูตร 22/542-546(ผมอ่านมาจากหนังสือธรรมธาตุ ธรรมชาติของสรรพสิ่งของคณะสังคมผาสุกเพื่อความผาสุกของสังคม หน้า229) เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม

พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า:

" กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด "

ในโลกมนุษย์ เพราะว่าคุณได้สำนึกผิดอย่างเด็ดขาดไปแล้ว วิบากกรรมที่จะส่งผลถึงคุณนั้นจะเบาบางลง แต่ก็ยังมีผลอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นกฎแห่งกรรมก็จะผิด หรือมีไม่ ส่วนในปรโลก วิบากกรรมนั้นจะกลายเป็นเศษกรรมไป

ตัวอย่าง 

พระองคุลิมาล แม้ว่าจะสำนึกผิดแบบเด็ดขาดแล้ว แต่ท่านก็ยังต้องได้รับผลอยู่บ้าง คือ เมื่อท่านไปบิณฑบาต ท่านได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น

= พระองคุลิมาลต้องรับเศษกรรมด้วย เพราะท่านไปทำกรรมกับขันธ์ 5 ของคนอื่น จึงต้องรับผลกรรมในขันธ์ 5 ของเราด้วย  แต่กรรมนั้นเบาบางลงมาก เป็นเศษกรรม

พอมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า

"กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน" (= รับกรรมไปแล้วบนโลกจากการโดนทำร้ายร่างกาย  จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก)

พระเยซูอธิบายให้หลวงพ่อฤๅษีลิงดำฟังต่อว่า:

8. คำสอนของท่านเป็นแบบนี้มา  ตอนหลังมาดัดแปลง พอล้างบาป สารภาพบาปแล้วบาปหาย  ก็เลยบาปทั้งสองคน  คนก่อนก็ไม่หมดบาป คนหลังบาปเพราะโกหก

ตอบ

สาวกรุ่นแรกๆเท่านั้นที่ทำบาป  จากการไปดัดแปลงคำสอนของพระเยซู  เพื่อจะได้จูงใจให้คนเข้ามานับถือศาสนาคริสต์มากขึ้น  สาวกรุ่นหลังๆไม่ได้ทำบาปเพราะไม่ได้โกหก  เขาถูกสาวกรุ่นก่อนหน้าเขา  สอนเขามาผิดๆเท่านั้น

ในศาสนาพุทธเถรวาท  พระปริยัติในยุคต่างๆก็พยายามปิดบังซ่อนเร้น  ไม่ไห้ใครรู้ว่า  พระพุทธเจ้ามีสอนเรื่องการสารภาพบาป และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ทำบาปนั้นอีก(ก้าวล่วงบาปกรรม)  เขาก็ไม่ต้องรับกรรมในปรโลกแล้ว  เพียงแต่ต้องรับผลกรรมในโลกตามกฎแห่งกรรมเท่านั้น  ซึ่งจะรับกรรมหนักหรือเบาเพียงใด  เจ้ากรรมนายเวรของเขาจะเป็นผู้กำหนด  อย่างหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ใช้หนี้การหักคอนกตาย  โดยท่านทำนายว่า

"อาตมาจะมรณภาพวันที่ 14 ตุลาคม 2521 เวลาเที่ยง 12.45 น.ด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย" 

.....ปรากฏว่าพอวันนั้นมาถึงหลวงพ่อจรัญ แค่คอหัก  แต่ไม่ตาย .....

อีกครั้งหนึ่ง หลวงพ่อจรัญ ใช้หนี้กรรมที่ไปตอนไก่ผิดๆ  ทำให้ไก่ที่เด็กชายจรัญสมัยเด็ก ทำการตอนไว้นั้น ไส้ไหลเป็นน้ำเหลือง ไส้เน่าตายไปวันละหลาย ๆ ตัว จนตายหมดเล้า  ผลกรรมได้ตามสนองหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโมในปี 2511  ขณะนั้นหลวงพ่อได้เป็นเจ้าอาวาสใหม่ ๆ ได้เป็นโรคลำไส้ ปวดกระเพาะมาก ไส้เริ่มเน่า ถ่ายออกมาเป็นเลือดและน้ำเหลืองนานอยู่ ๓ ปี  

พออีก 11 ปีต่อมา  ผลกรรมที่ยังไม่สิ้นสุดของหลวงพ่อจรัญ  ทำให้ปี พ.ศ. ๒๕๑๒  ไส้ติ่งของหลวงพ่อจรัญได้เกิดแตกขึ้นมา หลวงพ่อสลบไป แต่ท่านได้กำหนดจิต หายใจทางสะดือ อยู่ในท่าสมาธิ ทุกคนคิดว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว  พอหลวงพ่อได้สติ ก็แข็งใจตั้งจิตอธิษฐานว่า

พ่อไก่ แม่ไก่ทั้งหลายเอ๋ย เจ้าจงมารับเมตตาจากข้าพเจ้า ที่ตอนเจ้าไม่ได้เจตนาให้เจ้าตาย เป็นเพราะไม่ได้ศึกษาให้ถ่องแท้ก่อน ถ้าข้าพเจ้ารอดตายจะทำกรรมฐานไปให้ จงอย่างจองเวรจองกรรมกับเราเลย ให้อภัยเราเถิด” 

เมื่อสิ้นคำอธิษฐาน ก็อุจจาระ ปัสสาวะ ไหลออกมา ทั้งเลือด ทั้งหนองเหม็นคลุ้งไปหมด หมอให้น้ำเกลือและฉีดยาให้  แต่เพราะหลวงพ่อจรัญเป็นนักกรรมฐาน  ผลบุญที่ท่านแผ่เมตตาออกไปให้พวกวิญญาณไก่ ซึ่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน  จึงมีมหาศาลมาก  พวกวิญญาณไก่ ซึ่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน  จึงพอใจและให้อภัยท่าน  ไม่ผูกพยาบาทอีกต่อไป

คืนนั้นหลวงพ่อได้ทำกรรมฐานส่งผลบุญให้พวกไก่ต่อ  ตามที่ท่านรับปากไว้  พวกไก่ได้มาเต็มไปหมดและบอกหลวงพ่อว่า 
นี่เป็นท่านนะ ถ้าไม่ใช่ท่าน จะเอาให้ตาย หลังจากนั้น หลวงพ่อก็หายวันหายคืนจนเป็นปกติ

ถามว่า: แล้วหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม  ใช้หนี้กรรมและรับผลกรรมตามกฎแห่งกรรมไปแล้ว  แต่ที่ท่านไม่ตาย  เพราะพวกวิญญาณไก่ ซึ่งเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน ได้รับการใช้หนี้กรรมไปแล้วจากการแผ่เมตตาอุทิศกุศลของหลวงพ่อจรัญให้วิญญาณพวกไก่  ผลของบาปที่จะนำหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ไปสู่อบายภูมิต่างๆก็หมดไปแล้ว  หลวงพ่อจรัญจะตกนรกได้อย่างไร

1 ความคิดเห็น:

  1. ยอดเยี่ยม ทานสอนอย่างเป็นกลาง ไม่มีความลำเอียงดีค่ะ ชอบ

    ตอบลบ