A A

8 มีนาคม 2558

การเห็นพระนิพพานในขณะปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอย่างไร

ใครสามารถตอบให้ผมทราบได้บ้างว่า  "การเห็นพระนิพพานในขณะปฏิบัติธรรมนั้นเป็นอย่างไร"...

shart.com โพสต์

ตอบให้ชัดเจนเลย


จิตมันว่างเปล่าจากกิเลสตัณหา  ว่างเปล่าจากการยึดมั่นถือมั่น  อันนี้คุณรู้ได้คนเดียว  แต่จะรู้จริงหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบ และจิตว่างชั่วคราวหรือถาวร  มีคุณคนเดียวที่รู้ได้  มันต้องทดสอบ เช่น ถ้าคุณพ้นราคะจริง  เอาภาพสาวสวยมากๆ  มาแก้ผ้าให้คุณดู  ไอ้จู๊ของคุณก็ไม่ลุก  แสดงว่าจิตคุณว่างจากราคะแล้ว - เห็นก็สักแต่ว่าเห็น

- ถ้าจิตว่างถาวรพ้นราคะจริง เอาภาพสาวสวยมากๆ  มาแก้ผ้าให้คุณดู  ไอ้จู๊ของคุณก็ไม่ลุกทุกครั้ง  แสดงว่าจิตคุณว่างจากราคะตลอดแล้ว  ไม่มีการคิดปรุงแต่งต่อสิ่งภายนอก - เห็นก็สักแต่ว่าเห็น รู้ก็สักแต่ว่ารู้ - เป็นผู้ชนะกามเทพ และ ชนะลูกสาวพญามาร ชื่อ โลกีย์ หรือราคะ


อ้างถึง

ตอบคุณtonn  ขอบคุณครับ  ที่คุณตอบว่า จิตมันว่างเปล่าจากกิเลสตัณหา  ว่างเปล่าจากการยึดมั่นมั่น  เป็นความจริงครับ   ที่ผมถามคืออารมณ์  ก่อนที่จิตมันว่างเปล่าจากกิเลสตัณหาก่อน หนึ่งขณะจิต ครับ

shart.com โพสต์

ตอบ

เมื่อจิตมันว่างเปล่าจากกิเลสตัณหา  ว่างเปล่าจากการยึดมั่นมั่น  เราจะรู้ได้ว่าว่างจากกิเลสตัณหา  ว่างเปล่าจากการยึดมั่นมั่น ดีกว่าสุขจากกิเลสตัณหา  ดีกว่าสุขจากการยึดมั่นมั่นอย่างไร  มันจำเป็นต้องมีสิ่งล่อจิต หรือสิ่งทดสอบจิต หรือสิ่งให้จิตเปรียบเทียบ... จึงจะรู้ได้  

สิ่งทดสอบของผม  ระหว่างจิตว่างเทียบกับจิตที่สุขจากกิเลสตัณหา  เช่น

 - ผมหลงใหลในหลินชิงเสียมา 25 ปีแล้ว  ตอนที่จิตผมว่างเปล่าจากกิเลสตัณหา 20 นาที  ผมก็คิดภาพและปรุงแต่งเรื่องราวหลินชิงเสียตอนที่สวยมีเสน่ห์ที่สุด  ผมเห็นความสุขจากจิตที่คิดปรุงแต่งภาพและปรุงแต่งเรื่องราวหลินชิงเสีย(กิเลสตัณหา)  มันเป็นสุขจริงๆ  ผมก็พยายามคิดปรุงแต่งๆไปเรื่อยๆไม่หยุด  

สุดท้ายจิตที่ฟุ้งซ่านของผม  มันก็เครียด(ทุกข์)  ผมจึงรู้ว่าความสุขจากการคิดปรุงแต่งภาพ และเรื่องราวที่ชอบประทับใจในจิต(กิเลสตัณหา)  มันเทียบกับสุขจากจิตว่างเปล่าจากกิเลสตัณหาไม่ได้เลย  เพราะความสุขจากการคิดปรุงแต่ง  มันสุขได้ชั่วคราว  แล้วทุกข์ก็ตามมา  ยิ่งถ้าไปคิดปรุงแต่งในเรื่องภายนอกที่เป็นทุกข์ด้วยแล้ว  ก็ยิ่งเทียบกับจิตที่ว่างไม่ได้เลย

สิ่งทดสอบของผม ระหว่างจิตว่างเทียบกับจิตที่มีการยึดมั่นมั่น  เช่น

 - ตอนที่ผมหมดตัวไม่มีเงิน  ผมจะคิดปรุงแต่งโน่นปรุงแต่งนี่ว่า อีก3 วัน กูจะไปหาเงินที่ไหนมาเติมน้ำมันรถ  มาจ่ายค่าโทรศัพท์ ฯลฯ  มันทุกข์จริงๆ  ยิ่งคิดยิ่งทุกข์  พอวันต่อมา  หรืออีก 2 วัน  ผมจะมีเงินเข้ามาแบบประหลาดใจทุกครั้ง  เช่น  น้องชาย หรือพี่ชาย ฯลฯ  เอาเงินมาให้  เรียกว่ารอดไปได้ทุกครั้ง  ผมเลยรู้ว่าบุญเก่าของผม หรือจะเรียกว่าเทพ หรือพระเจ้า ส่งมาให้ทุกครั้ง

เมื่อเป็นเช่นนั้น  อย่างเช่นวันนี้  ผมเหลือเงินอยู่แค่ 300 บาท รายจ่ายก็บานเหลือเกิน....เข้าสู่จุดวิกฤตอีกแล้ว  ถ้าผมทุกข์ใจอีก  ไปนำสิ่งภายนอก คือ การไม่มีเงินมาคิดปรุงแต่ง ผมก็จะทุกข์หนักอีก  พอทำสมาธิ  จิตว่างจากกิเลสตัณหา ว่างเปล่าจากการยึดมั่นถือมั่น - ด้วยเหตุที่ผมไม่เอาสภาวะวิกฤตทางการเงินมาคิดปรุงแต่งอีก - รู้แล้วว่า  การมีเงินหรือไม่มีเงินเป็นผลมาจากกรรมเก่าของเรา  พอไม่มีเงินถึงจุดที่จะตายห่าแล้ว  เดี๋ยวบุญเก่าของผม หรือจะเรียกว่าเทพ หรือพระเจ้า ก็จะส่งเงินมาให้อีก

ผมเลยลองคิดปรุงแต่ง  ฟุ้งซ่านเหมือนเดิมซิ  

โอ๊ย! อะไรกันนี่ น้ำมันรถ..กูก็ต้องเติม  ข้าว..กูก็ต้องซื้อกิน  ค่าโทรศัพท์..กูก็ต้องจ่าย ฯลฯ  300 บาท กูอยู่ได้อีก 2 วัน  เห็นชัดเลยยิ่งคิดปรุงแต่ง กูก็ยิ่งทุกข์  เทียบอะไรไม่ได้เลยกับเมื่อครู่  ที่จิตกูว่าง  อะไรมันจะเกิด  มันก็ต้องเกิด  ช่างหัวแม่งมัน  มันเป็นเรื่องของกรรมเก่าส่งผลบุญผลบาปมาให้เท่านั้น  มันเกินกว่าการควบคุมของเรา  

สิ่งที่เราคุมได้   คือ  ทำสมถะและวิปัสสนาให้จิตมันว่าง  ไม่ทุกข์จากการยึดติดในเรื่องภายนอกจิต  รู้ก็สักแต่ว่ารู้  อยู่ในภาวะนี้ จิตว่างเหมือนเดิมดีกว่า

สรุป

อารมณ์  ก่อนที่จิตมันว่างเปล่าจากกิเลสตัณหาก่อน หนึ่งขณะจิต  ก็อารมณ์ห่าเหวอะไรก็ได้  แต่กูไม่เอามึงแล้ว.... กูเข็ดแล้วโว๊ย  เอาอารมณ์ห่าเหวอะไรเข้ามา  สุดท้ายกูก็ทุกข์ทุกครั้ง  จิตกูว่างอยู่เฉยๆดีกว่า  สุขกว่าเป็นไหนๆ


สิ่งที่ถูกสร้างมีทั้ง สิ่งที่เป็นสมมุติ(อนัตตา) และสิ่งที่เป็นวิมุตติ(อัตตาแท้ หรือ อมตะ)

อ้างถึง

 วางนิพานไว้แต่ไม่อยากเกิด
  มหาเทพทั้งปวง อีกทั้งบรรดาพระโพธิ์สัตว์ คือสิ่งประเสริฐ แต่เราเป็นเรา ประเสริฐ
นักแล  ทิฐิ มายา รู้ทันเจ้าของ มิให้มัวหมอง ในดวงจิตตน.......


จ่าอารมณ์ โพสต์

ตอบ

ผมก็ไม่รู้ว่าคุณจ่าอารมณ์ ไปนำข้อเขียนนี้มาจากไหน อาจจะมาจากฝ่ายมหายาน  ผมขออธิบายให้คุณจ่าอารมณ์เข้าใจ  
"มหาเทพทั้งปวง อีกทั้งบรรดาพระโพธิ์สัตว์ คือสิ่งประเสริฐ แต่เราเป็นเรา ประเสริฐนักแล ทิฐิ มายา รู้ทันเจ้าของ มิให้มัวหมอง ในดวงจิตตน" หมายความว่า....

พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และสรรพสัตว์ในโลกใบนี้ และใน31 ภพภูมิ แม้แต่ในพุทธเกษตร แดนนิพพานต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา  

สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมามี  2 ชนิด 

1.  สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นอนัตตา  ไม่มีตัวตน  เป็นสิ่งสมมุติ อยู่ได้ชั่วคราว  อาจจะ 100 ปี 100,000 ปี หรือ 100 ล้านปี  หรือ 100,000 ล้านปีก็ตาม  สิ่งสมมุติเหล่านี้ ล้วนหนีไม่พ้นกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น  ในที่สุด...สิ่งสมมุติเหล่านั้นก็ต้องตายหรือดับสลายไป  

พูดง่ายๆ  สิ่งที่เป็นอนัตตา  เป็นสิ่งไม่ใช่ตัวตน(ไม่ถาวร)  เป็นสิ่งสมมุติ  สิ่งเหล่านี้ พวกมันต้องวนเวียนอยู่ใน 3 ภพ 31 ภพภูมิ  หรือวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏหรือในโลกและในจักรวาลไปเรื่อยๆ 

พระพุทธเจ้าเรียกสถานที่ที่ทุกสิ่งในโลกและในจักรวาลอยู่ว่า - ฝั่งนี้
(ฝั่งยังไม่หลุดพ้น)ความไม่เป็นอมตะ และไม่มีสุขจริง เกิดจากจิตคิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา และปรุงแต่งด้วยอกุศลจิต

2.  สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นอนัตตาที่ถาวร  อนัตตาที่ถาวร  พระพุทธเจ้าเรียกว่า "อัตตา" เป็นตัวตน เป็นวิมุตติ  เพราะอัตตา  = เที่ยง อยู่เป็นอมตะ ไม่มีทุกข์ชั่วนิรันดร  ส่วนอนัตตาทั่วไป ที่หมายถึงไม่ใช่ตัวตน  เป็นสิ่งที่อยู่ได้ชั่วคราว ไม่คงทนถาวร แม้บางอย่างจะอยู่นานมากเป็นกัปเป็นกัลป์ก็ตามที  แต่ในที่สุด  มันก็ต้องแตกดับไป

สิ่งที่ถูกสร้างเป็นอัตตา(อนัตตาถาวร)  = สิ่งที่เป็นอยู่เป็นอมตะชั่วนิรันดร  เป็นสิ่งที่เป็นวิมุตติ  คือ  1.ธรรมกาย และ 2. กายทิพย์บริสุทธิ์(พุทธนิมิต-เรียกแบบพระสังฆราช) หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์(เรียกแบบศาสนาคริสต์) หรือสัมโภคกาย(เรียกแบบศาสนาพุทธมหายาน) 

พระพุทธเจ้าเรียกสถานที่  ที่ทุกสิ่งเป็นอัตตา เป็นอมตะชั่วนิรันดรอยู่ว่า - ฝั่งโน้น
(ฝั่งหลุดพ้น) หรือแดนนิพพาน(พุทธเกษตร)  และเรียกผู้ที่เป็นอมตะที่เป็น  ธรรมกาย(อายตนะนิพพาน)ว่า พระอรหันต์(วิสุทธิเทพ)  ดำรงอยู่ในพุทธภูมิ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพุทธเกษตร  นอกจากนี้ ยังเรียกผู้ที่เป็นอมตะที่อยู่ในแดนนิพพาน(พุทธเกษตร) ที่เป็นกายทิพย์บริสุทธิ์(พุทธนิมิต) หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า  "พระโพธิสัตว์อรหันต์(สัมโภคกาย)"

0 comments:

แสดงความคิดเห็น