A A

8 มีนาคม 2558

ประวัติศาสนาโลกที่ถูกต้อง ฉบับ Phonsak เขียนเอง ภาค 1

เรื่องที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้  ท่านผู้อ่านจะไปหาหลักฐานจากประวัติของศาสนาทั้งโลกที่คนอื่นๆเขียน  มาเทียบเคียงอ้างอิงคงทำได้ลำบากมาก  เพราะพวกผู้เขียนเหล่านั้น ล้วนเป็นผู้ไม่บรรลุธรรม  แล้วไปเขียน  จึงมีมิจฉาทิฏฐิ

ในขณะที่ผมเป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว  อย่างน้อยก็เป็นโพธิสัตว์อนาคามี ขั้นที่ 10-11 เหลืออีก 1 ขั้นหรือ 2 ขั้น  ก็ถึงขั้น 12 ซึ่งเป็นขั้นอรหันต์โพธิสัตว์แล้ว  องค์พระผู้เป็นเจ้าหลายต่อหลายพระองค์ เช่น เง็กเซียนฮ่องเต้-พระพุทธเจ้าด้านการปกครอง  เจ้าแม่กวนอิม-องค์พระผู้เป็นเจ้าด้านความเมตตากรุณา  พระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์-ผู้จะเป็นพระพุทธองค์ใหม่ในโลกมนุษย์อีกใบหนึ่งในจักรวาลคู่ขนาน  และพระพุทธเจ้าอีกหลายต่อหลายพระองค์ในภัทรกัปนี้  รวมทั้งพระติกขคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า(พระพุทธองค์ปฐม)  พวกท่านต่างเลือกผมมาให้เขียนความจริงเรื่องศาสนาของโลก  จึงมีเพียงผมคนเดียวในโลกนี้เท่านั้น  ที่รู้ความจริงทางศาสนาได้ลึกซึ้งระดับนี้  และนำมาเขียนบอกให้ทุกท่านทราบ

ผมจะเริ่มต้นเลย.... จับตอนๆที่ชาวโลกเริ่มเข้าใจถูกต้องแล้วว่า  "องค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพระบิดาผู้สร้างสรรพสิ่งมีเพียงพระองค์เดียว  ไม่ใช่มีหลายพระองค์"

องค์พระผู้เป็นเจ้าหนึ่งเดียวนี้  ได้แยกจิตมหาบริสุทธิ์ของพระองค์ออกไปเป็นศาสดาของศาสนาต่างๆมากมาย  แต่มนุษย์ที่มีมิจฉาทิฏฐิในศาสนาของตน กลับไปเข่นฆ่า และไปทำลายศาสนาอื่นๆ  เพื่อจะนำพระเจ้าของเผ่าพันธุ์ของเขาไปให้เผ่าพันธุ์อื่นๆ  

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 

ศาสนาพราหมณ์ ดูเหมือนจะเป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวที่เก่าแก่ที่สุดของโลก  ศาสนาพราหมณ์เกิดในประเทศอินเดีย ประมาณ 4,000 ปีก่อน  แม้ว่าพระเจ้าหรือเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจะมีถึง 3 พระองค์ คือ
1. พระพรหม(โลกุตระ)  =  ผู้สร้างโลก  
2. พระนารายณ์หรือพระวิษณุ  = ผู้รักษาโลก
3. พระศิวะหรือพระอิศวร  =  ผู้ทำลายโลก (เพราะมีคนชั่วมาก)

แต่พระเจ้าหรือเทพเจ้า 3 พระองค์นั้น  แท้จริงก็เป็นองค์เดียวกัน  เรียกว่า 
"ตรีมูรติ"  เพียงแต่แยกจิตมหาบริสุทธิ์ของท่าน  ไปทำหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้น

ศาสนาโซโรอัสเตอร์

เป็นศาสนาเดิมของอิหร่าน ซึ่งก่อนหน้านั้น มีการนับถือศาสนาพระเจ้าหลายองค์  แต่ถูกศาสนาโซโรอัสเตอร์ที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวเข้าแทรก  ทำให้ศาสนาที่นับถือพระเจ้าหลายองค์  ไม่เป็นที่เลื่อมใสอีกต่อไป

ศาสนาโซโรอัสเตอร์เข้าใจได้ถูกต้องใน 
หลักการเบื้องต้นแล้วว่า  พระเจ้าคือแสงสว่าง  แต่ศาสนาโซโรอัสเตอร์ไปเข้าใจผิดว่า  แสงสว่างนั้นคือไฟ  จึงมีเรื่องการบูชาไฟ เพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง  ทั้งๆที่แสงสว่างที่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น  เป็นแสงสว่างในใจของเรา  ที่เห็นและรับรู้ได้จากการทำสมาธิขั้นสูง

ศาสนาพุทธ

ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธคือ  พระโคดมหรือพระโคตมะพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้า เดิมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความดับทุกข์ตามศาสนาพราหมณ์ ซึ่งระบุว่า การจะพ้นทุกข์ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องกลับเข้าไปรวมกับปรมาตมันหรือพรหมสูงสุด

ชื่อของพระพุทธเจ้าตอนบวชคือ 
"มุนีสมณะ" พระอาจารย์ของท่านมี 2 คน คือ อาฬารดาบส และ อุทกดาบส พวกท่านก็อยู่ในศาสนาพราหมณ์เช่นกัน  และเป็นผู้สอนวิธีบำเพ็ญสมาธิและตบะต่างๆให้พระพุทธองค์เพื่อกำจัดกิเลส  ซึ่งถ้ากำจัดหมดสิ้นไป  ก็จะเป็นพระพรหม  และเข้าไปรวมกับปรมาตมันหรือพรหมสูงสุด

อาฬารดาบส และ อุทกดาบส กำจัดกิเลสได้ไม่หมดสิ้นจริงๆ สุดท้ายพวกท่านก็ต้องกลับมาเกิดใหม่อยู่ดี เพราะพวกท่านหลงเข้าใจผิดว่าอรูปฌานที่ท่านสำเร็จนั้น คือ พระนิพพาน และอรูปพรหมชั้นที่ท่านอยู่นั้น  เป็นการเข้าไปรวมกับปรมาตมันหรือพรหมสูงสุดแล้ว

ต่อมาพระโคตมะพุทธเจ้า ก็บรรลุอรูปฌานใน 2 ชั้นนั้นเช่นเดียวกับอาจารย์ทั้ง 2 ของท่าน  แต่พระโคตมะพุทธเจ้า รู้ว่าอรูปฌานใน 2 ชั้นนี้โดยเฉพาะชั้นสูงสุดของอุทกดาบส  สามารถกำจัดทุกข์ได้แค่ 84,000 มหากัปเท่านั้น  แต่ไม่ใช่ชั่วนิรันดร  เพราะ
ขั้นนิพพาน  แท้จริงเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างรูปและอรูปต่างๆ  นี่แหละคือ ทางสายกลางสูงสุดในศาสนาพุทธ   

เมื่อพบความจริงเรื่องนี้  โคตมะพระพุทธเจ้าถึงกับอุทานว่า

"โอหนอ น่าเสียดายอาจารย์ทั้งสอง(อาฬารดาบส กับอุทกดาบส) ฉิบหายจากความดีแล้ว" 

เพราะชั้นอรูปพรหมเป็นชั้นแห่งความว่าง  ติดต่ออะไรไม่ได้แล้ว  ถือเป็นชั้นนิพพานสูงสุดของจิตวิญญาณมนุษย์(อทิสมานกาย)หรือจิตสังขาร  แม้จิตสังขารจะว่าง  อยู่แบบไม่เป็นทุกข์เลย  ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกนานถึงชั่วกาลปาวสาน 84,000 มหากัป  แต่สุดท้าย ขึ้นชื่อว่าจิตสังขาร(อทิสมานกาย)  ในที่สุดก็ต้องกลับลงมาเกิด แก่ เจ็บ ตายใหม่อยู่ดี  พระพุทธเจ้าจึงเรียกอรูปพรหมสูงสุดว่า "นิพพานโลกียะ"  ไม่ใช่นิพพานชั้นสูงสุดที่เป็นโลกุตระ  เป็นความว่างที่มีอยู่เหมือนกัน จึงไม่มีทุกข์  เพียงแต่นิพพานโลกุตระของพระพุทธเจ้า(ปรินิพพาน)มันคงอยู่ตลอดชั่วนิรันดร

นิพพานชั้นสูงสุดที่เป็นความว่างที่มีอยู่ ไม่มีทุกข์ตลอดนิรันดร ที่เรียกว่า "
ปรินิพพาน หรือมหาสุญญตา"  การจะไปถึงได้ต้องดับทั้งจิตวิญญาณมนุษย์(ดับอทิสมานกาย หรือดับกายทิพย์มนุษย์) และดับกายของจิตมหาบริสุทธิ์ หรือ ดับอายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)ทิ้งไปด้วย  เหลือเพียงตัวธรรม  ซึ่งเป็นจิตมหาบริสุทธิ์ล้วนๆ  ถือเป็นการปิดสวิตช์ความคิดปรุงแต่งทุกชนิด  ในขณะที่อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)  ยังเปิดสวิตช์ความคิดปรุงแต่งอยู่  เพียงแต่ไม่คิดปรุงแต่งด้วยกิเลสตัณหา ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เท่านั้น  จึงไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

ย้ำ!!! การดับกายธรรมหรือธรรมกาย  เหลือไว้แต่ตัวธรรมซึ่งจิตมหาบริสุทธิ์ล้วนๆ  ไม่เอาแล้วความคิดปรุงแต่งใดๆ  ถือเป็นการปิดสวิตช์ความคิดปรุงแต่งทั้งมวล  เรียกว่า "
ปรินิพพาน หรือมหาสุญญตา"  ในขณะที่นิพพานธรรมดาที่พระพุทธเจ้าแนะนำให้ผู้ที่อยู่ใน 3 ภพเข้าไปก่อน  คือ"เมืองพระนิพพาน"  เป็นเมืองที่มีกายหรือธรรมกายของเราอยู่  แต่ไม่ค่อยได้สังสรรค์กัน  เนื่องจากธรรมกายต่างๆจะเข้าสมาธิขั้นนิโรธเกือบตลอดเวลา  

ธรรมกายที่ต้องการพูดคุยพบปะสังสรรค์กัน และทำกิจกรรมใดๆกับ 3 โลก(31 ภพภูมิ)อีก  จึงต้องเนรมิตกายอมตะออกมาอีกกายหนึ่งที่เรียกว่า 
"สัมโภคกาย หรือกายทิพย์อมตะ หรือพระโพธิสัตว์(อรหันต์)"  ศาสนาคริสต์เรียกว่า "พระวิญญาณบริสุทธิ์"

อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าพระโคดมพุทธเจ้าจะเป็นผู้พบวิธีการดับทุกข์อย่างถาวร  และตัวของพระองค์ก็ยังรู้ด้วยว่า  ตัวของท่านเองเป็นพระธรรม  โดยตรัสว่า  

"ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเรา(ตถาคต)  ผู้ใดเห็นเรา  ผู้นั้นเห็นธรรม"

แต่โชคร้าย  ที่ศาสนาพุทธซึ่งแต่เดิมนิกายเถรวาท และมหายาน(มหาสังฆิกะ) รวมอยู่ด้วยกันได้จนถึงยุคหลังปฐมสังคายนาพระไตรปิฎกเท่านั้น  เนื่องจากในปฐมสังคายนา  มีแต่พระอรหันต์ที่มีอภิญญา 6 เท่านั้นที่จะเข้าร่วมได้  ซึ่งมีพระอรหันต์ที่มีอภิญญา 6 ครบ  500 รูป ทั้งฝ่ายเถรวาท และมหายาน(มหาสังฆิกะ)ล้วนรับรองทุกพระสูตรของทั้ง 2 ฝ่าย

อย่างไรก็ดี  ในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา  สาวกฝ่ายเถรวาทมีผู้ปฏิบัติไม่ถึงขั้นเยอะ  ทำให้พวกนี้ใช้กฎหมู่  เปลี่ยนกฎเกณฑ์ในการเข้าร่วมสังคายนาพระไตรปิฎก  โดยระบุว่าพระภิกษุธรรมดา ก็เข้าร่วมการสังคายนาพระไตรปิฎกได้  นอกจากนี้ก็ยังไม่เชิญฝ่ายมหายาน(มหาสังฆิกะ)เข้าร่วมการสังคายนาพระไตรปิฎกด้วย  เอาเฉพาะพระไตรปิฎกของเถรวาทเท่านั้น  ปิฎกมหายานไม่เอาทั้งสิ้น  เพราะภิกษุเหล่านี้ พวกเขาล้วนไม่เข้าใจในส่วนที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนมหายานในเรื่องที่เกินอวิชชา และจิตปภัสสร  เช่น  เรื่องแดนสุขาวดี เจ้าแม่กวนอิม อาทิพุทธ พระอมิตาภพุทธเจ้า พระไวโรจนพุทธเจ้า พุทธเกษตรต่างๆ  ฯลฯ

ที่สำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งต่อๆมา  มารก็สิงใจพระภิกษุที่ปฏิบัติไม่ถึงขั้น  แต่มีอำนาจการปกครองสงฆ์  ให้ค่อยๆเขี่ยทิ้งพระสูตรในพระไตรปิฎก ที่เกี่ยวกับเรื่องที่เกินอวิชชา และจิตประภัสสร  ออกไป คือ เรื่องแดนสุขาวดี  เจ้าแม่กวนอิม อาทิพุทธ พระอมิตาภพุทธเจ้า พระไวโรจนพุทธเจ้า ฯลฯ  แม้แต่เรื่อง 49 วันหลังการตรัสรู้ พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่า ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับ พระอมิตา และพระไวโรจนพุทธเจ้า และท่านก็แสดงธรรมในฐานะพระไวโรจนพุทธเจ้า(องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดา)  ตอนนี้ เรื่องนี้ก็ไม่มีเหลืออยู่ให้เห็นในพระไตรปิฎกปัจจุบันแล้ว

แม้แต่เรื่องที่พระพุทธเจ้าตอบคำถามปัญจวัคคีย์ถึงเรื่อง  พระพุทธเจ้าพระองค์แรก(พระปฐมพุทธเจ้า) ที่ตรัสรู้ก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ชื่อว่า "พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า"  ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าที่แบ่งแยกพระองค์ออกเป็นพระไวโรจนพุทธเจ้า เรื่องนี้ก็หายสาบสูญไปจากพระไตรปิฎกของไทยเรียบร้อยแล้ว  แต่ยังพอมีหลักฐานอยู่บ้างในคัมภีร์ปฐมมูล

โชคยังดีที่...แม้ว่าพระไตรปิฎกที่หายสาบสูญไปนั้น  ผู้ที่บรรลุธรรมขั้นอรหันต์ของไทย  ท่านสามารถติดต่อกับเหล่าพระพุทธเจ้าได้  ท่านก็ยังเอาเรื่องเหล่านั้นมาเล่าสู่ให้คนไทยฟังอยู่เสมอ  เช่น  เรื่องพระโมคคัลลานะหลงจักรวาล  ไปเจอพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งที่หน้าตาเหมือนพระพุทธเจ้าของเราเลย คือ พระอมิตาภะพุทธเจ้า ที่อยู่ในแดนสุขาวดีพุทธเกษตร(แดนนิพพานของพวกสัมโภคกาย หรือพวกกายทิพย์อมตะ หรือพระโพธิสัตว์อรหันต์)  ที่ศาสนาคริสต์เรียกว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์“

เรื่องนี้พระอรหันต์หลวงปู่ตื้อ และหลวงปู่เกษม (เล่าใน ตอน สอนชมรมพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ)พวกท่านต่างก็เล่าให้ฟัง

น่าเสียดายที่ศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาเทวนิยมสูงสุดและสมบูรณ์ที่สุดแล้ว  เพราะบอกวิธีการเข้าไปถึงความเป็นเทพขั้นต่ำสุดไปถึงขั้นสูงสุดคือพระวิสุทธิเทพ(พระอรหันต์)  แม้แต่การเข้าไปเป็นพระอดิเทพหรือพระเทวาดิเทพ(พระพุทธเจ้า)ก็ยังบอกวิธีการด้วยว่าต้องทำอย่างไร  แต่สาวกยุคหลัง  โดยเฉพาะยุคปัจจุบันที่ข้อมูลข่าวสารเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว  กลับไปบอกว่า  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม  ไม่นับถือพระเจ้า และไม่มีพระเจ้า  ทั้งๆที่
พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาอุตส่าห์อวตารลงมาเป็นพระพุทธเจ้า  พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธ

พวกไม่ปฏิบัติดันไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นใคร  ในขณะที่ประเทศอื่นๆทั่วโลก เขาสรรเสริญพระพุทธเจ้าของเราทุกวัน  เพราะคำว่า GOD มาจากคำวา GOD DAMA นั่นเอง

สรุปภาค 1

เรื่องศาสนาของโลก  เป็นเรื่องของการค้นหาตัวของเราเองว่ามาจากไหน  และจะทำอย่างไรจึงจะอยู่อย่างเป็นสุขชั่วนิจนิรันดร  แม้ว่าคำสอนในศาสนาต่างๆจะแตกต่างกันมาก  แต่ความแตกต่างนั้นก็มาจากมิจฉาทิฏฐิของมนุษย์ ที่ใช้สมองในการตีความ ไม่ใช้การปฏิบัติให้ถึงปัญญา แล้วตีความ  จึงทำให้ถูกอวิชชาหรือพญามารแทรกแซงความคิดที่ถูกต้องได้  เป็นเหตุให้เขาตีความข้อเท็จจริงผิดไป
                        
ศาสนาทุกศาสนาล้วนซ่อนความจริงหรือสัจธรรมสูงสุดไว้ภายใน เช่น ในศาสนาพราหมณ์พูดถึงพระเจ้าผู้สร้างโลก(พระพรหมโลกุตตระ)  พระเจ้าผู้รักษาโลก(พระนารายณ์)  พระเจ้าผู้ทำลายโลก(พระศิวะ)  นั่นคือหลักความจริงทั้ง 3 ในศาสนาพุทธ นั้นเอง

พรหมผู้สร้างโลก = หลักเกิดขึ้น
นารายณ์รักษาโลก = หลักตั้งอยู่
ศิวะผู้ทำลายโลก = หลักดับไป

แล้วโลกแท้จริงก็คือตัวเรา(จิตสังขาร)เอง ซึ่งคิดปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆ  และทำอกุศล(บาป)ลงไป  ทำให้พวกเราต้องเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว และสุดท้ายก็ต้องดับไป คือ ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตายไปเรื่อยๆ  หลีกหนีไม่ได้สักคนเดียว

เนื่องจากศาสนาพราหมณ์และโซโรอัสเตอร์  รวมทั้งศาสนาอื่นๆที่จะกล่าวถึงในภายหลัง  ผู้สอนและเผยแพร่ศาสนาล้วนแต่เป็นผู้ที่ไม่สามารถเข้าไปถึงปรมาตมัน ปรมาตมัน หรือพระนิพพาน หรือพระธรรม หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เป็นพระบิดาของทุกสรรพสิ่ง จึงได้อวตารลงมาเป็นโคตมพระพุทธเจ้า  ผู้สอนธรรมที่ถูกต้องครบถ้วนให้มนุษย์เอง  เพียงพอที่จะนำพวกเราเหล่ามนุษย์สามารถดับทุกได้สมบูรณ์  เนื่องจากพระพุทธองค์ท่านเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวในโลก  ที่สะสมบุญบารมีและปฏิบัติสมาธิได้สมบูรณ์  ตามหลักการที่พวกเราทั้งหมดสมัยที่ยังเป็นหนึ่งเดียวกับปรมาตมัน(องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระบิดา)กำหนดกฎเกณฑ์ไว้

เสียดายที่ชาวพุทธเถรวาทไม่รู้จักพระพุทธเจ้าจริงๆ  รู้จักแค่เพียงผิวเผิน  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเทวนิยมที่สมบูรณ์ที่สุด  แต่ชาวพุทธเถรวาทโดยเฉพาะพระปริยัติ  กลับไปบอกว่าศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม  ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นปรมาตมัน(องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระบิดา)อุตส่าห์ลงมาเป็นศาสดาแห่งศาสนาพุทธแท้ๆ

0 comments:

แสดงความคิดเห็น